มันน่าเกลียดจริงๆ เขารู้จุดอ่อนของฉัน แล้วใช้มันควบคุมฉันครั้งแล้วครั้งเล่า
“ซูยุ่นฉันขอโทษ”
ขอโทษ… ขอโทษอีกแล้ว
ฉันมองเขา แต่ว่าไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ
ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาเถียงกับเขาว่าใครถูกใครผิด เพราะสีหน้าของเขาดูไม่ดีเลยจริงๆ
ฉันอดกลั้นความโกรธไว้แล้วเม้มริมฝีปากเดินตามหมอเข้าไปในห้องตรวจ
ตรงผ้าก๊อซมีเลือดไหลซึมออกมา ขณะที่พยาบาลเปิดผ้าพันแผลออก อยู่ๆ ลู่จือสิงก็ยกมือขึ้นมาปิดตาฉันไว้
ฉันดึงมือของเขาออก เขาหันมามองฉันอย่างอ้อนวอนด้วยดวงตาสีดำคู่นั้น “อย่ามอง”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดหรือเปล่า น้ำเสียงของลู่จือสิงจึงฟังดูทุ้มต่ำราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างไว้
ฉันไม่เคยทนสายตาเช่นนี้ของเขาได้เลย เมื่อเขาสะเทือนใจฉันก็สะเทือนใจไปด้วย เมื่อเขาอ้อนวอนก็ดูช่างน่าสงสาร
อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
มันเป็นอะไรที่แย่มากๆ
ฉันเบือนหน้าออกไปให้ลู่จือสิงเห็นว่าฉันไม่ได้มอง
แต่เขาก็ยังไม่ยอมลดมือที่บังสายตาของฉันลง
พยาบาลบอกว่าแผลอักเสบจริงๆ และต้องรับการรักษาอีกครั้ง
ลู่จือสิงส่งเสียงตอบรับสั้นๆ “อืม”
ฉันมองมือของเขาที่พาดบังสายตาของฉันอยู่ ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นว่ามือของลู่จือสิงกำลังสั่น
ฉันทนไม่ไหวจึงยกมือขึ้นดึงมือของเขาลง “ไม่ต้องบังแล้ว ฉันหลับตาเอง”
เมื่อพูดจบฉันก็หลับตาทันที
หลังจากหลับตาลง ประสาทการได้ยินก็ดูเหมือนจะชัดเจนขึ้น
ฉันเริ่มได้ยินเสียงหอบหายใจเบาๆ ของลู่จือสิง
ฉันรู้ว่าเขาเจ็บ ขณะเดียวกันฉันก็เจ็บและปวดใจเช่นเดียวกัน
ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีเขาก็ทำแผลเสร็จ
แต่ลู่จือสิงมีไข้และจำเป็นต้องให้ยาผ่านสายน้ำเกลือ ไม่อย่างนั้นอาจมีปัญหาได้หากไข้ยังไม่ลด
ทันทีที่ฉันชำระเงินเสร็จ ฉีซิ่วหรานก็โทรมา
ฉันเล่าอาการของลู่จือสิงให้ฉีซิ่วหรานฟัง ส่วนเขาก็บอกฉันว่าเป้ยเปยเข้านอนแล้ว และไม่ดื้อเลย
หลังจากพูดจบเราทั้งคู่ก็เงียบไป สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและน่าอึดอัดใจเล็กน้อย
ฉันรู้ว่าฉีซิ่วหรานคิดอย่างไรกับฉัน แต่ฉันก็ปล่อยให้เขาดูแลเป้ยเปย ในขณะที่ตัวเองพาลู่จือสิงมาโรงพยาบาล
ฟังดูเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าฉันเป็นฉีซิ่วหราน ฉันคงเกลียดตัวเองอย่างมาก
ในที่สุดฉันก็ทนไม่ได้และพูดขึ้นก่อนว่า “ฉีซิ่วหราน”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ขอโทษนะ วันนี้…”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ ฉีซิ่วหรานก็ขัดขึ้นมา “ซูยุ่น ฉันเคยบอกไปแล้ว ว่าฉันมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือเธอ เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือขอบคุณฉันทุกครั้งหรอกนะ” ฉันไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้กลับไปตอนไหน ยังไงฝากเป้ยเปยไว้กับนายด้วยนะ”
“ไม่เป็นไร รอให้ประธานลู่ไข้ลดลงแล้วค่อยคุยกันอีกที”
ฉันวางสายแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ยิ่งรู้สึกผิดกับฉีซิ่วหรานมากขึ้นในคืนนี้
ฉันกลับไปที่ห้องผู้ป่วยและพบว่าลู่จือสิงกำลังเดินออกมาพร้อมกับขวดน้ำเกลือ
พอเห็นเขาขยับร่างกายแบบนี้ฉันก็โมโหขึ้นมา “คุณทำอะไรน่ะ!”
ขนาดมือหนึ่งถูกพันแผลไว้และมืออีกข้างกำลังให้น้ำเกลือ เขายังทำอะไรตามอำเภอใจอีก
เขาไม่ขัดขืน ยอมให้ฉันเอาขวดน้ำเกลือแขวนกลับไปที่เดิมแล้วนอนลงบนเตียงอย่างเชื่อฟัง คำพูดที่จู่ๆ ก็เอ่ยออกมานั้นทำให้มือของฉันชะงัก ฉันวางกระเป๋าลงก่อนจะหันกลับไปมองเขาแล้วยิ้มเยาะ “ประธานลู่ อย่าคิดว่าทุกคนจะเลือดเย็นเหมือนคุณสิ”
เขามองฉันโดยไม่พูดอะไร
บรรยากาศในห้องผู้ป่วยค่อนข้างน่าอึดอัด ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดเข้าเว็บ
หลังจากเงียบไปนาน ลู่จือสิงก็เอ่ยเรียกฉัน “ซูยุ่น”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาโดยอัตโนมัติ “มีอะไรหรือ?”
“เธอจะแต่งงานกับฉีซิ่วหรานไหม?”
ฉันไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะถามคำถามนี้ออกมา และไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองอย่างไรเมื่อได้ยินคำถามนี้
ฉันมองเขาอยู่เนินนานกว่าจะตอบด้วยสีหน้าที่ปราศจากอารมณ์ว่า “มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”
“ฉันจะไม่แต่งงานกับเฉินฮวนเหยียน”
เขาไม่ถามอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็โพล่งประโยคนี้ออกมา
ต้องบอกว่าคำพูดของเขาทำให้ฉันสูญเสียการควบคุมเล็กน้อย มือของฉันสั่นจนเกือบทำโทรศัพท์ร่วงหลุดลงพื้น
แต่ฉันก็สงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว “มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
อาจเป็นเพราะท่าทางที่ดื้อดึงของฉัน ลู่จือสิงจึงไม่พูดอะไรอีก
หากเป็นเวลาปกติตอนนี้ฉันคงหลับไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงว่าลู่จือสิงต้องให้น้ำเกลือฉันจึงต้องฝืนลืมตาตื่น
ห้องผู้ป่วยเงียบมากและเครื่องทำความร้อนก็เปิดอยู่ ฉันสัปหงกเล็กน้อยก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
“ซูยุ่น?”
ขณะที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น อยู่ๆ ลู่จือสิงก็สะกิดฉัน
ฉันตื่นขึ้นในทันทีและเหลือบมองเขาอย่างสะลึมสะลือ “คุณเจ็บแผลงั้นหรือ?”
เขาส่ายหน้า “ถ้าเธอง่วงก็ขึ้นมานอนเถอะ”
เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับขยับที่ให้ฉัน ทั้งที่เตียงมีขนาดเพียง 1.2 เมตร เขายังจะให้ฉันย้ายขึ้นไปนอนบนนั้นกับเขาอีก
ฉันตื่นขึ้นเต็มตาและมองเขา “ลู่จือสิง การที่คุณมีไข้ไม่ได้แปลว่าสมองของคุณจะถูกเผาไปด้วยนะ… เราหย่ากันแล้ว”
สีหน้าของเขาดูหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย ฉันเงยหน้าขึ้นมองขวดน้ำเกลือและพบว่ามันถูกเปลี่ยนขวดใหม่แล้วตอนที่ฉันหลับอยู่
ฉันขมวดคิ้ว “พยาบาลมาเปลี่ยนขวดแล้วหรือ”
“อืม”
เขาทำตัวตามสบาย
ฉันก้มลงมองโทรศัพท์และพบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าๆ แล้ว นี่ฉันนอนหลับอยู่ที่ข้างเตียงไปตั้งหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เชียวหรือ?
ทีแรกฉันอยากจะช่วยลู่จือสิงดูขวดน้ำเกลือ แต่ดันเผลอหลับไปจนเขาต้องดูแลตัวเองเสียนี่
เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็รู้สึกผิดเล็กน้อย “คุณหลับเถอะ คราวนี้ฉันจะช่วยคุณดูเอง”
“นอนไม่หลับ”
“เจ็บแผลหรือ?”
เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
แต่ฉันรู้ว่าเขาน่าจะเจ็บแผล
ฉันหันไปมองแขนของเขา น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้เห็นตอนที่เขาทำแผล ตอนนี้มันถูกแขนเสื้อบังจนมองไม่เห็นอะไรเลย
“แขนของคุณบาดเจ็บได้ยังไง โดนแทงใช่ไหม?”
ฉันชำเลืองมองและถามราวกับไม่ได้ใส่ใจ
ลู่จือสิงมองมาที่ฉัน อาจเป็นเพราะว่าไม่สบาย สีหน้าของเขาจึงดูแย่มาก “เธอเป็นห่วงฉันไหมซูยุ่น?”
คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าฉันนิ่งขึงไป พลางคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้วหรือไงถึงถามคำถามแบบนั้นออกมา
ฉันเบือนหน้าหนี “ถ้าคุณไม่อยากพูดถึงก็ลืมๆ ไปเถอะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงฉุดดึงฉันไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับเงียบลงในทันที
ฉันเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมความเงียบของลู่จือสิงจึงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีไฟแผดเผาอยู่ในใจ ทำไมทุกอย่างถึงไม่ราบรื่นเอาเสียเลย
ฉันเหลือบมองเขา “ฉันจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
“ซูยุ่น…”
เขาเรียกฉันจากด้านหลัง แต่ฉันก็ออกไปโดยไม่หันกลับไปมอง
เขาไม่พูด แต่มีบางคนที่พูดเสมอ อย่างเช่นหลี่จื้อ…
MANGA DISCUSSION