หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 520 การกลับมาของคุณชายซิ่วถิง(1)
ใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์กราบทูลเสียงดัง “ใต้เท้ากู้เป็นคนแคว้นหวา เข้ามาอยู่ในราชสำนักยังไม่ถึงครึ่งปี ไม่มีความดีความชอบ แม้อดีตฮ่องเต้ทรงมีเมตตาแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ว่าการเฟิ่งเทียน หากแต่ตั้งให้เขาเป็นอัครมหาเสนาบดีอีก ถึงแม้คนอื่นไม่ว่าอะไร แต่ขุนนางแคว้นเย่ว์ของเราจะยอมได้เช่นไรกัน ใต้เท้ากู้อายุยังน้อย เพียงเพราะหน้าตาหล่อเหลา สนิทสนมกับฝ่าบาทจึงได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้…” เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว พอได้พูดเขาก็หยุดไม่อยู่ ตั้งแต่แคว้น อายุ คุณสมบัติ ชื่อเสียง โจมตีมู่ชิงอีทุกด้านอย่างไม่ปรานี แล้วตอนสุดท้ายยังเตือนมู่ชิงอีว่า “ใต้เท้ากู้เป็นลูกหลานของตระกูลกู้ในแคว้นหวา ต้องหวงแหนชื่อเสียงของบรรพบุรุษ ไม่ควรทำตัวเป็นขุนนางประจบสอพลอ ทำให้ตระกูลกู้อับอาย…”
หรงจิ่นยิ่งฟังสีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ลง หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงอีแอบจับเขาไว้ เขาคงจะลากชายเฒ่าคนนั้นออกไปโบยจนตายแล้ว ไม่แปลกที่เสด็จพ่อของเขาไม่ชอบฝ่ายตรวจการณ์ ฝ่ายตรวจการณ์เป็นฝ่ายที่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจจริงๆ!
มู่ชิงอีก้มหน้าลง ฟังใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ตักเตือนตัวเองอย่างนิ่งเฉย เมื่อเขาพูดจบ มู่ชิงอีก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มกล่าว “หลิวอวิ๋นขอบคุณคำตักเตือนของใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ แต่ใต้เท้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรักษาชื่อเสียงของบรรพบุรุษตระกูลกู้ ตั้งใจและพยายามเป็นอัครมหาเสนาบดีที่ดี ตระกูลกู้มีชื่อเสียงมาหลายชั่วอายุคน ถึงแม้หลิวอวิ๋นจะไม่มีความสามารถ แต่ข้าก็สามารถเรียนรู้ ตระกูลของใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ก็เป็นตระกูลมีชื่อเสียงเช่นกัน ถึงได้มีใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ที่พูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ หลิวอวิ๋นไม่มีทางทำให้ใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ผิดหวังแน่นอน”
ใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์มึนงง ได้สติกลับมาก็แทบจะกระอักเลือด เจ้าหมอนี่กำลังเยาะเย้ยว่าตระกูลของเขาไม่เคยมีขุนนางที่มีอำนาจจริงๆ ล้วนแต่เป็นขุนนางที่พูดจาเก่งเช่นนั้นหรือ เจ้าหมอนี่กำลังโอ้อวดว่าตระกูลตัวเองเคยมีคนเป็นอัครมหาเสนาบดีมาหลายรุ่นแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้การเป็นอัครมหาเสนาบดีดีไปมากกว่าตัวเอง
มองดูชายหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ในห้องโถงอย่างสง่างาม เลือดที่อยู่ในลำคอของใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ คายไม่ออกแล้วก็กลืนไม่ลง หากไม่เพราะตอนนี้องค์ชายเก้านั่งอยู่ตรงนั้น ใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์อยากจะด่าเขาว่า ‘เจ้าเด็กคนนี้มันบ้าไปแล้ว’
ตอนนี้ในสายตาของใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์เห็นเด็กหนุ่มที่ชื่อกู้หลิวอวิ๋นคือขุนนางที่ใช้หน้าตาประจบสอพลอฮ่องเต้ เป็นศัตรูตัวฉกาจของฝ่ายตรวจการณ์ทุกคน!
หรงจิ่นนั่งอยู่ข้างบน มองดูใบหน้าของขุนนางเฒ่าที่ประเดี๋ยวเป็นสีเขียว ประเดี๋ยวเป็นสีม่วง ประเดี๋ยวเป็นสีดำ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าชายเฒ่าคนนี้คงไม่ได้แย่ขนาดนั้น แน่นอนว่าหากเขาไม่ด่าชิงชิงมากมาย ตนก็ยินดีที่จะทำตัวเป็นฮ่องเต้ที่มีเมตตา รับฟังคำแนะนำและปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่รอดต่อไป
หรงจิ่นขมวดคิ้ว ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ย “ใต้เท้าเฉียน หน้าที่ของฝ่ายตรวจการณ์คือให้เจ้าดูแลศีลธรรมของบรรดาขุนนาง ไม่ได้ให้เจ้ามาพูดอะไรเหลวไหลกับข้า ยิ่งไม่ได้ให้เจ้ามาสงสัยการตัดสินใจของข้า เข้าใจหรือไม่”
ใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์อึ้งตะลึง ผ่านไปตั้งนานกว่าจะกัดฟันพูดออกมา “ฝ่าบาทไตร่ตรองไม่รอบคอบ ที่กระหม่อมแนะนำฝ่าบาทก็เพื่อฝ่าบาท กระหม่อมจงรักภักดีต่อแคว้นเย่ว์ ฝ่าบาทโปรดเห็นพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นเลิกคิ้วกล่าวเย้ยหยัน “หืม? เพื่อข้า? ใต้เท้าเฉียนเลื่อนตำแหน่งเป็นใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์มาเจ็ดปีแล้ว ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินว่าใต้เท้าเฉียนเคยแนะนำอะไรเสด็จพ่อด้วยเล่า”
ใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์พลันหน้าแดง พูดไม่ออก ตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ฆ่าฝ่ายตรวจการณ์เพราะเรื่องของพระสนมเหมย หลังจากนั้นยี่สิบปี ตำแหน่งฝ่ายตรวจการณ์ของราชสำนักก็ราวกับตำแหน่งที่ว่างเปล่า มีแต่คนที่อยากตายเท่านั้นที่กล้าแนะนำฮ่องเต้ ถึงแม้สมัยโบราณจะบอกว่าขุนนางที่กล้าพูดไม่มีความผิด แต่มันก็เป็นเพียงคำพูด หากฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาจริงๆ ใครจะสนใจว่าเจ้าเป็นขุนนางแบบใด ส่วนมากก็แค่เป็นห่วงชีวิตและตระกูลของตัวเองเท่านั้น
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา หรงจิ่นก็แอบดูแคลนในใจ ทำเพื่อเขา? จงรักภักดี? ก็แค่เห็นว่าเสด็จพ่อเสียชีวิตไปแล้ว คิดว่าเขาเป็นคนพูดง่ายจึงอยากเข้ามายุ่ง ไม่ต้องบอกว่าชิงชิงไม่ใช่ขุนนางประจบสอพลอ ถึงแม้ว่านางจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็คงไม่มากไปกว่าเขาในตอนนั้นกระมัง ตอนนั้นพวกเขาหดคอราวกับเต่าก็มิปาน ตอนนี้เสด็จพ่อเสียชีวิตไปแล้วกลับกระโดดออกมา แต่ช่างน่าเสียดาย…ตนพูดด้วยยากกว่าเสด็จพ่อเสียอีก!
เห็นท่าทีอับอายจนจะเป็นลมของชายเฒ่าคนนั้น มู่ชิงอีกระแอมเบาๆ บอกให้หรงจิ่นพอได้แล้ว หากเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเช่นไรเขาก็เป็นถึงใต้เท้าฝ่ายตรวจการณ์ในราชสำนัก ถึงแม้จะมีความคิดที่ไม่ดี แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่สร้างพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้ร่วมมือทำเรื่องเหลวไหลกับบรรดาองค์ชายหรือท่านอ๋องคนอื่น
หรงจิ่นเข้าใจนาง ถึงแม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าตัวเองต้องครองบัลลังก์อย่างมั่นคง การที่ชิงชิงจะมีอำนาจในราชสำนัก ไม่ใช่แค่ฆ่าคนก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ การที่เสด็จพ่อทำได้ ก็เพราะเขาครองราชย์มานานกว่ายี่สิบปี แต่บุตรชายอย่างเขา แม้แต่บังลังก์มังกรก็ยังเพิ่งนั่งได้ไม่นาน
หรงจิ่นสะบัดมือ “เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
คนที่อยู่ข้างล่างเห็นท่าทีของเขาก็รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์จึงต้องยอมแพ้ “ฝ่าบาท แคว้นเย่ว์ของเรามีตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาตลอด ไม่ทราบว่าใต้เท้ากู้…”
หรงจิ่นเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่มีการแบ่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จื่อชิงคืออัครมหาเสนาบดีคนเดียวของแคว้นเย่ว์”
ทันใดนั้น มู่ชิงอีก็รู้สึกว่าตัวเองถูกจับจ้องด้วยสายตาที่ไม่พอใจนับไม่ถ้วน นางจึงถอนหายใจในใจ ตอนนี้หากหรงจิ่นต้องการรวบรวมอำนาจ นั่งบัลลังก์อย่างมั่นคง เขาต้องรวบรวมอำนาจไว้ หากแบ่งอำนาจออกไป เกรงว่าคงจะวุ่นวายมากกว่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางคงต้องนั่งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีจริงๆ แล้ว
บนใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางสายตาที่โจมตีตัวเองของผู้คน มู่ชิงอียืนยิ้มอยู่บนขั้นบันไดห้องโถงด้วยท่าทีที่สง่างาม แม้แต่บรรดาขุนนางที่ไม่พอใจนางก็ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนี้ช่างมีท่าทีที่สง่างามเสียจริง
องค์ชายเก้าไล่พวกเขาออกมา บรรดาขุนนางพากันเดินออกมาจากประตูวังด้วยสีหน้าซีดเซียว นอกประตูวัง มีคนในตระกูลของพวกเขาเดินเข้ามาต้อนรับ พวกเขาอายุมากแล้ว แล้วยังเป็นเสาหลักของตระกูล ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้สวรรคต พวกเขาก็ถูกขังอยู่ในพระราชวัง คนในครอบครัวจะไม่เป็นห่วงได้เช่นไร
“ท่านปู่ขอรับ”
ราชครูที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเดินออกมาด้วยท่าทีที่สั่นเทา เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์อันอบอุ่นบนหัวตัวเอง เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่ออกมาอย่างปลอดภัย ช่างโชคดีจริงๆ ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มสวมเสื้อสีขาวนวลที่อยู่ไม่ไกลจากประตูวังกำลังเดินตรงเข้ามาหาตัวเอง
“อวี้เอ๋อร์” ชายหนุ่มคนนั้นคือเจียงอวี้ หลายชายคนโตของราชครู เจียงอวี้เป็นชายหนุ่มมีความสามารถ เพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ปีก็สอบผ่านจอหงวน ตอนนี้อายุยี่สิบเจ็ดได้รับตำแหน่งเป็นบรรณาธิการของสำนักศึกษาฮั่นหลิน ขุนนางระดับสี่
เห็นท่านปู่ของตัวเองออกมาอย่างปลอดภัย เจียงอวี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ประคองท่านปู่ของตัวเองเดินไปทางรถม้าพร้อมกับถามว่า “ท่านปู่ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
จนกระทั่งขึ้นไปบนรถม้า ราชครูก็ถอนหายใจแล้วมองดูหลานชายตัวเอง “อวี้เอ๋อร์ ต่อไปตระกูลเจียงของเราคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
“ท่านปู่ หมายความว่า…” เจียงอวี้งุนงง เขาเป็นเพียงบรรณาธิการขุนนางระดับสี่ ในเมืองหลวงขุนนางระดับสี่ไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง ไม่มีตำแหน่งในราชสำนัก ตระกูลเจียงจะพึ่งเขาได้อย่างไร