เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 109 บึงมารมรณา
บึงมารมรณะ คือสถานที่ต้องห้ามที่สุดภายในป่าปีศาจสวรรค์ ไม่มีผู้ใดทราบว่าบึงนี้ลึกสักเพียงไหน ส่วนผู้ที่คิดเข้าไป ล้วนร่วงหล่นลงภายในนั้นทั้งสิ้น
เคยปรากฏกลั่นดวงธาตุท่านหนึ่งเหินบินหลบหนีออกพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ก็ถูกพลังลึกลับสายหนึ่งพรากเอาชีวิตไป
ป่าปีศาจสวรรค์ที่มีรัศมีนับหมื่นลี้ บึงมารมรณะก็คือหนทางตันที่ไม่อาจข้ามผ่าน ฉินจิ่วเกอยามหลบหนีไม่คิดชีวิต กลับมาถึงยังบึงมารมรณะ นัยน์ตาฝ้าฟางของมันไม่อาจมองชัดตา เพียงเห็นสายน้ำสีดำที่กำลังไหลรินสายหนึ่ง
“เด็กน้อย บึงมารมรณะแห่งป่าปีศาจสวรรค์นี่นับว่าขึ้นชื่อ แม้แต่ข้ายังไม่กล้าลงไป ได้กลบฝังในที่นี้ เจ้าเองก็จงพึงพอใจเถอะ”
เทียนหมิงเสียแสยะเขี้ยววาววับ ปากอ้ากว้างโชว์ฟันสีแดงเลือด มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างอดรนทนไม่ไหว ส่งเสียงหัวร่อพิกลออกมา
“ข้าฉินจิ่วเกอหากต้องตาย ก็ไม่ขอตายในเงื้อมมือชั่วร้ายของเจ้า!”
สองมือยันพื้นไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง อ้าปากขบเคี้ยวหญ้าเขียวขจีที่ข้างริมฝีปาก ขจัดรสสนิมเหล็กมันข้นคาวภายในปากออก
คนคืบคลานมุ่งหน้าไปยังบึงมารมรณา เหลืออีกเพียงครึ่งก้าว กลับร่วงหมอบลงกับพื้น
เทียนหมิงเสียสัมผัสได้ ใต้พื้นดินมีขุมพลังบางอย่างอันรุนแรงพลุ่งพล่าน แม้ยามนี้ยังหลับใหล หากมิใช่สิ่งที่ดวงธาตุทองคำจะต้านทานได้
“เจ้าคิดกระโดดลงไป?” นี่มิใช่ในนิยาย เทียนหมิงเสียถามไถ่ตนเอง หากเป็นมันเมื่อครั้งที่ยังสมบูรณ์พร้อม หากลงไปในนั้นยังไม่แน่ว่าสามารถรอดกลับออกมาได้ เบื้องล่างของบึงมรณา สะกดไว้ด้วยตัวตนอันน่าหวาดหวั่น
“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็ไม่มีทางตายในเงื้อมมือเจ้า” ฉินจิ่วเกอต่อปากต่อคำทั้งที่ไร้เรี่ยวแรง มันคาดคิดคำนวณ สภาพสังขารร่างกายของมันที่กำลังจะล่มสลาย ยามนี้มันกำลังเผาผลาญพลังชีวิตของตนเองทั้งหมดเพื่อค้ำจุนซากสังขารอันเหวอะแหว่งด้วยรูเปิดแผลบาดนับไม่ถ้วน
ตันเถียนแตก เส้นชีพจรขาดสะบั้น ล้วนเป็นอาการที่มนุษย์ไม่อาจเยียวยาฟื้นคืนได้ เทียนหมิงเสียเองก็คาดคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นมันไม่รีบร้อน คนเมื่อคิดฟาดหนอนแมลงตัวหนึ่ง ยังจะต้องระแวดระวังไปเพื่ออะไร
“หากกระโดดลงไป เจ้ายิ่งต้องตายอย่างน่าอนาถ บึงมารมรณานี้อัดแน่นไปด้วยกระแสพลังอันหลากหลาย ทั้งความเคียดแค้น สังหาร ละโมบ อำมหิต อาฆาต เจ้ากลับมาทางนี้ดีกว่า ให้ข้าค่อยๆ ฉีกแล่เนื้อหนังของเจ้าออกมาอย่างช้าๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ฉินจิ่วเกอจู่ๆ ก็หัวร่อออกมา ร่างสะท้านเฮือก พุ่งไปเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง ร่างจมดิ่งลงไปในความมืดมนอันไร้ก้นบึ้งด้วยความเร็ว ก่อนจะหายวับไปจากสายตา
เมื่อถูกความมืดโอบล้อมลากดึงเข้าไป แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ไม่อาจเห็นได้อีกตลอดกาล
“ดี ตายซะได้ก็ดี เช่นนี้เฉินเอ๋อร์ในพรรคหลิงเซียวย่อมปราศจากอุปสรรคอีก ข้าก็สามารถสงบใจฟื้นฟูสภาพได้แล้ว” เทียนหมิงเสียเห็นฉินจิ่วเกอร่วงลงสู่บึงมารมรณาอันมืดดำไร้ก้น ก็ไม่ตรวจสอบอันใดอีก เพียงหมุนกายเหินร่างจากไปหาเหยื่อเพื่อฝึกปรือรายใหม่
บึงมารมรณา เพียงสี่คำ แต่แม้กระทั่งกลั่นดวงธาตุยังไม่กล้าแหย่อสรพิษ
“อ๊าาาาาาาาาา!”
ฉินจิ่วเกอที่ไร้แรงเคลื่อนไหวแม้แต่กระผีก หลังร่วงหล่นลงสู่บึงมารมรณา ด้วยระดับพลังที่กลับคืนสู่ด่านหลอมวิญญาณขั้นเก้า แน่นอนว่าย่อมไม่อาจขยับกายเหินร่างได้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าภายในความมืดมิด ปรากฏฝ่ามือใหญ่นับไม่ถ้วน ยื่นยาวออกมาฉุดกระชากลากดึงคนลงไปเบื้องล่างอย่างไม่สิ้นสุด
ร้อยเมตร พันเมตร เรือนร่างปลิวไปราวใบไม้ร่วง แทบไม่ทราบแล้วว่าที่แท้ร่วงหล่นลงมาถึงบริเวณใดในบึงมารมรณากันแน่
ปรโลก? อเวจี?
จวบกระทั่งฉินจิ่วเกอหมดสติใกล้ตาย ภายในความมืดมิดนั้น กลับปรากฏความมืดมิดเหนือความมืดมิดอันบริสุทธิ์หมดจดยิ่ง
สีสันนั้น ยังดำมืดมิดสนิทยิ่งกว่าความดำมืดทั้งหลาย ดำสนิทจนสามารถดูดกลืนแสงสว่าง ประดุจดั่งปฐมบรรพชนแห่งความมืดกระนั้น
รูปร่างของมันราวกับประกายสายฟ้า ลอยล่องไปมาอย่างสำราญ วนเวียนโดยรอบร่างกายของฉินจิ่วเกอ ก่อนจะเสียดแทรกเข้าไปในร่าง อาละวาดทำลายล้างอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน
พลังเช่นนี้ หากเป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุย่อมต้องรู้จักคุ้นเคยยิ่ง เพราะนี่ก็คือพลังแห่งกฎเกณฑ์! เนื่องเพราะการหยั่งรู้แห่งกฎเกณฑ์นับหมื่นพันล้วนไม่มีใดเหมือนกัน รูปลักษณ์ภายนอกของกฎเกณฑ์ย่อมแปรเปลี่ยนสภาวะไปต่างๆ นานา ทว่าพลังอันพิสุทธิ์สุดขีดจำกัดระดับที่แดนแมงเม่าสามารถทานรับไว้เช่นนี้ ย่อมเป็นกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน ไม่มีทางผิดพลาดได้
ผู้ที่สามารถก้าวข้ามด่านดวงธาตุทองคำ เหยียบย่างไปเหนือกว่าผู้คนทั้งหลาย เกาะกุมความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมความเป็นและความตายของสรรพชีวิตใต้หล้าในแดนแมลงเม่าไว้ นั่นก็คือกฎเกณฑ์!
ฟ้าพิโรธโกรธา มนุษย์มีแต่ต้องผวาด้วยความกลัว ซากสังขารนับแสนล้าน ลากยาวเป็นสายธารโลหิตนับพันลี้
กฎเกณฑ์เมื่อพิโรธโกรธกริ้ว หมื่นพันชีวิตย่อมแตกดับสลาย สามารถบงการหยินหยางกำหนดความเป็นไปในธรรมชาติ ขอเพียงหยั่งรู้ได้แม้เพียงเส้นสายใยเดียว แม้แต่โฮ่วเทียนเองยังไม่อาจเทียบเปรียบได้
“อ๊าาาาาาาาาา!” มันคือความเจ็บปวดรวดร้าวไร้สิ้นสุด ไม่ต่างจากการถือมีดเลาะกระดูกแยกเนื้อหนัง จากนั้นยัดกลับเข้าไป ก่อนส่งมันกลับไปเกิดใหม่ ผ่าแยกเปิดกะโหลก กระชากดึงอวัยวะภายในทั้งห้า แผดเผาดวงวิญญาณ เข็มร้อยพันทิ่มแทงทะลุเนื้อหนังนับไม่ถ้วน
ฉินจิ่วเกอทานรับไว้ ดวงจิตวิญญาณที่คล้ายใกล้แตกดับสลายรับความทรมานอย่างสุดแสน อาศัยเพียงเส้นสายใยเสี้ยวเล็กๆ แห่งความอาลัยในโลกมนุษย์ที่หลงเหลือในห้วงสมอง ฉินจิ่วเกอยังไม่ถูกความทรมานฟาดโบยจนล่มสลาย ซึมซาบความเจ็บร้าวหากทว่ายังไม่แหลกสลาย
หลังพายุร้ายคลื่นลมสงบ ท่ามกลางนรกแห่งความเจ็บปวด อาจบางทีนี่คือโชคชะตา
หากเปลี่ยนเป็นชนชั้นแหวกชำระกายาหรือเก้าดวงธาตุสูงสุดประสบพบเจอกฎเกณฑ์แทรกทำลายเข้าสู่กายเนื้อ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ย่อมต้องร่างแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นควัน ไม่หลงเหลือแม้แต่ผงธุลี
แต่ฉินจิ่วเกอนั้น เนื่องเพราะก่อนร่วงหล่นลงสู่บึงมารมรณา ถูกทำลายตันเถียนและเส้นชีพจรตนย่อยยับจากเทียนหมิงเสีย พลังฝีมือดิ่งร่วงจากปราณสุริยันขั้นสมบูรณ์ หลงเหลือเพียงหลอมวิญญาณขั้นเก้า
และเนื่องเพราะฉินจิ่วเกอกล้าย่อยสลายศิลาวิญญาณนับหมื่นๆ ก้อนในพริบตา ไอวิญญาณในศิลายังไม่จางหาย และเป็นเพราะเส้นชีพจรถูกทำลาย ที่ยังเหลือไว้คือโลหิตและเยื่อสมอง
เมื่อถูกพลังแห่งสายฟ้ากฎเกณฑ์เข้ากระตุ้น ส่งผลให้ร่างกายไม่หยุดทำงาน ทั้งยังไม่ถูกสายฟ้าฟาดตาย
เมื่อไม่มีตันเถียน ก็เท่ากับไม่มีสถานที่กักเก็บกฎเกณฑ์ไว้ กฎเกณฑ์แล่นเข้ามาแล้วผ่านออกไป ไม่มีตกค้างภายในร่างกาย เช่นเดียวกับพื้นราบไม่อาจกักเก็บน้ำ เมื่อไม่มีเส้นชีพจร กฎเกณฑ์ย่อมไม่อาจเข้ารุกรานสู่วิญญาณได้ เพียงสามารถบดขยี้ทำลายร่างกายและเลือดเนื้อ ยิ่งถูกไอวิญญาณปรับเปลี่ยนฟื้นฟู
ทำลายแล้วค่อยกำเนิดใหม่ แตกดับแล้วค่อยรังสรรค์
ภายใต้ความมืดมิดใต้บึงมารมรณาแปดพันเมตร ระดับความลึกแปดพัน แน่นอนย่อมไม่อาจพบพานดวงตะวันลำธารใส
มีเพียงสายลมพัดผ่านข้างใบหู ร่างยังคงร่วงดิ่งลงสู่ใจกลางโลกไม่หยุดยั้ง
พลังแห่งกฎเกณฑ์ไร้คนควบคุมบังคับ เพียงหยุดรั้งอยู่ที่ระยะสามพันเมตรถึงแปดพันเมตร เมื่อพ้นระยะแปดพันเมตรไปแล้ว ใจกลางแผ่นดินยืดขยายออกกว้างไกลไพศาลนับหมื่นเมตร ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุด
พลังแห่งกฎเกณฑ์สลายหายไป หากมิได้หมายความว่าลงมาถึงจุดสิ้นสุดของบึงมารมรณาแล้ว กลับกัน พลังชั่วร้ายที่เทียนหมิงเสียสัมผัสได้ขุมนั้น กลับซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกนี้เอง ประทับอยู่ภายในดวงวิญญาณ
เจ็บปวดโศกร้าว โทสะไม่เที่ยง กระหายโลภโกรธหลง ภูติหยินตระหนกผวา
พลังด้านลบอันสารพัน สามารถลบล้างทำลายห้วงจิตที่ผ่องแผ้วบริสุทธิ์ที่สุดในโลกได้ ยิ่งร่วงหล่นลงสู่ส่วนลึกมากขึ้นเท่าไหร่ พลังด้านลบทั้งหลายยิ่งถาโถมโหมกระหน่ำเข้าใส่มากขึ้นเท่านั้น ไม่ต่างจากปรากฏนรกแปดขุมกดทับเข้าใส่เหนือศีรษะ จวบกระทั่งลากดึงผู้คนร่วงหล่นลงสู่วังวน กลับกลายเป็นผีดิบเดินได้กินเนื้อคน
“จิตสงบอารมณ์นิ่ง ห้าขันะ์ไม่เที่ยงแท้ เจตนาตามครรลอง ลมหายใจเข้าและออก น้ำไหลลงต่ำ สมบัติซ่อนใต้ปฐพี เรื่องเล็กเรียบง่าย เพียงใจข้านิ่ง ยาวนานลังเล ข้างมีวิญญาณ วิญญาณรู้สติ”
ห้วงอาวรณ์มากมายมหาศาลไหลหลั่งถาโถมเข้าใส่ห้วงจิต ฉินจิ่วเกอทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะหลั่งเหงื่อยังไม่มีปัญญา ร่างที่ร่วงหล่นลงไปยิ่งมายิ่งเพิ่มระดับความเร็วขึ้น ฉินจิ่วเกอในใจสำรวมสติสมาธิ พร่ำสาธยายบทสวดสมัยตนยังอยู่ในโลกก่อน คือบทสวดสงบจิตที่ผู้คนล้วนสรรเสริญเอง
สวรรค์ ไม่อาจเปลี่ยนเจตนารมณ์ ดิน ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
พร้อมกับการท่องสวดบทสงบจิตอย่างไม่หยุดยั้ง ฉินจิ่วเกอล่วงเข้าสู่ภวังค์อันเงียบสงัดประการหนึ่ง ความเจ็บร้าวทรมานบนร่างล้วนอันตรธานหาย แม้แต่วิญญาณยังเข้าสู่ห้วงโลกอิสรเสรีไร้ข้อผูกมัดใด
พลังด้านลบทั้งหลายไม่อาจสร้างความกระทบกระเทือน ฉินจิ่วเกอก็ร่วงหล่นลงมาถึงระดับหมื่นเมตรใต้พื้นดินแล้ว
คงไม่มีใครเคยคาดคิดไว้ บึงมารมรณากลับสามารถผ่าทะลวงลงมาในเปลือกโลกได้ลึกถึงขั้นนี้ นี่นับว่าห่างไกลจากความสามารถของมนุษย์ที่จะขุดเจาะออกมาได้
จวบกระทั่งร่างร่วงหล่นลงมาถึงกองฝุ่นคลีที่ใต้สุดของความลึกนี้ ฉินจิ่วเกอจึงหมดสติไป
ภายในความมืด โครงกระดูกร่างหนึ่งขยับเคลื่อนไหว แตะสัมผัสลงบนข้อนิ้วกระดูกที่หลงเหลือจากการแตกทำลายของฉินจิ่วเกอ ช่วยรักษาพลังชีวิตเสี้ยวสุดท้ายของชายหนุ่มไว้ไม่ให้สูญสลาย
“ผ่านไปอีกสิบวันแล้วนะ! ” อาวุโสใหญ่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน บนโต๊ะหินเขียวครึ้มไปด้วยตะไคร่ มุมโต๊ะด้านหนึ่งกองไว้ด้วยไม้เสี่ยงทายสิบชิ้น
อาวุโสสี่ใช้พรสวรรค์ฟ้าประทานของมันปรุงโอสถจากผลอู๋เลี่ยง รีดเค้นสรรพคุณของสมบัติวิเศษ ป้อนแก่ลั่วเฉินรับประทานแล้ว ยามนี้ ลั่วเฉินนอนแผ่อยู่บนเตียง คล้ายดักแด้ที่ซุกอยู่ในรังไหม แม้แต่เหล่าอาวุโสยังไม่อาจมองทะลุได้
ทว่า นี่สามารถจินตนาการได้ ยามใดที่ลั่วเฉินได้สติคืนมา พลังฝีมือของมันย่อมน่ากลัวสักปานไหน
อาวุโสสามละเลียดลิ้มชิมรสชาติอย่างสำราญ ฉินจิ่วเกอไม่กลับมา ส่วนแบ่งของมันก็ไม่ต้องเอามาคำนวณ ในชีวิตของผู้คนนั้น ที่เบิกบานที่สุดก็คือเงินทองกองเพิ่มพูนขึ้น หรือไม่ก็ยามที่หุ้นส่วนธุรกิจของท่านตกตายไม่อาจทวงส่วนแบ่งได้นั่นเอง
อาวุโสสองยิ่งไร้กังวล ในเมื่อมันเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของพรรค ทั้งยังสามารถเอาผลอู๋เลี่ยงสดมาได้ นี่เพียงพอให้สั่นสะท้านไปทั่วทั้งเผ่ามนุษย์ ต่อให้เพียงเป็นกระดาษเปล่าใบหนึ่ง แต่กระดาษเปล่าใบนี้ยามนี้วิวัฒนาการแล้ว กลายเป็นกระดาษแข็งเลื่อมมันแวววาวสะดุดตาเทือกนั้น
“ช่างเถอะ ชะตาฟ้าไม่อาจหยั่ง สรรพชีวิตล้วนกลับคืนสู่สังสาร หากเป็นเจตนาฟ้า จิ่วเกอครั้งนี้ไม่ตาย ความสามารถของมันย่อมทะลวงขึ้นเหนือกว่าพวกเราเฒ่าชรา” อาวุโสสี่สำรวมสมาธิ ถ่ายทอดข้อความออกมาอย่างเงียบงัน
“อา งั้นก็รอต่ออีกหน่อยแล้วกัน” อาวุโสใหญ่รวบเก็บไม้เสี่ยงทายลงไปอย่างหงุดหงิด ในดวงตาทอแววเหนื่อยล้ากังวลลึกล้ำ
หวังว่า หวังให้มันสุขสบายดีเถอะ
“ข้า ยังไม่ตาย? ” ฉินจิ่วเกอปราดแรกที่ลืมตาตื่น ต้องสงสัยใจว่าตนเองใช่ตื่นแล้วจริงหรือไม่ เนื่องเพราะที่เบื้องหน้าสายตาปรากฏลูกไฟปีศาจสีเขียวมลังเมลืองล่องลอย
สว่างพอให้เห็นโดยรอบอย่างเลือนราง
ท่ามกลางความมืด ไม่ว่าจะลืมตาหรือปิดตาก็ล้วนไม่มีอันใดแตกต่าง กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
กระทั่งฉินจิ่วเกอมองเห็นเบ้าตาไฟสองดวง ถึงค่อยยกมือถูตาที่ลึกโหลของตนให้แน่ใจ
เสียงทุ้มหนักแก่ชราดังมาจากความมืด คล้ายเสียงโซ่เหล็กฉุดดึงดวงวิญญาณ “เจ้ายังไม่ตาย แต่ก็เกือบไม่รอด หากไม่ใช่เพราะข้าใช้ไอวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายปกป้องชีพจรหัวใจเจ้าเอาไว้ ต่อให้ผ่านไปเป็นสิบปีเจ้าก็ไม่มีวันฟื้นคืนสติ”
“เจ้าเป็นใคร” ฉินจิ่วเกอเหยียดมือทั้งสองข้างที่เหลือแต่กระดูกออก หอบหายใจแผ่ว มองตามที่มาของกลุ่มไฟสองดวงไป พบว่าใต้เข่าของตน มีแต่ซากกระดูกนับร้อยอยู่เกลื่อนกล่น
บางท่อนผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน เพียงสัมผัสถูกเบาๆ ก็สลายกลายเป็นผง ทิ้งไว้เพียงผงแป้งสีเขียวมรกตใต้แสงไฟเรืองรอง
“ข้าน่ะหรือ? ” เสียงไอแหบแห้งดังขึ้น น้ำเสียงระโหยโรยแรง “ข้าถูกขังอยู่ที่นี่มานานจนเกินไปแล้ว อย่างน้อยๆ ก็คงร่วมพันปีเห็นจะได้”
พันปี? ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุที่ผนึกดวงธาตุทองคำขึ้นมาได้ ก็มีอายุขัยหนึ่งพันปีเช่นกัน ส่วนเก้าดวงธาตุขั้นสูงสุดนั้น ลองคิดดูแล้ว คงอยู่ได้ราวๆ ห้าพันปี
สุ้มเสียงนี้ราวกับผ่านกาลเวลามายาวนาน ยามได้ฟังไม่ชวนให้รู้สึกสนิทสนมคุ้นใกล้เลยแม้แต่น้อย มีแต่จะเกิดความหวาดกลัวจากก้นบึ้งจิตใจ แม้แต่เสียงหายใจยังคล้ายกระหายเลือดอยู่ตลอดเวลา “ข้าถูกพันธนาการปริศนาตรึงร่างจนสิ้นลมอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะถูกขัง กฎเกณฑ์แยกออกจากสังขาร ผ่าเปิดรอยแยกออกมา ตัดขาดการสื่อสารกับโลกภายนอก”
“ข้างล่างนี้ยังมีอะไรอยู่อีกหรือ? ” ฉินจิ่วเกอมองเข้าไปยังมิติอันมืดมิดที่มีแต่ความมืดอนธการ กฎเกณฑ์ อีกฝ่ายเอ่ยถึงกฎเกณฑ์ อย่าบอกนะว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งจริงๆ ?