หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 481 วางยาพิษปลิดชีพ(4)
หลิงซูเอ่ยเสียงเบา “เกรงว่า…ผู้ที่มามีจุดประสงค์ไม่ดี เจ้าสำนัก พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด” มู่หรงอวี้ลังเลเล็กน้อย เขารู้ดีว่าหากเขาจากไปก็หมายความว่าเขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่วางยาจวงอ๋อง จากนี้ไปคงอยู่ได้แค่ในยุทธภพเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้ว่าเขาจะต้องการหนีไปยังเย่าหวังกู่ เกรงว่าก็จะไม่ได้รับความสงบสุข นับแต่นี้ไปทั้งแคว้นเย่ว์และแคว้นหวาก็จะมองว่าเขาเป็นตะปูในตา หนามในเนื้อ เว้นแต่ว่าเขาจะหนีจากบ้านเกิดไปไกลแสนไกล แต่ชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่มู่หรงอวี้ผู้หยิ่งผยองยินดีจะยอมรับอย่างแน่นอน เขาหลับตาลงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเขาไม่มีหลักฐาน! ข้าจะไปพบพวกเขา หลิงซู เจ้าไปพบตวนอ๋อง ให้เขาคิดหาวิธี”
หลิงซูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า
ในห้องโถง มู่ชิงอีกับหนานกงอี้แต่งกายด้วยชุดทางการนั่งอยู่ในห้องโถงดื่มชาอย่างสบายๆ เพียงแต่ว่าความสบายของมู่ชิงอีนั้นเกิดจากความสบายใจจริงๆ แต่ความสบายใจของหนานกงอี้กลับเป็นเรื่องจริงเพียงครึ่งเดียว อย่างไรเสียตอนนี้จวงอ๋องก็ยังคงนอนอยู่บนเตียง แม้ว่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
เมื่อเห็นมู่ชิงอีจิบชาอย่างใจเย็น หนานกงอี้ก็เลิกคิ้วพลางยิ้มเอ่ย “ข้าคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะได้ทำงานร่วมกับคุณชายกู้”
มู่ชิงอีวางถ้วยชาลง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ว่าจะมอบให้ที่ว่าการเฟิ่งเทียน ศาลต้าหลี่ หรือกรมอาญา เกรงว่าฮ่องเต้ก็ไม่สามารถวางใจได้ สิ่งที่เหมาะสมที่สุดคือเราทั้งสามหน่วยงานร่วมกันสืบคดี ข้ามีประสบการณ์น้อย ต้องขอให้ใต้เท้าหนานกงให้คำแนะนำเพิ่มเติม” หนานกงอี้ยิ้มเอ่ย “ท่าทีที่สงบเยือกเย็นเช่นนี้ของใต้เท้ากู้ ใครจะกล้าบอกว่าท่านประสบการณ์น้อย พวกเราพยายามไปด้วยกันเถิด ฝ่าบาทมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่านและข้า พวกเราในฐานะข้าราชบริพารย่อมต้องแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาทให้ได้มากที่สุด” หนานกงอี้ไม่ได้กังวลว่ากู้หลิวอวิ๋นจะอ่อนข้อให้มู่หรงอวี้ แม้ว่ามู่หรงอวี้กับกู้หลิวอวิ๋นต่างก็มาจากแคว้นหวา แต่ประสบการณ์ของพวกเขาแตกต่างกันมาก ที่ตระกูลกู้ถูกกำจัดในตอนนั้นก็เป็นฝีมือของมู่หรงอวี้ การที่กู้หลิวอวิ๋นไม่ลงมือกับเขาเป็นการส่วนตัวก็นับว่าอ่อนข้อให้เขามากแล้ว การที่ส่งคนเช่นนี้มาสืบสวนคดีนี้ เกรงว่าฝ่าบาทก็เห็นว่ามู่หรงอวี้ขัดหูขัดตามานานแล้วกระมัง
“ใต้เท้ากู้กับใต้เท้าหนานกงมาถึงที่นี่มีธุระสำคัญอันใดหรือ” มู่หรงอวี้เดินเข้ามาพลางถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หนานกงอี้ยิ้มพลางลุกขึ้นเอ่ย “รบกวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องแล้ว จวิ้นอ๋องโปรดไปกับข้าสักหน่อยเถิด”
“ไปกับท่าน หมายความว่าอย่างไร” มู่หรงอวี้เอ่ยถาม
หนานกงอี้จับจ้องมู่หรงอวี้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีคนฟ้องร้องว่าอานซุ่นจวิ้นอ๋องเจตนาวางยาพิษจวงอ๋อง ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ข้ากับใต้เท้ากู้เป็นหัวหน้าสืบสวนคดีนี้ อานซุ่นจวิ้นอ๋องโปรดให้ความร่วมมือด้วย” มู่หรงอวี้กล่าวอย่างโกรธเคือง “วางยาจวงอ๋อง? เหลวไหล! ใต้เท้าหนานกงไม่มีหลักฐานจะมาใส่ความข้าได้อย่างไร ท่านบอกว่ามีคนฟ้องร้อง ไม่สู้เรียกให้เขาออกมาเผชิญหน้ากับข้า”
หนานกงอี้ถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “หากต้องการเผชิญหน้า เมื่ออานซุ่นจวิ้นอ๋องไปถึงที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็จะได้พบเอง”
“ที่ว่าการเฟิ่งเทียน?” มู่หรงอวี้หันไปมองมู่ชิงอี กล่าววาจาประชดประชัน “ได้ยินมาว่าใต้เท้ากู้พึ่งจับกุมขุนนางสำคัญในราชสำนักหลายสิบคน ตอนนี้ลามมาถึงข้าแล้ว ไม่ทราบว่าใต้เท้ากู้ขยันรับใช้ประชาชนหรือล้างแค้นเป็นการส่วนตัวกันแน่” มู่ชิงอีเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “อานซุ่นจวิ้นอ๋องคิดว่าเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น การที่เชิญอานซุ่นจวิ้นอ๋องไปที่ว่าการเฟิ่งเทียนก็เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น อีกอย่าง อานซุ่นจวิ้นอ๋องกับบรรดาใต้เท้าเหล่านั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาอยู่ในที่ว่าการเฟิ่งเทียนชั่วคราวเพื่อให้ความร่วมมือในการสืบสวน แต่ท่าน…เป็นผู้ต้องสงสัย เกรงว่าต้องขอให้อานซุ่นจวิ้นอ๋องทนอยู่ในคุกของที่ว่าการเฟิ่งเทียนสักช่วงหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้ามู่หรงอวี้ก็ซีดขาว กัดฟันกล่าวด้วยความโกรธเคือง “เจ้ากล้าหรือ!” มู่ชิงอียกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองเบาๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมหลายคนมักจะถามข้าว่าข้ากล้าหรือไม่ หากไม่กล้า…ข้าจะมาที่นี่ทำไมเล่า เด็กๆ! ควบคุมตัวอานซุ่นจวิ้นอ๋องไป!”
“กู้หลิวอวิ๋น เจ้า…” ที่ประตูมีเงาดำพุ่งเข้ามา เพียงชั่วพริบตามู่หรงอวี้ก็ถูกคนควบคุมตัวจับแขนไขว้หลังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ มู่หรงอวี้อดรู้สึกเจ็บใจไม่ได้ วรยุทธ์ของเขาไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้แย่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนชุดดำเหล่านี้กลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวพื้นที่ที่จะตอบโต้กลับได้ “เจ้าเป็นใครกัน” มู่หรงอวี้ถามเสียงแข็ง ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าชายสวมหน้ากากที่อยู่ตรงหน้าเขาดูคุ้นตาเล็กน้อย มู่ชิงอีเอียงศีรษะพลางอมยิ้มเอ่ย “นี่คือองครักษ์ประจำตัวข้านามว่าเซี่ยซิวจู๋ การที่ทำให้เขาลงมือด้วยตัวเองได้นั้นนับว่าเป็นวาสนาของอานซุ่นจวิ้นอ๋องแล้ว ซิวจู๋ เอาตัวไปไว้ที่ที่ว่าการเฟิ่งเทียน” มีเซี่ยซิวจู๋เป็นคนควบคุมตัวย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องหลบหนี มู่ชิงอีกำชับอย่างวางใจ
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้ารับแล้วรวบแขนมู่หรงอวี้เดินออกไป
ต่อไปก็เป็นผู้คนจากเย่าหวังกู่ที่อาศัยอยู่ในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋อง ตามที่มู่ชิงอีคาดไว้ หลิงซูกับซู่เวิ่นหนีไปแล้ว เดิมทีก็ไม่ได้ต้องการที่จะจับพวกนาง มิเช่นนั้นก็คงไม่นั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่รอให้มู่หรงอวี้ปรากฏตัว แต่จะนำคนบุกเข้าไปจับกุมเลย เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ หมอจากเย่าหวังกู่และองครักษ์ถูกควบคุมตัวออกมาจากจวน ไม่นานก็ได้ยินเสียงเครื่องประดับหยกกระทบกัน ผิงหูจวิ้นจู่เดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคน กล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
หนานกงอี้ยกมือคำนับเอ่ยเสียงเรียบ “เรียนจวิ้นจู่ อานซุ่นจวิ้นอ๋องวางยาพิษจวงอ๋อง ถูกจับคุมขังแล้ว”
“อะไรนะ!” ผิงหูจวิ้นจู่อดกรีดร้องเสียงสูงไม่ได้ ใบหน้าซีดเซียวไม่ได้มีความหยิ่งผยองเหมือนหลายเดือนก่อน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบิดาตายจาก ตอนนี้แม้แต่จวนจื้ออ๋องก็ไม่อยู่แล้ว สิ่งเดียวที่นางพึ่งพาได้มีเพียงจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องที่นางเคยดูถูก แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้วอย่างนั้นหรือ
“พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล! มู่หรงอวี้จะฆ่าอาสองได้อย่างไร! เป็นพวกเจ้าที่ใส่ร้ายเขา!” ผิงหูจวิ้นจู่กล่าวอย่างโกรธเคือง
แต่ว่าผิงหูจวิ้นจู่ในตอนนี้ไม่ใช่ผิงหูจวิ้นจู่ในอดีตอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางเป็นเพียงบุตรสาวจากอนุภรรยาของรัชทายาทเต้ากงที่ล่วงลับไปแล้ว และเป็นน้องสาวต่างมารดาของฟู่เอินโหวเท่านั้น หนานกงอี้ที่มีราชโองการอยู่ในมือย่อมไม่เห็นนางอยู่ในสายตา เพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบว่า “อย่างไรเสียจวิ้นจู่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ หากจวิ้นจู่ไม่อยากจากไปก็สามารถอาศัยอยู่ในจวนอานซุ่นจวิ้นอ๋องได้เช่นเคย หรือไม่ก็กลับไปจวนฟู่เอินโหว แต่ไม่สามารถออกนอกจวนได้ตามอำเภอใจ ขอจวิ้นจู่โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
สีหน้าของผิงหูจวิ้นจู่พลันเปลี่ยนไป ในที่สุดก็ทำได้เพียงกัดฟันเอ่ย “ข้ารู้แล้ว!”
พูดจบก็จ้องไปที่มู่ชิงอีและหนานกงอี้ด้วยความโกรธแค้น สะบัดแขนเสื้อแล้วพาบ่าวรับใช้ข้างกายออกไป นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุที่แต่งออกมาจะกลับไปได้อย่างไร อีกอย่างจะให้กลับไปไหน จวนฟู่เอินโหว…เพียงแค่คิดก็รู้สึกลำบากใจแล้ว
เมื่อเห็นนางเดินจากไป มู่ชิงอีก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เดิมทีข้าคิดว่านางจะโวยวายเป็นเรื่องใหญ่เสียอีก”
หนานกงอี้ยิ้มอย่างดูหมิ่น “คุณชายกู้ก็เคยเห็นผิงหูจวิ้นจู่แผลงฤทธิ์ด้วยหรือ แต่ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปแล้ว นางจะยังหยิ่งผยองได้เช่นใด ในวันแต่งงานก็ก่อเรื่องหนีงานแต่ง สุดท้ายก็กลับมาเป็นพระชายาอานซุ่นจวิ้นอ๋องในจวนนี้อย่างว่าง่าย สตรีหนึ่งคนจะสร้างเรื่องได้สักเท่าไรกันเชียว”
มู่ชิงอีมองหนานกงอี้ด้วยความแปลกใจ สตรีจะสร้างปัญหาได้สักเท่าไรกันเชียวแต่สตรีนางหนึ่งพึ่งจะวางยาพิษลูกพี่ลูกน้องของเจ้าไม่ใช่หรือ บางทีควรให้หนานกงอี้รู้จักฤทธิ์ของสตรีในยุทธภพสักหน่อย อย่างเช่นสตรีอย่างหลิงซูเป็นต้น