หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 389 สาวงามดั่งบุปผาถูกขวางกั้นด้วยกลีบเมฆ (4)
หนานกงอวี้ยิ้มอย่างหมดปัญญาเอ่ย “ท่านพ่อกับพี่ใหญ่กำลังจัดการเรื่องนี้กันอยู่ ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากก็เลยว่างเช่นนี้ ว่าแต่หลิวอวิ๋น ตอนนี้เจ้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋อง คงจะมีเรื่องมากมายกระมัง”
หนานกงอวี้นั่งลงฝั่งตรงข้าม มู่ชิงอียิ้มแล้วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “จวนอวี้อ๋องจะมีเรื่องอันใดได้ เกรงว่าทั้งเมืองหลวงจะไม่มีที่ใดว่างเท่าจวนอวี้อ๋องอีกแล้ว”
หนานกงอวี้หยิบตั๋วเงินกองหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้ามู่ชิงอีแล้วเอ่ย “เรื่องคราวที่แล้ว ต้องขอบคุณหลิวอวิ๋นเป็นอย่างมาก”
มู่ชิงอีชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นหรงจิ่นที่เอาเปรียบหนานกงอวี้ แม้ว่าหรงจิ่นจะคืนตั๋วเงินต่อมาในภายหลัง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นหนานกงอวี้คืนตั๋วเงินให้ตัวเองด้วยใบหน้าจริงจัง ก็อดรู้สึกผิดเล็กน้อยไม่ได้
หนานกงอวี้ยิ้มแล้วเอ่ย “หลิวอวิ๋นไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ในเมืองหลวง อวี้อ๋องก็กระทำการเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องคราวที่แล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหลิวอวิ๋น”
มู่ชิงอีก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับตั๋วเงินมาโดยที่ไม่ได้นับจำนวน ยิ้มแล้วเอ่ย “หนานกงอวี้รีบร้อนพบข้าเพื่อเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”
หนานกงอวี้ส่ายหน้า ยิ้มอย่างหมดปัญญาพลางกล่าวว่า “ข้ากับเจ้าก็นับว่าเป็นสหายกัน หรือว่าหากไม่มีธุระก็ไม่สามารถออกมาคุยกันได้อย่างนั้นหรือ”
“หัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋องกับคุณชายสองสกุลหนานกงอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอียิ้มแล้วถามพลางเลิกคิ้ว
หนานกงอวี้ถอนหายใจเบาๆ มองมู่ชิงอีอย่างหมดปัญหา หากเป็นเพียงหนานกงอวี้กับกู้หลิวอวิ๋น พวกเขาย่อมเป็นสหายที่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่หากเป็นคุณชายสองตระกูลหนานกงกับหัวหน้าผู้ดูแลจวนอวี้อ๋อง ใครจะเชื่อว่ามิตรภาพระหว่างพวกเขาจะไม่มีอะไรอย่างอื่นแอบแฝงจริงๆ แม้แต่พี่ใหญ่ของเขาก็…
หนานกงอวี้ส่ายหน้าเอ่ย “ข้าอยากจะขอฮ่องเต้ไปประจำการที่ชายแดน”
มู่ชิงอีไม่ได้พูดต่อ นางสามารถมองออกว่าหนานกงอวี้ไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับการวางแผน แต่การอยู่ในตระกูลหนานกงกลับเป็นการกำหนดว่าเขาไม่สามารถหลบหนีจากสิ่งเหล่านี้ได้ การไปประจำการที่ชายแดนนับว่าเป็นการหลบหนีอย่างหนึ่งกระมัง เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะเห็นด้วยหรือไม่
“หนานกงอวี้ไม่ต้องการอยู่ในเมืองหลวงหรือ” มู่ชิงอีถามเบาๆ
หนานกงอวี้ยิ้มอย่างลำบากใจๆ พลางกล่าวว่า “จะว่าข้าขี้ขลาดก็ดี โง่เขลาก็ดี แต่เมื่อเทียบกับกลอุบายในเมืองหลวงเหล่านี้…ข้าอยากจะสู้จนตัวตายในสนามรบมากกว่า ตอนนี้จื้ออ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว เกรงว่าสถานการณ์ในเมืองหลวง…คงวุ่นวาย” แม้ว่าตระกูลเดิมของฮองเฮาจะค่อยๆ เสื่อมถอย แต่ก็ยังมีอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ในราชสำนัก แต่อำนาจของตระกูลหนานกงกลับเอียงไปทางกองทัพอยู่เสมอ แม้ว่าหนานกงอี้จะเป็นขุนนางระดับสูงอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับตระกูลโจวซึ่งเป็นขุนนางพลเรือนมาตลอด เกรงว่าจะยังด้อยกว่าเล็กน้อย หากตระกูลโจวยืนกรานที่จะโต้กลับ เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นตระกูลหนานกงคงจะสูญเสียไม่น้อย แม้ว่าหนานกงอวี้จะไม่ได้วางใจท่านพ่อกับพี่ชายของตัวเอง แต่หากอยู่ที่เมืองหลวงเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่สู้ทำเป็นไม่เห็นจะดีกว่า
“หากหนานกงอวี้ชอบขี่ม้าในสนามรบ ไม่สู้ลองไปขอร้องกับฮ่องเต้ดู ไม่แน่ฮ่องเต้อาจจะตอบตกลงก็เป็นได้” ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะป้องกันตระกูลหนานกงอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอิทธิพลของตระกูลหนานกงในกองทัพแคว้นเย่ว์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในแคว้นเย่ว์กับแคว้นหวาก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก ขุนนางพลเรือนขัดขวางอำนาจขุนนางทหารจนค่อยๆ เสื่อมถอยลง นอกจากแม่ทัพหนานกงเจวี๋ยที่มีชื่อเสียงในราชสำนักแล้ว ก็มีแม่ทัพที่สามารถใช้งานได้เพียงไม่กี่คน ตอนนี้ความแข็งแกร่งของแคว้นเป่ยฮั่นเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และผู้ปกครองแคว้นเป่ยฮั่นก็อยู่ในช่วงวัยหนุ่มเช่นกัน แต่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กลับอายุมากแล้ว แคว้นเย่ว์ไม่สามารถขาดตระกูลหนานกงได้
เมื่อได้ยินดังนั้น หนานกงอวี้ก็มีสีหน้าเปล่งประกาย แม้แต่ท่านพ่อและพี่ชายของเขาก็ไม่เห็นด้วยกับความต้องการที่จะไปประจำการที่ชายแดนของเขา ไม่ใช่ว่าตระกูลหนานกงต้องการละทิ้งอำนาจทางทหารแล้วกลายเป็นขุนนางพลเรือน แต่เป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักนั้นซับซ้อน พี่ใหญ่ต้องการให้เขาอยู่ช่วยงานในเมืองหลวง ส่วนท่านพ่อกลับคิดว่าต่อให้เขาอยากจะไปประจำการที่ชายแดนในเวลานี้ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางที่จะพระราชทานอำนาจทางทหารให้เขามากนัก เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าจะถูกผู้อื่นควบคุมอีกด้วย
“ขอบคุณหลิวอวิ๋นเป็นอย่างมาก” หนานกงอวี้กล่าวอย่างจริงใจ
มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีก ท้ายที่สุดแล้วเรื่องของหนานกงอวี้ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเองจะดีกว่า บางทีเขาอาจจะทำเพื่อหนีจากการต่อสู้อันวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้า แต่นิสัยและความทะเยอทะยานของหนานกงอวี้นั้นไม่เหมาะกับสิ่งเหล่านี้เลย การถูกกักตัวไว้ในเมืองหลวง เกรงว่าแม้แต่บุตรของแม่ทัพที่มีชื่อเสียงก็อาจจะถูกทำลายได้
“ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าเลี้ยงสุราหลิวอวิ๋นสักหนึ่งจอกดีหรือไม่” หนานกงอวี้ยิ้มแล้วเอ่ย “คราวที่แล้วก็บอกแล้วว่าจะเลี้ยงสุราหลิวอวิ๋น แต่คิดไม่ถึงว่าหลิวอวิ๋นจะยุ่งจนไม่มีเวลา วันนี้ข้าได้นำสมบัติล้ำค่าที่ท่านพ่อเก็บไว้เป็นเวลานานมาพอดี”
มู่ชิงอีกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “แม้ว่าข้าจะดื่มไม่เก่ง แต่ก็พอดื่มได้สักแก้วสองแก้ว”
หนานกงอวี้ยิ้มเอ่ย “ดีมาก!” รีบเรียกคนมาเปลี่ยนจอกสุราทันที หนานกงอวี้นำไหสุราชั้นดีมาจริงๆ กลิ่นหอมจางๆ ของสุราฟุ้งกระจายออกมาเมื่อเขาเปิดฝาไหออก
มู่ชิงอีหลับตาแล้วสูดกลิ่นหอมของสุราในอากาศ กล่าวชมว่า “สุราเซียงเสวี่ยหอมกรุ่นในแคว้นหวาเป็นที่รู้จักในฐานะสุราที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในแคว้นหวา เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวลอย่างแท้จริง”
หนานกงอวี้ยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าผู้ที่อายุน้อยอย่างหลิวอวิ๋นจะมีความรู้เรื่องสุรา จะว่าไปแล้วหากพูดถึงสุรา สุราแคว้นเย่ว์ของพวกเรานั้นรสชาติดีกว่า แต่ว่าสุราเซียงเสวี่ยของแคว้นหวาก็มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เช่นกัน ข้ารู้ว่าหลิวอวิ๋นเป็นคนแคว้นหวา ดังนั้นจึงตั้งใจนำมาโดยเฉพาะ”
มู่ชิงอียิ้มแล้วพูดว่า “รู้มานานแล้วว่าหนานกงอวี้รักการดื่มสุรา ที่จวนของข้าก็มีสุราชิงจู๋แคว้นเย่ว์กับสุราดอกเหมยปี้สี่อยู่สองสามไหถูกเก็บซ่อนไว้เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้ว กลับไปจะให้คนนำมาส่งให้เจ้า”
“เอ๋?” หนานกงอวี่ตาเป็นประกาย สุราชิงจู๋เป็นสุราที่มีชื่อเสียงทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเย่ว์ เป็นที่ทราบกันดีในเรื่องความสดชื่น แต่เนื่องจากผลิตในเมืองเล็กๆ ที่เรียกว่าชิงจู๋เท่านั้น ในแต่ละปีจึงผลิตเพียงสามร้อยไหเท่านั้น และสุราที่มีอายุการหมักสามสิบปีนั้นยิ่งหาได้ยาก ส่วนสุราดอกเหมยปี้สี่นั้นยิ่งหาได้ยากกว่า
มู่ชิงอียิ้มเจื่อนๆ พลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสและท่านพี่ในจวนเดิมทีชอบดื่มสุราอยู่แล้ว เดิมทีสุราเหล่านี้จะถูกส่งกลับไปที่แคว้นหวา ตอนนี้…คงทำได้เพียงเอามามอบให้ท่านแล้ว”
หนานกงอวี้ยังรู้ด้วยว่าตระกูลกู้เกือบจะถูกกำจัดเมื่อไม่กี่ปีก่อน ไม่รู้ว่าจะปลอบใจมู่ชิงอีอย่างไร ทำได้เพียงถือจอกสุราอย่างเหม่อลอย มู่ชิงอีหัวเราะเบาๆ หยิบจอกสุราขึ้นมาชนกับจอกสุราของเขาเบาๆ แล้วเอ่ย “ข้าคออ่อนจริงๆ จะดื่มเพียงจอกนี้ ส่วนที่เหลือเชิญหนานกงตามสบายเถิด”
หนานกงอวี้ชนแก้วกับเขา ยิ้มแล้วเอ่ย “เจ้าวางใจ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยเกลี่ยกล่อมผู้อื่นให้ดื่มสุรา หากข้าชักชวนให้ผู้อื่นดื่ม ตัวเองก็จะได้ดื่มน้อยลง เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณหลิวอวิ๋นแล้ว แม้ว่าพวกเราจะรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน แต่ข้ากับรู้สึกว่าหลิวอวิ๋นเป็นเหมือนสหายมากกว่าคนในเมืองหลวงเหล่านี้เสียอีก” ทายาทของตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง ทุกคนล้วนมีเบื้องหลังและอำนาจอยู่ด้านหลัง ทุกคนล้วนมีความทะเยอทะยานและความคิดของตัวเอง ไหนเลยจะมีใครนับว่าเป็นสหายที่แท้จริง หากจะบอกว่าเป็นสหายก็เป็นเพียงสิ่งที่สามารถขายได้ง่ายก็เท่านั้น
มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อย ในใจก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง หนานกงอวี้จะไม่มีวันมีความสุขในเมืองหลวง เพราะหัวใจของเขาสะอาดเกินกว่าจะทนต่อสิ่งสกปรกได้ แม้ว่านางจะไม่ได้ผูกมิตรกับเขาเพราะผลประโยชน์อะไร แต่หากในอนาคตมีโอกาสที่สามารถใช้เขาได้ ก็ยากที่จะบอกได้ว่านางจะใช้เขาหรือไม่ คนเช่นนี้หากเกิดในครอบครัวของคนธรรมดาคาดว่าคงจะมีความสุขยิ่งกว่า
มีเสียงควบม้าดังมาจากนอกหอ มู่ชิงอีเงยหน้ามองไปทางหน้าต่างด้วยความสงสัย หนานกงอวี้กลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเอ่ย “วันนี้เป็นวันเคลื่อนพระศพของจื้ออ๋องและวันที่จวงอ๋องเสด็จกลับเมืองหลวง ดูเหมือนว่าคงจะไม่ได้ดื่มสุราอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ข้ายังต้องไปจวนจื้ออ๋อง”