อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด - ตอนที่ 330 ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทั้งนั้น
ตอนที่ 330 ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทั้งนั้น
มันน่าแปลกตรงที่เธอเดินลงไปข้างล่าง แต่กลับไม่ได้เห็นเงาของโอวหยางลี่เดินเข้ามาเลยสักนิด แต่เมื่อครู่นี้เธอกลับได้ยินเสียงที่น่าสงสัยดังขึ้นที่ด้านนอก
“อันโหรว! อันโหรว เธอเปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เป็นเสียงของเหอเหมียวที่ดังขึ้น
เธอเดินไปที่ประตูทางเข้าและพูดกับบอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่ข้างในว่า “เปิดประตูเถอะ!”
บอดี้การ์ดเอ่ยคำพูดที่เย็นชาออกมา “ประธานสั่งเอาไว้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทั้งนั้น”
“ฉันบอกให้เปิดประตู!” อันโหรวตะโกนออกมา “ฉันเป็นใคร ฉันก็แค่นกคีรีบูน[1]ตัวหนึ่ง พวกนายรู้หรือเปล่าว่าคนข้างนอกเป็นใคร? นั่นเป็นภรรยาในอนาคตของประธานนะ อีกทั้งยังอุ้มท้องลูกของประธานอีก!”
อันโหรวอยู่ที่นี่มานาน เธอไม่เคยทำท่าโกรธเคืองแบบนี้มาก่อน เมื่อบอดี้การ์ดทั้งสองคนได้เห็นใบหน้าที่สวยงามของเธอทำท่าโกรธ
เขาจึงยอมเปิดประตูด้วยความงุนงง
ทันทีที่ประตูเปิดออก เหอเหมียวก็ได้เดินเข้ามาอย่างโกรธเคือง
เมื่อเหอเหมียวเห็นเธอ เธอก็แทบจะยกมือขึ้นมาตบที่ใบหน้า อันโหรวรีบก้าวถอยหลังเพื่อหลบทันที “เธอมาที่นี่เพื่อตบฉันอย่างนั้นเหรอ?”
อันโหรวค่อนข้างเป็นกังวลว่าเธอสามารถหาที่นี่เจอได้ยังไง?
ถ้าหากเธอสามารถหาที่แห่งนี้เจอได้ อย่างนั้นตระกูลจิ่งและคนอื่น ๆ ก็ต้องหาที่นี่เจอได้เหมือนกัน
“ที่แท้เธอก็กลายเป็นนกน้อยคีรีบูนแล้วสินะ ไม่เย่อหยิ่งผยองไปหน่อยหรือไง? ไหนเธอบอกว่าเธอไม่ชอบพี่โอวหยางแล้วไง ไม่มีทางที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่า ๆ หรือกลับมาอีก คิดไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแบบนี้ได้!” เมื่อครู่เหอเหมียวไม่ได้ตบไปที่ใบหน้าของเธอ แต่ตอนนี้เธอได้ยกมือขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะบรรเทาความโมโหที่อยู่ในใจให้จางหายไป
อันโหรวไม่ได้ตอบกลับ มีแต่ถอยหลังออกไป ก่อนจะพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “สายตาเธอนี่มันยังไง ถึงได้มองว่าพวกเราจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่า ๆ คิดว่าถ่านไฟเก่าของฉันมันจะถูกจุดติดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันอยากออกไปจากที่นี่จะแย่อยู่แล้ว ถ้าหากเธอชอบเขาจริง พวกเราก็มาแลกเปลี่ยนกันหน่อยดีกว่า ฉันไม่ปฏิเสธข้อเสนอแน่นอน”
เธอคิดอยากจะออกไป พอคิดเรื่องนี้ก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
“คิดเหรอว่าเธอพูดแบบนั้นแล้วฉันจะให้อภัยเธอได้! ในเมื่อท้องของฉันตอนนี้คือลูกของพี่โอวหยาง ครอบครัวที่กำลังจะสร้าง เธอกลับไม่คิดยอมปล่อย แสร้งทำตัวสูงส่ง เธอนี่มันร้ายกาจจริง ๆ นะ! คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นพวกตีสองหน้าแบบนี้ได้!” เหอเหมียวรู้สึกเมื่อยที่มือของตัวเอง เธอยังไม่ทันแตะต้องแม้แต่เส้นผมของอันโหรว แต่ก็ยังทำท่าไม่ปล่อยมือที่ยกขึ้น
อันโหรวมองไปรอบ ๆ ตัวเธอ ก่อนจะมองไปดูส่วนท้องน้อยที่ยื่นออกมา ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้น น่าจะมากกว่าสามเดือนแล้ว ท้องน้อย ๆ เริ่มยื่นออกมา แต่ยังไม่ใหญ่โตชัดเจนเท่าไรนัก
“ฉันไม่ได้อยากมาเถียงกับเธอเรื่องโอวหยางลี่หรอกนะ ถ้าหากเธอคิดจะเอาชนะใจเขา เธอก็ไม่ควรส่งเสียงจอแจดังขนาดนั้น ฉันมีความตั้งใจอยู่นะ” ไม่ง่ายเลยที่จะมีคนข้างนอกเข้ามาข้างในนี้ได้ เธอจะไม่ยอมปล่อยโอกาสแม้แต่สักโอกาสเดียวให้หลุดมือแน่ ๆ
“เธอคิดเหรอว่าฉันจะเชื่อคำพูดของเธอ?” ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอหาคนสะกดรอยตามพี่โอวหยางละก็ คงไม่รู้แน่ว่าเขาได้มาที่นี่เมื่อคืนนี้
อีกอย่างก็คงไม่รู้ว่าพี่โอวหยางเล่นซุกซ่อนนกน้อยที่อยู่ในกรงทองเช่นนี้ จับอันโหรวมาซ่อนเอาไว้ในที่แบบนี้
แม้แต่จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่น่าจะรู้เรื่องนี้!
อันโหรวคิดอยากจะบอกให้เธอชัดเจนถึงจุดยืนในชีวิตจริง ๆ การแสดงของเธอมันยังไม่ชัดเจนอีกงั้นเหรอ?
หรือว่าเธอต้องสาดไวน์ใส่หน้าโอวหยางลี่ให้เหอเหมียวได้เห็นชัด ๆ และทำท่าโกรธเคืองเดินหันหลังออกไป เพื่อที่เธอจะได้เชื่อว่าเธอนั้นไม่ได้ชอบโอวหยางลี่แล้ว
“ฉันบอกกับเธอหลายครั้งหลายหนแล้วว่าฉันกับเขาไม่มีความรักหลงเหลืออยู่เลยสักนิดเดียว หรือว่าเธอดูไม่ออกอย่างนั้นเหรอว่าฉันถูกจับตัวมาขังไว้ที่นี่ ตราบใดที่เธอช่วยฉันให้ออกจากที่นี่ หรือไม่ก็แจ้งให้กับคนตระกูลจิ่งรู้ ฉันจะได้ออกไปจากที่นี่สักที โอวหยางลี่จะได้เป็นของเธอ ไม่อย่างนั้นถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อไป หัวใจของเขาก็ไม่มีทางไปหาเธอได้แน่” วันนี้เธอจะต้องออกไปให้ได้
ถ้าพรุ่งนี้โอวหยางลี่พาเธอออกไปข้างนอก เธอกลัวว่าเธอจะทำอะไรอีก
“ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วย?” เหอเหมียวจ้องมาที่เธอ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน เธอรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเธอนั้นดูดีขึ้นกว่าเดิม
ก่อนหน้านั้นเธอคนนี้ดูน่าเกลียดมากในชื่อของอันอีหาน แต่ทว่าตอนนี้เพียงแค่รอยยิ้มเล็ก ๆ ขนตาที่ยาวงอน ดวงตาที่ใสแจ๋ว ไม่ว่าจะมองมุมไหน เธอก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ๆ คนหนึ่งเลย
หลังจากที่มีลูกตั้งสองคน ทรวดทรงของเธอกลับยังคงดูดี
เธอเกิดความอิจฉาเล็กน้อยขึ้นมาในใจ น่ารังเกียจ น่าอิจฉาจริง ๆ
“ฉันโกหกเธอแล้วฉันจะได้อะไร ถ้าหากฉันออกห่างจากตัวโอวหยางลี่ ไม่ใช่ว่าเธอจะมีความสุขอย่างนั้นเหรอ?” อันโหรวเอ่ยถามอย่างใจเย็น
เหอเหมียวมองดูสภาพและท่าทางของเธอ ดูแล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก สิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอก็คือไม่อยากให้อันโหรวคนนี้กลับมาอยู่ข้างกายของโอวหยางลี่
ต่อให้ตัวเธอเองไม่ได้อยู่เคียงข้างโอวหยางลี่ อย่างน้อยสักวันเธอก็อาจจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ถ้าหากอันโหรวปรากฏตัวและอยู่ข้างกายโอวหยางลี่แบบนี้
เธอคงจะไม่มีวันได้รับโอกาสนั้นอย่างแน่นอน
แม้ว่าตอนนี้เธอจะอุ้มท้องลูกของพี่โอวหยาง แต่เป็นไปได้ว่าหลังจากนี้อันโหรวเองก็อาจจะมีโอกาสนั้นเช่นกัน
เธอยอมรับผลพวกนั้นไม่ได้แน่ ไม่มีทางหรอก!
“ได้ ฉันจะช่วยบอกเรื่องเธอให้ เธอก็รออยู่ที่นี่เถอะ!” เหอเหมียวยอมรับข้อตกลงที่ว่า
เมื่ออันโหรวกำลังจะกำชับให้บอกเรื่องนี้กับคุณป้าและคุณลุงจิ่ง ไม่ทันไรที่ด้านนอกก็มีเสียงรถกำลังเข้ามาจอด
ทั้งสองคนที่ได้ยินต่างก็ตกใจกันยกใหญ่
โอวหยางลี่กลับมาเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
เหอเหมียวเริ่มเป็นกังวล มองดูอันโหรวและกำลังร้องขอความช่วยเหลือ “ฉันจะทำยังไงดี? จะบอกเขาไม่ได้เลยนะว่าฉันอยู่ที่นี่!”
อันโหรวมองไปที่ด้านนอกประตู ตอนนี้กุญสำคัญไม่ใช่เหอเหมียวที่อยู่ที่นี่ แต่เป็นเรื่องที่รถของเธออยู่ด้านนอก โอวหยางลี่ตอนนี้จะต้องรู้แน่ว่าด้านในมีคนอยู่
“เธอจะช่วยฉันหรือเปล่า? เธอไม่ช่วยฉัน ฉันเองก็จะไม่ช่วยเธอ!” เหอเหมียวเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ชั้นสองห้องแรกทางซ้ายมือ เธอเข้าไปที่นั่นก่อน!” นั่นคือห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องเธอ และข้างในนั้นพวกเขาสองคนก็ไม่ได้ใช้พัก
เหอเหมียวรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนทันที เมื่อตัวเธอหายไปจากจุดนี้ โอวหยางลี่ก็ได้เดินเข้ามาพอดี
เมื่อบอดี้การ์ดทั้งสองคนกำลังจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้น อันโหรวก็รีบเดินไปด้านหน้า ส่วนทางด้านโอวหยางลี่ก็รีบเดินเข้ามาหาเธอเช่นกัน ก่อนจะเอื้อมมือเข้ามาจับตรงข้อมือของเธอทันที “โหรวโหรว พวกเราไปกันเถอะ!”
“ไปไหน?” ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ?
“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ตอนนี้พวกเราต้องไป!” โอวหยางลี่คิดจะดึงและพาเธอออกไปด้านนอกด้วยท่าทีที่กังวลและรีบร้อน
อันโหรวได้ยินเสียงเครื่องบินอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มันใกล้มาก ใกล้ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
ขณะที่โอวหยางลี่กำลังลากเธอวิ่งออกไป เธอก็ได้เห็นเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังบินลงมาจอดที่สวนใหญ่ ๆ ตรงหน้าประตู ใบพัดยังคงหมุนด้วยความเร็ว
โอวหยางลี่รีบเปิดประตูรถและผลักเธอเข้าไปข้างใน
รถหลายคันเพิ่งหลุดพ้นจากโค้งและมาจอดตรงประตูทางเข้าออก ทั้งสองทิศทางตอนนี้มีรถอยู่จำนวนมากมาจอดแนบชิดติดเอาไว้ ในที่สุดใบพัดเฮลิคอปเตอร์ก็ได้หยุดตรงใจกลางสวน
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปมองตรงเฮลิคอปเตอร์ก็ได้เห็นคนคนหนึ่งที่กำลังจะลงมา ใบพัดที่เริ่มจะหมุนช้าลงยังคงพัดเสื้อกันลมสีเทาเข้มของเขา ผมสีดำก็ถูกเสยขึ้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมดูมืดมนลงเล็กน้อย คิ้วที่คล้ายกับคมดาบยกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบางยังคงปิดสนิท เผยให้เห็นถึงอารมณ์ของเขาที่เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ได้อย่างชัดเจน
“จิ่ง…..”
ปากของเธอถูกปิดเอาไว้
ตอนนี้มีมือยกขึ้นมาปิดปากเธอไว้ แม้แต่มือของเธอก็อยู่ภายใต้การควบคุม เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอถูกกักขังไว้ ไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
จิ่งเป่ยเฉิน!
เขายังไม่ตายอย่างนั้นเหรอ?
ทำไมยังมีชีวิตอยู่?
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอกำลังฝันอยู่ใช่ไหม?
ถ้าหากนี่เป็นความฝัน เอกสารที่ผนึกไว้ก่อนหน้าในห้องหนังสือก็น่าจะเป็นความฝันด้วย ไม่ใช่ความจริงเลยสักนิดเดียว!
แต่เธอก็หวังลึก ๆ ว่าภาพตรงหน้าจะไม่ใช่ความฝัน จิ่งเป่ยเฉินยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
เขาค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าเธอทีละก้าว
เธอรู้ดีว่ารถมีฟิล์มป้องกันคนแอบดู ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกอย่างจิ่งเป่ยเฉินไม่อาจเห็นเธอที่อยู่ข้างในได้
[1] เดิมทีชื่อนี้ใช้เรียกนก ขนของนกตัวนี้เรียกได้ว่างดงาม ทั้งยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังกังวานไปทั่ว นับว่าเป็นนกเลี้ยงที่มักจะอยู่ในกรงที่สวยงามอยู่เสมอ โดยถูกใช้อธิบายถึงผู้หญิงที่ถูกกักขัง เป็นไม้ประดับให้ผู้ชายได้เชยชม สูญเสียอิสรภาพต่าง ๆ นั่นเอง