เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 209 หนทางนอกรีต
ตอนที่ 209 หนทางนอกรีต
ฉินจิ่วเกอสะบัดฟาดฟันบรรทัดตารางนิ้วอย่างดุดัน ยิ่งฟาดฟันยิ่งฮึกเหิม ใต้ฝ่าเท้ากองสุมซ้อนด้วยซากศพสัตว์อสูรร้ายที่โลหิตหลั่งไหลจนแห้งเหือด
เมื่อต้องเผชิญกับมนุษย์อันบ้าคลั่งเลือดเดือด สัตว์อสูรเมฆาอัคคีรวมตัวกันปะทุพลัง ในเมื่อราชันอสูรมิได้บัญชาการโจมตี ดังนั้นเพียงอุดทางถอยของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
“มนุษย์ผู้นั้น หยุดมือได้แล้ว”
ราชันอสูรเมฆาอัคคีเคาะกีบเท้าที่ดูเหมือนเท้าหมู อวบแน่นไปด้วยมวลเนื้อมหาศาล
“เจ้าพูดภาษามนุษย์ได้?” ฉินจิ่วเกอประหลาดใจ สัตว์อสูรต่ำกว่ากลั่นดวงธาตุปกติยังไม่พัฒนาสำนึกรู้
หรือว่า สัตว์อสูรตัวนี้ จะแตะสู่ช่วงชั้นกลั่นดวงธาตุแล้ว?
ครึ่งก้าวกลั่นดวงธาตุและกลั่นดวงธาตุแท้จริง ยังมีระยะห่างอันกว้างไกล เทียบได้ราวฟ้ากับเหว
“เหอเหอ สายเลือดสูงส่งของอสูรเมฆาอัคคีข้า แค่ภาษามนุษย์ไม่นับเป็นอย่างไรได้ เพียงแต่เราจะพูดออกมาหรือไม่เท่านั้น” ราชันสัตว์อสูรม้วนตัวขึ้นยืน จมูกบานออกเหมือนม้า
“อ้อ งั้นเจ้าเรียกข้าไว้ทำไม?” ฉินจิ่วเกอหยุดสำแดงอิทธิฤทธิ์ทักษะยุทธ์ของตนเอง ภายในลอบดึงพลังออกจากพฤกษาสวรรค์ในหลิงไถ ฟื้นฟูพลัง
“ยามนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์เจ้าตกต่ำถดถอย แดนร้างทักษิณนี้ย่อมตกเป็นของพวกเราเหล่าอสูรเข้าปกครอง ตัวเจ้าหากมีความสำนึกตัว และสวามิภักดิ์ต่อเราราชัน เช่นนั้นเราราชันย่อมต้องสมนาคุณอย่างดี”
“คิดซื้อตัวข้า?” ฉินจิ่วเกอโมโหจนหัวร่อ สัตว์อสูรตนนี้ นี่มันโอหังเกินไปแล้ว
“เหอเหอ” ราชันอสูรเชิดจมูกแค่นเสียง
“เจ้ากินเจหรือกินเนื้อ?” ฉินจิ่วเกอขบคิด เจ้าสัตว์อสูรเมฆาอัคคีนี้ ดูไปไม่ต่างจากหมูหันตัวอ้วน เนื้อบนตัวต้องอวบหยุ่นชุ่มฉ่ำเป็นแน่
ราชันสัตว์อสูรเบิกตาเรียวเล็กเท่าเม็ดถั่ว ปลายหางผอมแห้งเรียวทู่ราวตะเกียบปัดตูดสลัดสิ่งสกปรก “เราราชันรับประทานมังสวิรัติ ไม่ทานเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะหมู ไม่กิน”
“ถ้างั้นก็เปล่าประโยชน์ ข้ากินเนื้อ” ฉินจิ่วเกอพูดไปก็เหลือบมองด้านหลังไปด้วย เสาะหาทางหนี
“เช่นนั้น น่าเสียดาย ไปตายซะเถอะ!”
ราชันสัตว์อสูรกู่คำรน บงการสัตว์อสูรใต้อาณัติเข้าโจมตี บรรดาสัตว์อสูรทั้งหลายกลายเป็นบ้าคลั่ง สามมหาอสูรระเบิดพลังนำหน้าสัตว์อสูรเมฆาอัคคีเข้ารุมสังหารฉินจิ่วเกอ ทั้งสี่ทิศแปดทางคือสัตว์อสูรเมฆาอัคคีที่ม้วนร่างกลิ้งเข้าจู่โจมเป็นทรงกลม กำลังแรงที่ม้วนพุ่งทะลวงเข้ามาไม่ต่ำกว่าหมื่นจิน
ฉินจิ่วเกอกระโดดขึ้นสูงสามจั้งก่อนจะร่วงหล่นลงพื้นอีกครั้ง ใช้บรรทัดตารางนิ้วเขี่ยใส่สองก้อนเนื้ออสูรที่กลิ้งหลุนเข้าใส่ “ตาย!”
มืออสูรครอบคลุมผืนฟ้า กรงเล็บแหลมคมเจาะทะลวงชั้นไขมัน อวัยวะภายในสาดกระจายเต็มฟ้า บรรทัดตารางนิ้วในมือฉินจิ่วเกอขยายยืดออกเป็นสิบจั้ง ร่วงฟาดพาดลงเบื้องล่าง แหวกออกเป็นเส้นทางถอยสายหนึ่ง
“มันจะหนีแล้ว! ตาม!”
ราชันอสูรพิโรธโกรธเกรี้ยว เจ้ามนุษย์นี้ไม่รู้จักดีชั่ว ต้องบงการสามสมุนของมันไล่ล่าเต็มกำลัง มันต้องการศีรษะของอีกฝ่ายแขวนต้นไม้ไว้ ให้เผ่ามนุษย์ชั่วร้ายทั้งหลายได้เห็น
ฉินจิ่วเกอเผ่นแน่บ ไม่ถูกต้อง สมควร สมควรเรียกว่าเป็นการล่าถอยอย่างมีวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ เป็นการหมุนวงล้อยุทธการ
ตีๆ หยุดๆ สุดท้ายลากพาลูกสมุนของราชันสัตว์อสูรออกไปจนไกลห่าง หายลับไปในป่าดง
ราชันสัตว์อสูรส่งเสียงหัวร่อเหอะหะ อ้าปากหาวคิดเข้านอน ขยับเคลื่อนร่างอวบอ้วนของมันลงในปลักโคลนอ่อนนุ่มอีกครั้ง ยืดช่วงเอวออกมาด้วยความเกียจคร้าน อวดห่วงยางบริเวณพุงท้าสายตาสวรรค์
เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรเมฆาอัคคีลิ่วล้อถูกฉินจิ่วเกอล่อไปไกล ลั่วเฉินและซ่งเล่อก็เผยตัวตนออกมาอย่างกล้าหาญ
“ผู้ใด?” ราชันสัตว์อสูรพลิกร่างกลมป็อก อ้าง่ามกีบเท้าราวกรรไกรแคะเขี่ยสางเส้นขนแดงบนร่าง
“ทลาย!”
ซ่งเล่อเหินร่างขึ้นสูงก่อนถาโถมลงจากฟ้า เหยียบลงบนยอดพุงของราชันสัตว์อสูรเมฆาอัคคี สำแดงทักษะยุทธ์วิชาใหม่ที่เพิ่งร่ำเรียนออกมา
นี่เป็นมันใช้สิทธิของศิษย์ฝ่ายในของประตูหายนะ หยิบยืมทักษะยุทธ์ขั้นแปดมาท่องอ่าน
มวลอากาศทั้งสี่ทิศควบรวมที่ใจกลางฝ่ามือของซ่งเล่อ จากนั้นระเบิดปะทุออก ฟาดทำลายใส่กลางท้องกลมๆ ของอสูร
ผัวะ!
ราชันสัตว์อสูรหนังหนาด้าน หนังเนื้อส่วนท้องของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีคือชั้นไขมันที่ผ่านการสั่งสมมาเป็นปีๆ กำปั้นของซ่งเล่อที่ส่งออกไปต้องรับแรงสะท้อนกระเพื่อมอันรุนแรง จากปลายนิ้วแล่นเข้าใส่สองบ่า
“ระวัง!”
ประกายกระบี่สีทองกระจายจ้า มหานทีสะบั้นสุริยันสำแดงเดช เข้าพัวพันสองมือสองเท้าของราชันสัตว์อสูร ให้ซ่งเล่อมีเวลาพักผ่อนหอบหายใจ
“เดรัจฉานอันประเสริฐ หนังหนานัก” ลั่วเฉินหมุนควงฝ่ามือ เสียงกระดูกขบเขี้ยวดังลั่น
ซ่งเล่อกุมกริชดำสนิทยาวหนึ่งฉื่อ คดโค้งราวจันทร์เสี้ยว วางลงบนฝ่ามือที่ดัดโค้งราวดวงจันทร์พอดิบพอดี ตลอดร่างระวังระไว ยืนหยัดมั่นคงบนผืนดิน
ลั่วเฉินถาโถมลงจากนภาราวเทพเซียนจุติจากฟ้า เท้าสะกิดใส่พื้น หากกลับไม่ติดธุลีแม้เพียงนิด เส้นเกศาดำสนิทปลิวสยาย ประดุจดั่งปักษาทะยานฟ้า เปล่งเจตกระบี่อันดุดันยืนหยัดตระหง่านค้ำฟ้าดิน
“พิสุทธิ์ไพศาลกระจอกงอกง่อยสองคน ช่างไม่รู้ดีชั่ว ดูท่าแล้วเผ่ามนุษย์ล้วนมีเพียงนี้เท่านั้น” ราชันสัตว์อสูรพลิกร่างขึ้นยืนในท้ายที่สุด เงาดำตระหง่านบดบังฟ้า
“น่าขัน เจ้าก้อนเนื้อมโหฬาร แทนที่จะซุกหัวอยู่ในป่าอย่างว่าง่าย กลับวิ่งโร่ออกมาหาเรื่องราว ไม่กลัวข้าย่างเจ้าหรือยังไง!”
ซ่งเล่ออยู่กับฉินจิ่วเกอมาเนิ่นนาน ร่ำเรียนฝีปากคมกริบของอีกฝ่ายมาไม่น้อย ใช้ปากกระทำการบูลลี่รูปร่างของอีกฝ่าย
ราชันสัตว์อสูรเดินวนไปมากับที่สามรอบ ยอดเศียรปรากฏประกายแสงแดงก่ำดั่งอาทิตย์ พอเห็นว่าไร้ซึ่งลูกสมุน ต้องเกิดฉุกใจคิดขึ้นมา ไขมันกระเพื่อมไหวทั้งตัว
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าไปตายซะ!”
“จู่โจมที่ดวงตา แทงข้างหลังมัน!”
ซ่งเล่อผงกศีรษะ ยืนหยัดมั่นกับพื้น ร่างทะยานสูง ผลักด้ามกริบเสือกไสออกใส่ดวงตา
“พิฆาตสวรรค์!”
“ราชันศักดิ์สิทธิ์ผ่าสวรรค์!”
“ฮ่าฮ่า กำลังเบื่อพอดี จะเล่นกับเผ่ามนุษย์กระจอกเช่นเจ้าฆ่าเวลาแล้วกัน ม้วนพสุธา!”
ลั่วเฉินซ่งเล่อหนึ่งนำหนึ่งตาม ถล่มกระบวนท่าผ่าทลายจากเหนือฟ้า เข้าฟาดฟันกับราชันสัตว์อสูรครึ่งก้าวกลั่นดวงธาตุรอบหนึ่ง
ทางด้านฉินจิ่วเกอ คนกำลังส่ายก้นตบตูดดังแปะๆ กระตุ้นท้าทายสามหัวหน้าสัตว์อสูรพร้อมสมุนที่ไล่ล่า สัตว์อสูรเหล่านั้นเห็นท่าทางน่าชิงชังรังเกียจของมัน ต้องบังเกิดใจฮึกหาญต้องการชำระล้างมลทินขจัดมารแก่ใต้หล้า ไล่ล่าฆ่าล้างอย่างสุดชีวิต
สามหัวหน้าสัตว์อสูรไล่ตามฉินจิ่วเกอมาพันเมตร สุดท้ายมาถึงสถานที่ไกลตา ฉินจิ่วเกอหยุดเท้าลง เลิกคิ้วหลิ่วตา
เห็นสีหน้าท่าทางน่าสยองพองขนของอีกฝ่ายแล้ว สามสัตว์อสูรต้องคำรามลั่น “เจ้าหนูสกปรก วิ่งไปต่อสิ ไอ้ตาขาวน่ารังเกียจ!!”
ฉินจิ่วเกอกวาดมองสัตว์อสูรเมฆาอัคคีที่รายล้อม ใช้สีหน้าของผู้สูงส่งมองดูมดปลวก จากนั้นปั้นสีหน้าราวปราชญ์จ้วงโจวใคร่ครวญมายาผีเสื้อ “ผู้คนหัวร่อข้าบ้าบอ ข้ากลับหัวร่อพวกมันมองไม่ทะลุซึ้ง”
“พูดอะไรของมัน?” แม่ทัพสัตว์อสูรตัวแรกพึมพำ มนุษย์ช่างยุ่งยากมากเรื่อง จะต่อยตียังมาทำร่ำร้องจ้อกแจ้กอะไร
“ไม่เข้าใจ หัวเราะไม่หัวเราะอะไร” แม่ทัพสัตว์อสูรอีกตัวใช้ภาษาสัตว์อสูรพูดคุยกัน ส่งเสียงฮึมฮัมงึมงำ
แม่ทัพสัตว์อสูรตัวสุดท้าย ศีรษะของมันใหญ่โตยิ่ง ดังนั้นมีมันสมองมากกว่าอีกสองตัว ส่งภาษาสัตว์อสูรครืดๆ คราดๆ “ข้าเข้าใจ มันกำลังบอกว่าตัวมันไม่ได้สวมกระโปรง”
“หวา เจ้าหมอนี่มิใช่แปลกแหวกแนวไปหน่อยกระมัง” สัตว์อสูรเมฆาอัคคีอีกตัวส่งเสียงฮือๆ ฮาๆ ออกมา
“นี่ พวกเจ้าน่ะ” ฉินจิ่วเกอม้วนแขนเสื้อ ตั้งท่าเตรียมพร้อมรบ “ส่งเสียงฮึมๆ ฮัมๆ อยู่ตรงนั้น ที่แท้หมายความว่าอะไร?”
“คร่อกคร่อกคร่อกคร่อก” สามแม่ทัพสัตว์อสูรส่งเสียงตอบ
ฉินจิ่วเกอรู้สึกสมองพองโตทันที ดูท่าคงพูดจากันไม่รู้เรื่อง สายเลือดของสามแม่ทัพอสูรพวกนี้มีไม่พอ ไม่อาจพูดภาษามนุษย์
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็พอๆ ลาๆ มาๆ จือๆ ไม่ต้องมาทำท่าเจ้าคอยดูข้าข้าคอยดูเจ้า ไม่ว่าคนหรือสัตว์อสูร ก็ทำตัวให้เรียบง่ายเข้าไว้
ขอเพียงสังหารอีกฝ่ายตายได้ นั่นแหละถึงจะบรรลุเป้าหมาย!
“เคล็ดหมื่นมารทมิฬ!”
ตรงนี้ไม่มีคน ฉินจิ่วเกอก็ขวัญกล้าบังอาจใช้เคล็ดกำลังภายในเจตจำนงสวรรค์ของมันออกมา ทันใดนั้น ใจกลางฝ่ามือปรากฏประกายแสงสีดำจากอเวจี กลบบดบังกลางวันเจิดจ้าจนหม่นแสง
ไอทมิฬดำทะมึนทะลักทลายคล้ายระลอกคลื่นหนุนเนื่อง เพียงพริบตาก็รายล้อมร้อยสัตว์อสูรทั้งหมดไว้ รมพวกมันเข้าไว้ในหม้อไอทมิฬ
“กี๊กี๊กี๊กี๊”
“ฮูฮูฮูฮูฮู”
“ฮวาฮวาฮวาฮวาฮวา”
สามแม่ทัพสัตว์อสูรไม่เคยพบขบวนโจมตีเช่นนี้ นี่คล้ายไม่ใช่การโจมตีของเผ่ามนุษย์
เพียงรู้สึกได้ว่าไอพลังมารทมิฬมีส่วนคลับคล้ายกับไอพลังมรณะแห่งยมทูต คลื่นความโศกเศร้าอาดูรทั่วทั้งสี่ทะเล คลื่นพลังพยาบาทจากเก้ามหาอเวจี รังสีฆ่าฟันกองซากศพทะเลเลือด
เคล็ดวิชามารระดับเจตจำนงสวรรค์ คือเคล็ดกำลังภายในที่ขุดคุ้ยออกมาจากทะเลโลหิต ล่มฟ้า ทำลายคน ถล่มมรรคา!
เดิมทีฉินจิ่วเกอไม่กล้าใช้ออก ทว่าตอนนี้ไม่มีคนอยู่ นอกจากนี้จากคลื่นสัตว์อสูรปะทุคั่ง เขตแดนเผ่ามนุษย์ปรากฏทะเลโลหิตทอดยาวสุดสายตา เชื่อว่าไม่น่ามีใครสัมผัสได้
สัตว์อสูรเมฆาอัคคีเมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังแห่งความตายอันรุนแรงเข้มข้น นั่นต่างจากการเงื้อง่ามีดไล่เชือดสังหาร คลื่นพลังนั้น ราวกับประทับเข้าไปในไขกระดูก คล้ายกับความหวาดกลัวของมนุษย์ที่มีต่อความมืดกระนั้น
“อิทธิฤทธิ์หมื่นมาร สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน ดึงหลอมไขกระดูก มารโลหิตดูดวิญญาณ!”
ใช้เคล็ดวิชามารดูดพลังวิญญาณ ฉินจิ่วเกอไม่ได้ใช้ออกเป็นครั้งแรก ตอนที่มันปะทะกับเทียนหมิงเสียก็เคยใช้ ทั้งยังเคยลิ้มรสอันหวานหอม ครั้งนั้นมันเองก็เกือบสูญเสียการควบคุมตน ทว่านี่มิได้เปลี่ยนแปลงสถานะของเคล็ดวิชามารภายในใจของฉินจิ่วเกอ
ดาบ สามารถขจัดคนพาลอภิบาลคนดี ทั้งสามารถข่มเหงผู้คน มีแต่ต้องดูที่จิตใจ จิตของข้าไร้ขอบเขต ฟ้าอำนวยผู้ช่วยเหลือตนเอง!
“เข้า!”
ฉินจิ่วเกอดีดนิ้ว ไอพลังทมิฬครอบคลุมลงใส่แม้กระทั่งนัยน์ตาของมัน ส่งผลให้นัยน์ตาดำยิ่งดำขลับราวแต้มหมึกอันเข้มข้น
สัตว์อสูรเมฆาอัคคีที่ถูกไอพลังทมิฬรายล้อมหวาดหวั่นขวัญผวา รวมถึงสามแม่ทัพอสูรเองก็ต้องก้มศีรษะคำราม กดริมฝีปากของมันแนบพื้น เพียงได้ยินเสียงซี่ซี่ ปรากฏไอมารผุดโผล่ออกจากกลุ่มพลังสีดำ ลากพาสัตว์อสูรอ่อนแอเข้าไปภายใน
ไอพลังทมิฬราวหนอนชอนไช ค่อยๆ คืบคลานกัดกร่อนสัตว์อสูรเหล่านั้น
เสียงสัตว์อสูรเมฆาอัคคีอลหม่าน ตลอดร่างล้วนอาบทาไปด้วยโลหิต สุดท้ายเหลือเพียงโครงกระดูกขาวโพลน ปราศจากซึ่งไอชีวิตแม้แต่น้อย
ฉินจิ่วเกอควบคุมบังคับไอพลังทมิฬที่สูบกลืนพลังวิญญาณไปไม่น้อยกลับคืนสู่ร่าง
ความรู้สึกสัมผัสนั้น ช่างประหลาดพิสดารเหลือแสน พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนราวกับการได้สูบดื่มน้ำกลางคิมหันต์ ทั้งสังขารและดวงจิตกลับกลายเป็นกระชุ่มกระชวย
ขอบเขตที่หยุดนิ่งมานานเริ่มเกิดการเคลื่อนไหวอย่างแช่มช้า นำพาความรู้สึกพึงใจสุขสดชื่นสู่สังขารกายเนื้อ
“จิ๊จิ๊ สมกับเป็นที่ริษยาของผู้คน ทั้งยังถูกดูแคลนแต่กลับปรารถนาจากมวลมนุษย์ วิชาปีศาจที่เดินทางลัดนี้ ช่างพิสดารจริงๆ”
เศษเสี้ยวไอพลังทมิฬหลุดรอดจากหางตาของฉินจิ่วเกอก่อนสลายหายไปในอากาศ ยังกัดกร่อนไอวิญญาณในห้วงธรรมชาติไปอีกเล็กน้อย
สามแม่ทัพสัตว์อสูรใช้สายตาประหลาดมองดูฉินจิ่วเกอ พวกมันถูกไอมารบีบคั้นจนต้องล่าถอยไม่หยุดยั้ง คลื่นความหวาดกลัวที่กดทับเข้าในจิตใจนี้ ไม่ต่างจากคนเดินอยู่ท่ามกลางขุนเขาเปลี่ยวร้างยามค่ำคืน
ต่อให้กำลังภายนอกแข็งแกร่งปานไหน แต่เมื่อขวัญกำลังใจถูกกดข่ม ล้วนกลับกลายเป็นอ่อนแอ แพ้พ่ายในกระบวนท่าเดียว
ฉินจิ่วเกอสูบกลืนผลประโยชน์ที่เคล็ดหมื่นมารทมิฬชักนำมาให้ รูขุมขนสิบแปดหมื่นทั่วร่างยืดขยาย ไอปีศาจโคจรพลุ่งพล่าน ก่อนลดเลี้ยวเข้าสู่บ่อบึงแห่งพลังมาร
จนถึงขั้นสุดท้าย สัตว์อสูรเมฆาอัคคีที่ไล่ล่าตามฉินจิ่วเกอ เพียงเป็นแม่ทัพสัตว์อสูรพิสุทธิ์ไพศาลอันโดดเดี่ยว สัตว์อสูรปราณสุริยันที่เหลือล้วนถูกฉินจิ่วเกอลากลงนรกไปหมดแล้ว
บนพื้นดิน ปรากฏมือปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน เกลื่อนกล่นด้วยหนอนชอนไชและคราบตะไคร่ ฝากความอาฆาตพยาบาทสู่โลกแห่งคนเป็น
“ใกล้แล้ว!”
ฉินจิ่วเกอยื่นมือออก สูบลากสามสัตว์อสูรเข้าสู่คลื่นพลังทมิฬ จากนั้นแกนพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์สามดวงก็ถูกดึงดูดสู่ตันเถียน เข้าสู่ใจกลางหลิงไถ