หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 511 ตัดสินผู้ครองบัลลังก์เบื้องต้น(4)
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!” บรรดาขุนนางต่างลุกขึ้นพลางกล่าวถวายบังคม แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่พระราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนได้รับการประกาศใช้แล้ว และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแคว้นเย่ว์เป็นของอวี้อ๋อง
หรงจิ่นกวาดสายตามองดูฝูงชนอย่างเย็นชาเอ่ย “อาลักษณ์กรมพิธีกรรม สำนักหอดูดาวหลวงรับผิดชอบพระราชพิธีพระศพของเสด็จพ่อ ส่วนคนอื่นๆ…ให้อยู่ในวังเพื่อไว้อาลัยให้เสด็จพ่อ!”
อาลักษณ์กรมพิธีกรรมและสำนักหอดูดาวหลวงรีบก้าวเข้าไปทูลตอบ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ กราบทูลฝ่าบาท พิธีขึ้นครองราชย์…” เมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต กรมพิธีกรรมกับสำนักหอดูดาวหลวงไม่เพียงแต่ยุ่งอยู่กับงานพระราชพิธีพระศพของฮ่องเต้องค์ก่อน ซ้ำยังมีงานพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วย แม้แต่คนโง่ก็ยังสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าในสองสิ่งนี้สิ่งใดสำคัญกว่ากัน ไม่ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจะมีความสำคัญเพียงใด แต่ก็สวรรคตไปแล้ว แต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือฮ่องเต้ของพวกเขาในอนาคต
หรงจิ่นเอือมระอาเล็กน้อย กว่าด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จัดแบบเรียบง่าย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
หรงจิ่นสบถเบาๆ เตือนทุกคนด้วยการเหลือบมองแล้วเดินออกไป
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ฮ่องเต้องค์ใหม่มีชื่อเสียงด้านอารมณ์ที่แปลกประหลาดในตอนที่ยังเป็นองค์ชาย ใครก็เดาไม่ออกว่าเขาจากไปอย่างอารมณ์เสียเพราะเหตุใดกันแน่
มู่ชิงอีเอามือก่ายหน้าผากอย่างเอือมระอา ยิ้มบางเอ่ย “ทุกท่านไปจัดการเรื่องของตัวเองเถิด ส่วนบรรดาขุนนางคนสำคัญและบรรดาองค์ชาย…โปรดอยู่ในวังเพื่อไว้อาลัยแก่ฮ่องเต้องค์ก่อนเพื่อแสดงความกตัญญู” พูดจบมู่ชิงอีก็เหลือบมองตงฟังซวี่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง แล้วยังมีปู้อวี้ถังและคนอื่นๆ ตงฟังซวี่พยักหน้า มู่ชิงอีจึงได้หันหลังแล้วเดินตามหรงจิ่นออกไป
ณ ตำหนักเหมย ในเดือนสามไม่มีดอกเหมยแล้ว แต่มีลูกเหมยสีเขียวขนาดเล็กใหญ่ไม่เกินนิ้วมือห้อยอยู่ใต้ใบไม้สีเขียวที่แผ่กิ่งก้านสาขา แต่ดูเหมือนว่าในลานตำหนักจะยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย
มู่ชิงอีก้าวเข้าไปในหอเล็กๆ ของตำหนักเหมย เห็นหรงจิ่นกำลังนอนอยู่บนขอบระเบียงหลังคาพลางมองลงมาข้างล่าง คาดว่าคงจะเห็นว่านางเข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เพียงแต่นางอยู่ข้างล่างเลยไม่เห็นคนด้านบน
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สามารถข้ามตำแหน่งรัชทายาทแล้วขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยตรง เหตุใดองค์ชายเก้าจึงดูไม่มีความสุขเล่า”
หรงจิ่นตบที่ว่างข้างๆ ตัวเอง “ชิงชิงนั่งก่อนเถิด”
มู่ชิงอีเลิกคิ้ว นั่งลงตรงที่เสื้อของหรงจิ่นปูไว้ ขณะที่นางกำลังนั่งลงหรงจิ่นก็สวมกอดนาง “มีอะไรหรือเพคะ”
หรงจิ่นหรี่ตาพลางกอดนางไว้แน่น หลับตาเพื่อสูดกลิ่นหอมอันผ่อนคลายจากกายนาง กล่าวเบาๆ “เขาบอกว่าข้าเป็นบุตรชายของเขา”
“เขา? ใคร? ฮ่องเต้…องค์ก่อน? ” มู่ชิงอีถามพลางเลิกคิ้ว ปัดผมยุ่งเหยิงบนแก้มเขาออกเบาๆ “สิ่งนี้สำคัญกับท่านขนาดนั้นเชียวหรือ”
หรงจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเย็นชา “ข้าหวังว่าข้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา!” ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หรือหรงจัง หรงจิ่นล้วนไม่ได้ความรู้สึกดีด้วย เขาไม่มีทางรู้สึกดีกับอีกฝ่าย แต่หรงจิ่นไม่ชอบใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หรือหรงจัง ในใจก็มีความสงสัยครึ่งหนึ่งและความเชื่อใจครึ่งหนึ่งเท่านั้น หากฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าหรงจิ่นเป็นบุตรชายของเขา ตอนที่เขายังเด็กคงไม่มีทางละเลยเขาเช่นนั้น แม้จะอธิบายว่าทำไปเพื่อเป็นการปกป้องเขาก็ดูฟังไม่ขึ้นเล็กน้อย ถ้าหากหรงจังเชื่ออย่างสนิทใจว่าหรงจิ่นเป็นบุตรชายของเขาก็คงไม่ละเลยหรงจิ่นเหมือนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
บางครั้งเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ก็โหดร้ายแบบนี้ ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกลวงตนเองอยู่หรือไม่ เพราะว่าตัวเจ้าเองก็ไม่กล้าไว้ใจใคร
เมื่อหรงจิ่นอายุแปดชันษาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จึงรักและเอ็นดูเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน คงเพียงเพราะว่าจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหากเขาตาย คนเดียวที่มีความเกี่ยวข้องกับเหมยซีเอ๋อร์บนโลกใบนี้ก็จะไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จึงได้มีความคิดแปลกประหลาดที่จะพาหรงจิ่นไปกับเขาเมื่อเขาสวรรคต สำหรับสาเหตุที่เขาเปลี่ยนใจในท้ายที่สุด เกรงว่าคงจะไม่มีใครรู้นอกจากตัวของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอง บางทีอาจจะเหมือนกับที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กล่าวไว้ หรงจิ่นกับเขา…เหมือนกันมากเกินไป
มู่ชิงอีถอนหายใจ นี่ช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งเหยิงซะจริง สิ่งที่แย่ก็คือหรงจิ่นไม่ไว้ใจฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หรือหรงจังเลย ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ หากเขาเชื่อในคนใดคนหนึ่ง ก็คงไม่คิดหนักเช่นนี้ ประสบการณ์หลายปีทำให้หรงจิ่นเลือกที่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งไม่ว่าพวกเขาจะพูดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สวรรคตแล้ว เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถบอกความจริงได้อย่างกระจ่าง
ความจริงแล้วความคับแค้นข้องใจของคนรุ่นก่อนจะถูกหรือผิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนนอกอย่างพวกเขาจะตัดสินได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความรู้สึกของหรงจิ่นที่มีต่อฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อย่างน้อยก็ลึกซึ้งกว่าหรงจัง คนหนึ่งคือเสด็จพ่อที่รักและเอ็นดูเขามาสิบปี และอีกคนหนึ่งคือเสด็จพี่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วอ้างว่าเป็นพ่อของเขา แม้ว่าหรงจิ่นจะไม่ยอมรับแต่ในใจก็ยังคงรู้ขอบเขตดี
“เล่าเรื่องคืนนี้ให้หม่อมฉันฟังได้หรือไม่ เมื่อพูดจบแล้ว…พวกเราก็ควรจะไปทำเรื่องสำคัญแล้ว อย่าลืมว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่คิดจะแย่งบัลลังก์ของท่าน” มู่ชิงอีคลี่ยิ้มกล่าว หรงจิ่นแค่นเสียง “ของๆ ข้า ต่อให้ไม่ต้องการก็ไม่มีทางยกให้พวกเขา”
หอเล็กๆ อันเงียบสงบในตำหนักเหมยมีเสียงทุ้มของหรงจิ่นดังขึ้น และมีเสียงเกลี้ยกล่อมปลอบอย่างอ่อนโยนของมู่ชิงอีดังขึ้นเป็นระยะๆ ภายใต้แสงสว่างอันเลือนรางในตอนกลางคืนเมื่อเทียบกับบรรยากาศลึกลับของที่อื่น ที่นี่นับว่าเงียบสงบกว่าที่อื่นในวังเล็กน้อย
ยามรุ่งสาง อากาศค่อนข้างเย็น พระราชวังจมอยู่ในหมอกสีขาว เสียงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าดังขึ้นทั่ววัง ร่างของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถูกบรรจุลงในโลงแล้ว โลงศพของเขาถูกวางไว้ในพระตำหนักเฟิ่งเทียน บรรดาองค์ชายและพระราชนัดดา ข้าราชบริพารรวมถึงพระสนมต่างก็มาไว้อาลัย ณ ที่แห่งนี้ ฟ้ายังไม่ทันสางเสียงร้องไห้ก็ดังระงมไปทั่ว
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ หรงซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวกับหรงเหยี่ยนเสียงเบาว่า “พี่สี่ เหตุใดไม่เห็นหรงจังเล่า”
หรงเหยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ที่เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์พวกเขาก็ไม่เห็นหรงจังเลย เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้พวกเขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ คิดว่าหรงจังไม่สบายจึงกลับไปก่อน แต่ต่อให้ไม่สบายแค่ไหนก็ไม่ควรไม่มาร่วมงานเช่นนี้ แต่ในเวลานี้ก็ยังไม่เห็นหรงจัง
“คงไม่ใช่ว่า…ถูกเจ้าเก้าฆ่าไปแล้วหรอกระมัง” หรงซิงกล่าวเสียงเบา
หรงเหยี่ยนส่ายหน้าเอ่ย “ไม่รู้ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้”
หรงซิงยิ้มเย้ยหยันเอ่ย “นั่นก็ไม่แน่ หากฆ่าพี่น้องตั้งแต่ยังไม่ขึ้นครองราชย์ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าหรงจิ่นจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร”
“น้องสิบ อย่าหุนหันพลันแล่น” หรงเหยี่ยนกล่าวเสียงเบา “เขามีพระราชโองการสืบทอดราชบัลลังก์จากเสด็จพ่ออยู่ในมือ ถือเป็นความชอบธรรม อีกอย่าง…น้องสิบ เจ้าคิดว่าระหว่างเสด็จพ่อกับน้องเก้าใครจะดูมีความเมตตามากกว่ากันเล่า”
หรงซิงเงียบเสียงไป เสด็จพ่อเป็นคนเย็นชา หรงจิ่นเป็นคนโหดเหี้ยม ไม่ว่าใครก็ไม่เหมือนคนที่มีเมตตา ในช่วงแรกที่ขึ้นครองบัลลังก์เสด็จพ่อก็ฆ่าพี่น้องไปไม่น้อย มิเช่นนั้นตอนนี้จะเหลือเพียงท่านอ๋องเฒ่าในตระกูลสองคนได้อย่างไร หรือว่าหรงจิ่นก็…
หรงเหยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบต่อไป “ตอนนี้ข้าพึ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืน…เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นจงใจยั่วยุพวกเรา หากเมื่อคืนพวกเราทนไม่ไหวลงมือขึ้นมาจริงๆ เจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร”
หรงซิงตกตะลึง “ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าล้างวังด้วยเลือดจริงๆ”
“ทำไมเขาจะไม่กล้า หากเมื่อคืนนี้ชื่อของเขาไม่ได้อยู่ในพระราชโองการของเสด็จพ่อ ดูจากท่าทางเช่นนั้นเกรงว่าเขาอาจจะกำลังวางแผนที่จะยึดราชวงศ์” หรงเหยี่ยนกล่าว เหตุใดกู้หลิวอวิ๋นจึงถูกเรียกให้นำกองกำลังไปคุ้มกันเขา ตอนที่กู้หลิวอวิ๋นออกนอกเมืองไปควบคุมกองกำลังทหาร เกรงว่าหรงจิ่นเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในพระราชโองการเขียนอะไรไว้ เพียงแต่ว่าในตอนนี้ทุกคนไม่มีเวลามาพูดถึงเรื่องนี้ก็เท่านั้น ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าหรงจิ่นเป็นผู้ได้ได้สืบทอดบัลลังก์ อย่างมากก็แค่เพิ่มปัญหาให้กับกู้หลิวอวิ๋นเท่านั้น