ท่ามกลางป่าโปร่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ไร้ใบ เสียงเหยียบย่ำใบไม้แห้งของกองทัพอสูรดังก้องไปทั่วป่า ออร์คสิ่งมีชีวิตร่างยักษ์ที่คล้ายมนุษย์ แต่หน้าตาดุร้าย และมีเขี้ยวยาว ตัวใหญ่กว่าคนเราประมาณ2-3เท่า ท่าทางการเดินของพวกมันค่อนข้างเร่งรีบเหมือนกับว่ามีเป้าหมายบางอย่างที่ต้องไปทำ
ออร์คทุกตัวมีผิวกายสีเขียวเข้มห่มหนังสัตว์ และถืออาวุธที่ทำจากหิน หรือเศษเหล็ก บางตัวยังสวมหมวกหนังหรือหมวกเหล็กด้วย ซึ่งน่าจะได้มาจากทหารเคราะห์ร้ายที่ถูกพวกมันสังหาร ในกลุ่มอสูรหน้าโหดทั้ง 100 ตัวนี้มีอยู่ตัวหนึ่งที่โดดเด่นไม่เหมือนใครนั่นก็คือผู้ที่วิ่งนำอยู่หัวแถวนั่นเอง
ชัดเจนว่ามันผู้นั้นเป็นผู้นำของยักษ์ร้ายฝูงนี้ ตัวของหัวหน้าออร์คมีสีเขียวเข้มเกือบดำ ร่างกายใหญ่โตกว่าพวกลูกน้อง และสวมเกราะเหล็กทั้งตัวพร้อมประดับด้วยผ้าคลุมขนนกสีแดงสด อาวุธประจำกายของมันก็ไม่ธรรมดาดาบเหล็กขนาดใหญ่ถูกมัดติดเด่นชัดไว้ที่กลางหลังของมันนั่นเอง
ภาพการเคลื่อนทัพที่อึกทึกครึกโครมเสียงดังจนสัตว์ป่าน้อยใหญ่แตกกระเจิงนี้เห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล โดยเฉพาะบนเนินเขาใกล้ๆที่ชายหนุ่มกำลังมุดตัวอยู่ใต้กองใบไม้หนาแน่นเพื่อพรางตัวนั่นเอง ซึ่งดวงตาทั้งสองข้างของภามเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆ เมื่อมองไปที่กองทัพออร์คเหล่านั้น
‘แพนดั้น วิชาการมองระยะไกลด้วยการควบคุมมานาของเจ้านี่ดีจริงๆ เห็นที่ไกลๆได้ชัดเจนแล้วก็ใช้ง่ายมากด้วย เห็นทีกลับไปต้องเอาไปสอนพวกเด็กๆแล้วล่ะ’ ภามส่งโทรจิตหาเจ้ามังกรน้อยที่มุดตัวอยู่ใต้กองใบไม้ข้างๆเขา
‘เจ้าพวกนั้นทำเป็นกันหมดแล้วขอรับท่านภาม ข้าเคยสอนวิธีนี้ไปตั้งนานแล้ว คงมีแต่ท่านนั่นแหละที่ไม่รู้วิธีง่ายๆเช่นนี้’ มังกรตัวเขียวหันไปมองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาใสซื่อ แต่โทรจิตที่กล่าวออกมานั้นดูเหมือนจะเป็นการแอบแซะเขามากกว่า
‘เออๆ ข้ามันมือใหม่เรื่องเทคนิคเวทมนตร์นี่นะทำไงได้ สงสัยกลับไปคราวนี้ข้าคงต้องเริ่มซ้อมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเวทย์อย่างมังกรมายาสักหน่อยแล้ว เดี๋ยวฝีมือจะตามพวกเด็กๆไม่ทัน’ เกษตรกรหนุ่มเหล่มองเจ้าตัวน้อยด้านข้างพร้อมส่งความคิดไปให้มันรับรู้ถึงความต้องการเอาคืนจากเขา
‘กี้กิ้ กี้กิ้ กี้กิ้’ มังกรตัวน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ขุ่นเคืองของชายหนุ่ม มันก็ส่งเสียงเล็กๆน่ารักผ่านโทรจิตพร้อมสายตาอ้อนวอนชายหนุ่มไม่ให้ทรมานมันเลย
“พอเลยเจ้าแพนดั้น คุยทางโทรจิตยังมีการร้องกี้กิ้ๆด้วยหรือไง ตอนนี้เรารีบตามพวกออร์คไปดีกว่า” ภามถึงกับหางคิ้วกระตุกที่เจ้ามังกรน้อยมาใช้มุกน่ารักอ้อนวอนเขา สำหรับคนที่รู้ว่ามังกรน้อยท่าทางเหมือนลูกสัตว์วัยแบบเบาะกลับมีอายุถึง 100 ปีอย่างเขานั้น ไม่มีทางหลงกลมันเหมือนพวกสาวๆแน่นอน จึงรีบตัดบทแล้วลุกออกจากกองใบไม้เพื่อติดตามเป้าหมายต่อไป
“กี้ กี้ กี้ๆๆๆๆๆๆๆ” เจ้าแพนดั้นถึงกับร้องออกมาเสียงดังพร้อมท่าทางฉุนเฉียวที่ภามไม่รับมุกของมัน เมื่อไม่สื่อด้วยโทรจิตชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่ามังกรตัวเขียวนั้นบ่นว่าอะไร แต่ท่าทางโมโหของเจ้าขนปุยตัวน้อยนั่นก็ทำให้เกษตรกรหนุ่มอดขำไม่ได้กับความน่ารักของมันเช่นกัน
ทางด้านทุ่งหญ้ากว้าง แหล่งอาศัยของม้าป่า
หญิงสาวทั้งสามคนได้แต่อยู่เงียบที่ใต้ต้นไม้ไร้ใบ ต่างคนต่างก็มีเรื่องกังวลให้คิดอยู่ในใจ รวมทั้งต้องคอยสอดส่องระวังอันตรายจากรอบด้าน แต่คนที่ดูเหมือนจะร้อนใจที่สุดก็คือเมโลเอ้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรแต่กลับเดินกลับไปกลับมาไม่หยุด เด็กสาวไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ด้วยความกังวลจากหลายๆเรื่อง
แน่นอนว่าการที่เด็กสาวผมสั้นเดินไปเดินมามันทำให้อีกสองสาวรู้สึกเวียนหัว และก็เป็นพี่สาวของเธอเองที่บอกให้เมโลเอ้ต้องหยุดการกระทำนั้นลง
“หยุดเดินได้แล้ว เมโลเอ้! ข้าเวียนหัว” หญิงสาวผู้อ่อนโยนอย่างวานีลถึงกับต้องส่งสายตาดุไปยังน้องสาวคนซื่อของเธอ
“โธ่! พี่วานีลข้าไม่สบายใจเลย ออร์คตั้งร้อยตัวพวกเราสู้มันไม่ไหวหรอก ข้าว่าเราเอาม้ามาใส่เครื่องเทียมเกวียนก่อนเถอะ ถ้าท่านภามมาเราจะได้หนีทัน” เด็กสาวกล่าวออกมาตามตรงอย่างที่ใจคิด
“ท่านภามยังไม่กังวลอะไรเลย เจ้าก็หยุดคิดมากเถอะ ข้าเชื่อว่าท่านภามมีแผนในใจแล้ว เขาไม่ปล่อยให้พวกเรามีอันตรายหรอก หรือถ้าจวนตัวจริงๆข้าก็ยังพอจะถ่วงเวลาพวกมันได้อยู่” แม้วานีลจะพยายามบอกให้น้องสาวของเธอคลายกังวล แต่ด้วยน้ำเสียง และสีหน้าก็บ่งบอกได้ว่าเธอไม่ได้สบายใจไปกว่าเมโลเอ้สักนิด
“พวกเจ้าทั้งสองคลายกังวลเถอะ ข้าได้เห็นการต่อสู้ของท่านภามกับมหาจอมเวทย์มาด้วยตาตัวเอง แค่ออร์ค 100 ตัวเขาจัดการพวกมันได้สบายๆอยู่แล้ว” หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนที่นั่งเงียบมานานกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจที่สองพี่น้องดูจะกังวลเกินเหตุ แม้ว่าในใจของเธอจะเป็นห่วงชายหนุ่มไม่แพ้กันก็ตาม
“แต่ท่านภามกับครูใหญ่ต่อสู้แบบตัวต่อตัวนะเจ้าคะ ออร์คร้อยตัวรุมท่านภามคนเดียวคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสู้แน่ๆ” เมโลเอ้ที่ยังไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบจริงจังจึงยังคงกังวล โดยเอาประสบการณ์ประลองเวทย์ในโรงเรียนมาเป็นพื้นฐานความคิด
“ใจเย็นก่อนเถอะเมโลเอ้ มีอาก็ยืนยันแล้วนะว่าเห็นพลังของท่านภามมาด้วยตาตัวเอง” วานีลที่ได้ฟังคำพูดของมีอาที่ย้ำเรื่องการต่อสู้กับครูใหญ่ที่เธอรู้จักเป็นอย่างดีก็พอจะเข้าใจได้ จึงใจเย็นลง และค่อยเตือนน้องสาวของตนอีกครั้ง
“…เจ้าค่ะ” เด็กสาวเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้งก็จำใจต้องเงียบไป แม้จะยังไม่คลายความกังวลก็ตาม
เมื่อมีอาเห็นสองพี่น้องตระกูลมูเน่ใจลงบ้างแล้ว เธอก็ถือโอกาสพูดในสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอดการเดินทางกับเพื่อนสนิทของตน เพราะถ้ากลับไปที่ฟาร์มวานีลคงต้องหลบหน้าเธอเป็นแน่ และถึงแม้ว่าเมโลเอ้จะอยู่ตรงนี้ด้วย เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องปกปิดเรื่องนี้แต่อย่างใด
“วานีล ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ามีใจให้กับท่านภาม ถ้าข้ารู้ ข้าคงจะไม่ใกล้ชิดกับเขาถึงเพียงนี้” มีอาที่ยืนอยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิทของเธอพูดออกมาตรงๆ ในใจของเธอตอนนี้ไม่อาจจะทนรับความอึดอัดได้อีกต่อไป
“มีอา นี่เจ้า!…รู้แล้วอย่างนั้นเหรอ?” วานีลกำลังอึ้งกับคำกล่าวนั้น เธอไม่คิดว่ามีอาจะรู้เรื่องนี้ เพราะตั้งแต่วันที่บุตรสาวตระกูลวีตาเร่มาถึงฟาร์มกลางหุบเขา เธอก็พยายามหลบหน้ามาตลอด
“อาการที่เจ้ากับเมโลเอ้แสดงออกมาตลอดการเดินทางมาที่นี่มันก็ชัดเจนแล้วล่ะ แต่ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดจริงจังกับท่านภามมากเพียงใด วานีล!?” แม่ค้าสาวผู้มีสายตาเฉียบแหลมสามารถมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เธอไม่ชอบความอ้อมค้อมอย่างที่บุตรีของขุนนางทำจึงได้ถามออกไปตรงๆ ซึ่งนี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในฐานะเพื่อนสนิทก็ได้
กองทัพออร์คเคลื่อนตัวไปทางทิศใต้จากจุดเดิมที่ภามได้แอบซุ่มอยู่ จนตอนนี้พวกมันเดินทางมาถึงบริเวณริมลำธารสายเล็กที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินสูงชัน เงาของภูเขาพาดผ่านทับลงมาจนแทบไม่มีแสงส่องแม้แต่น้อย มีเพียงทางเดินหินแคบๆที่พวกออร์คสามารถเดินผ่านได้ทีละตัวเท่านั้น
ภามกับแพนดั้นยังคงตามพวกออร์คไปเรื่อยๆ แม้เส้นทางจะแคบ และอันตรายแต่พวกเขาก็ยังไปต่อได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร รวมทั้งพลังของมังกรมายา ทำให้ทั้งสองอำพรางตัวได้อย่างมิดชิดดุจดั่งเป็นความว่างเปล่า ไม่มีใครสามารถเห็นตัวทั้งสองได้
“ฮัดชิ่ว! ก๊อก แก๊ก!” ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นกลิ้งตกไปตามทางเดินหินอันคับแคบ
“ฮึ่ม!” ออร์คตัวสุดท้ายของขบวนหันกลับมามองด้านหลังทันทีที่ได้ยินเสียงจาม และก้อนหินกลิ้งกระทบพื้น มันกวาดสายตาสอดส่อง และดมกลิ่นไปทั่วบริเวณที่ว่างเปล่านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่หลายนาที แต่เมื่อสุดท้ายไม่พบความผิดปกติอะไรมันก็หันกลับแล้วรีบวิ่งตามขบวนที่ห่างออกไปไกล
‘เกือบไปแล้ว ใครนินทาเราวะเนี่ย’ ชายหนุ่มที่พลางตัวอยู่คิดในใจ
MANGA DISCUSSION