หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 85 งานเลี้ยงวันเกิด (7)
บทที่ 85 งานเลี้ยงวันเกิด (7)
“ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ กลับทรงปฏิบัติต่อสนมที่มียศต่ำกว่าด้วยท่าทีเช่นนี้เชียวหรือ! ”
สายตาของเหลิงตู้เยือกเย็นลง ยิ่งนึกถึงเรื่องที่สวีเจิ้งเฉิดฉายอยู่ในงานเลี้ยงแต่เพียงผู้เดียว ส่วนธิดาของตนกลับถูกลงโทษ ตนก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ บัดนี้แม้แต่อันหรูอี้ก็ยังกล้ามาทำหยิ่งยโสต่อหน้าเหลิงเยว่
เหลิงตู้ข่มใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้ยินเมื่อหลายวันก่อน จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มีข่าวลือหนาหูว่าอันกุ้ยเฟยทรงลำพองพระทัยยิ่งนัก แม้แต่ตำหนักคุนหนิงก็ไม่ยำเกรง ข้ายังคิดว่าเป็นเพียงคำเล่าลือ แต่บัดนี้เห็นกับตาแล้ว…”
ทันทีที่เหลิงตู้เอ่ยจบ บรรดาผู้ที่เคยเห็นด้วยกับนางก่อนหน้านี้ต่างพากันเงียบกริบ
ไม่เงียบเสียงก็มิได้ ด้วยพวกเขาทั้งหมดต่างก็ไต่เต้าขึ้นมาได้ด้วยอำนาจของเหลิงตู้ หากนางเกิดความแค้นฝังหุ่นคอยขัดขวางพวกเขาในภายภาคหน้า พวกเขาจะทำเช่นไร?
ดังนั้นแม้แม่ทัพสวีและอันกวงเหนิงจะโต้เถียงกับเหลิงตู้ พวกเขาก็ทำได้เพียงเงียบอยู่เช่นนั้น เพราะแท้จริงแล้วชีวิตของพวกเขาก็ขึ้นอยู่กับเหลิงตู้ หากเหลิงตู้ล่มสลาย พวกเขาก็ย่อมต้องพบกับหายนะเช่นกัน!
“กระหม่อมได้ยินพวกเขาพูดกัน เรื่องที่นางเข้าวังอย่างไม่ถูกต้อง กระนั้นก็นับว่าเป็นบุตรสาวของสกุลใหญ่โต คิดไม่ถึงจริง ๆ”
“บุตรสาวคนโตของสกุลใหญ่โตผู้นี้ กิริยาวาจาเอาแต่ใจตนเองมาแต่เล็กแต่น้อย มิใช่หรือ ที่จวนอัครมหาเสนาบดีนางก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่ว คิดว่าตำหนักคุนหนิงนั้นสูงส่ง แต่นางคงมิได้เคารพยำเกรงเป็นแน่”
“หึ มิรู้จักกาลเทศะ แล้วยังกล้าละเมิดกฎมณเฑียรเช่นนี้ คงเป็นการเข้าวังยามค่ำคืนเป็นแน่”
“เข้าวังยามค่ำคืน แล้วยังเป็นฝ่าบาทพาตัวมาจากจวนอัครมหาเสนาบดีโดยตรงเช่นนี้แล้ว เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง… ”
นี่เป็นฝีมือของเหลิงตู้ อวดดีนัก กล้าดีอย่างไรถึงนินทาเรื่องราวในวังหลวงต่อหน้าธารกำนัล!
แม้ว่าเสียงของพวกเขาจะเบา แต่บางคำก็ลอยเข้าหูของนาง เช่น ‘เอาแต่ใจ’ ‘ไร้มารยาท’ ‘เข้าวังยามค่ำคืน’ สายตาดูถูกเหยียดหยามเหล่านั้น ทำเอาหัวใจของผู้ได้ยินเดือดดาลยิ่งนัก
อันที่จริงการที่หรูอี้เข้าวังอย่างกะทันหันนับว่าไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม
กำปั้นของซ่งจื่ออานยิ่งกำแน่นขึ้น ทนไม่ไหวจึงตบโต๊ะดังกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้าเหล่าขุนนางอยากจะพูดอะไรก็ลุกขึ้นบอกกับเราโดยตรงเถิด หรือจะให้เราลงไปฟังทีละคน”
เสียงพูดคุยหยุดลงทันที เหลิงเยว่ที่อยากจะเห็นอันหรูอี้ขายหน้าอยู่แล้ว จึงไม่ยอมให้เรื่องจบลงง่าย ๆ รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านเสนาบดีเหลิง พวกท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ฝ่าบาทมิได้ยินกระมัง”
เหลิงตู้สบตากับนาง ลุกขึ้นยืนมองอันกวงเหนิงด้วยสายตาเหยียดหยามเล็กน้อย “พวกข้าเพียงแต่กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องการอบรมสั่งสอนบุตรสาวของสกุลท่านอัครมหาเสนาบดีเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ได้ยินมาว่าหวังซื่อถูกส่งตัวไปยังวัดหวง ส่วนบุตรสาวที่อยู่ในวังก็… หึ”
การถือโอกาสโจมตีอันกวงเหนิงนับเป็นความสามารถพิเศษของเหลิงตู้
ผู้ที่ถูกส่งตัวไปยังวัดหวง ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีจิตใจโสมมทั้งสิ้น โอกาสดีเช่นนี้เขาจะพลาดไปได้อย่างไร ส่วนอันกวงเหนิงได้แต่เงียบไม่ตอบโต้
เหลิงเยว่อยากจะได้ยินเรื่องน่าอายของสกุลอันมากกว่านี้ จึงไม่สนใจความตกตะลึงของอันหลิงหลง นางหันขวับไปมองเหลิงตู้ด้วยความโกรธแค้น
บุตรสาวถูกหยามหน้าอยู่ในรั้ววัง แต่มารดากลับถูกส่งไปอยู่วัดหวงเมี่ยว หากปราศจากคำอนุญาตจากอันกวงเหนิง แล้วผู้ใดเล่าจะกล้าส่งหวังเสวี่ยเฟิงเข้าไปในวัดได้!
อันหรูอี้ขมวดคิ้ว นางเพียงแต่ตกตะลึงชั่วขณะ ยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา เหลิงตู้ก็เริ่มโจมตีอันกวงเหนิงเสียแล้ว
อันหรูอี้ปรากฏแววตาเหี้ยมเกรียม มุมปากเม้มเข้าหากัน นางมองอันหลิงหลงด้วยความโกรธแค้น นางเป็นบุตรีของสกุลอัน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของ อันกวงเหนิง แต่เหตุใดวันนี้นางถึงได้เลือกเข้าข้างเหลิงเยว่!
นางทำเช่นนี้แล้ว อันกวงเหนิงจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!
ซ่งจื่ออานเหลือบมองชิวจื้อก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น “วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจิ้งเอ๋อร์ เรื่องอื่นมิจำเป็นต้องกล่าวถึง”
เสียงอ่อนโยนปนเศร้าของเหลิงเยว่ดังขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้าตรัสถูก วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของน้องหญิงสวี เมื่อครู่เป็นหม่อมฉันเองที่พลาดพลั้งเอ่ยมากเกินไป หากน้องหญิงอัน… ”
“หากนางมิปรารถนาจะดีดผีผา หม่อมฉันย่อมมิฝืนใจนาง”
สวีเจิ้งชิงชังท่าทางเสแสร้งของเหลิงเยว่ยิ่งนัก ครั้นจะเอ่ยสิ่งใดออกไปก็มิได้ นางได้แต่เก็บกดโทสะไว้พลางกล่าว “หากฝ่าบาททรงโปรดฟังเสียงผีผา บ่าวหญิงของหม่อมฉันก็พอจะบรรเลงได้บ้าง… ”
“มิต้องแล้ว”
เสียงของอันหรูอี้ดังแทรกขึ้น
สวีเจิ้งหันไปมอง เห็นเพียงอันหรูอี้ปัดมือของชิวจื้อที่กดไหล่อยู่ออก แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหา ก่อนจะคำนับซ่งจื่ออาน “หากฝ่าบาทมีรับสั่งให้หรูอี้บรรเลงผีผา หรูอี้ย่อมมิขัดพระทัยเพคะ”
“เพียงแต่… ” นางเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “หากเป็นพิณที่น้องหญิงมอบให้ หรูอี้ใคร่ขอรบกวนน้องหญิงร่วมบรรเลงด้วยกัน เช่นครานั้นที่พวกเราร่วมบรรเลงในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ เห็นควรหรือไม่เพคะ? ”
เหลิงเยว่เหลือบมองอันหลิงหลง เห็นสีหน้านางซีดเซียวแต่ก็มิได้ใส่ใจ ขอเพียงอันหรูอี้ดีดผีผาได้ ทุกอย่างก็เพียงพอแล้ว
“ก็นึกว่าเรื่องใดกัน” เหลิงเยว่วางมือลงบนพนักเก้าอี้ “หว่านอิง ไปเอาพิณมาเถิด”
หว่านอิงรับคำ “เพคะ”
จากนั้นก็เดินตรงไปยังกลุ่มนักดนตรีข้างเวที สั่งให้คนหามผีผาโบราณมา ส่วนทางอันหรูอี้ก็อุ้มผีผานั่งลงเรียบร้อยแล้ว
หว่านอิงวางพิณลงพลางยิ้มให้ อานหลิงหลง “เชิญจิ้งผิน บรรเลงเถิดเพคะ”
อันหลิงหลง มองเครื่องดนตรีที่ถูกหามเข้ามา ความอับอายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางได้แต่กัดฟันกล้ำกลืนความเจ็บปวด ยิ้มอย่างฝืนใจ
“เช่นนั้นหลิงหลง ขออวดฝีมือสักหน่อยก็แล้วกัน”
สวีเจิ้งอดเยาะเย้ยไม่ได้ “ไม่เป็นไร”
พวกนางเคยเห็นฝีมือของจิ้งผินมาแล้ว
ผีผาล้ำค่า สายพิณเย็นเยียบ เป็นของหายากอย่างแท้จริง เมื่อสัมผัสเบาๆ เสียงก็ไพเราะ สายพิณถูกปรับแต่งอย่างดี อันหรูอี้มองไม่ออกเลยว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองซ่งจื่ออาน แววตาอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมีให้เพียงนางนั้น ค่อย ๆ ปลอบประโลมจิตใจของนางให้สงบลง
“เพลงหลินเจียงเซียน ขอทูลเกล้าถวายแด่ฝ่าบาท”
อันหลิงหลงเม้มริมฝีปาก ฟังเสียงที่ดังกังวานอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวของนางเริ่มบรรเลงเพลง
เพลงหลินเจียงเซียนเพิ่งจะถูกประพันธ์ขึ้นใหม่ในปีนี้ เสียงดนตรีของเพลงฟังดูไม่ซับซ้อนนัก แต่ในหกท่อนของเพลงนั้น แต่ละท่อนล้วนบรรยายความรู้สึกที่แตกต่างกัน ว่ากันว่าทุก ๆ ท่อนล้วนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของผู้ประพันธ์
เพลงนี้บรรยายถึงความสุขในชีวิต อันได้แก่การเกิด การเติบโต ความรัก การแต่งงาน การมีบุตรและความผูกพันในครอบครัว บ้างรวดเร็วบ้างเชื่องช้า แต่ล้วนเป็นความรู้สึกที่แสนสุข ไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหงุดหงิด กระทั่งทำให้รู้สึกสงบขึ้นเรื่อย ๆ
“ดวงตานั้น” ซ่งจื่ออานคิดในใจ “ดวงตาคู่นั้นที่มักจะดูเฉยชาอยู่เสมอ แต่ยามที่นางมองมาที่ข้า ข้าย่อมรู้สึกสงบได้ทุกครั้ง”
ทว่าความเร่าร้อนแห่งบทเพลงรักเพิ่งจะเริ่มต้น บรรเลงกู่เจิ้งคลอเสียงทุ้มต่ำ เสียงผีผากลับดังลั่นขึ้นอย่างเศร้าสลด
สายผีผาไม้ฮวาหลีพลันเปลี่ยนเป็นเสียงแหลมเสียดแทง จนอันหรูอี้สะดุ้งตกใจ กะว่าจะหยุดมือ ทว่าสายพิณกลับขาด ‘ผึง’ สะบัดจนบาดมือของนาง!
มิหนำซ้ำสายพิณเส้นหนึ่งยังพุ่งตรงไปยังสวีเจิ้งราวกับลูกธนู!
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นต่อหน้าธารกำนัลซ่งจื่ออานลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน สวีเจิงไหวพริบดี ยกจานเปล่าที่อยู่ใกล้มือขึ้นปัด!
สายพิณถูกปัดด้วยจานกระเบื้อง ทิ้งรอยไว้ด้านหลังอย่างชัดเจน ก่อนจะปักลงบนโต๊ะของนาง
อันหรูอี้มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึง นิ่งงันไปครู่ใหญ่ แม้แต่อันหลิงหลงก็ยังอดตกใจมิได้ ก่อนจะหันไปมองเหลิงเยว่ด้วยความโกรธเกรี้ยวปนหวาดกลัว
เหลิงเยว่ตบโต๊ะเสียงดัง “พวกเจ้า พี่น้องจวนอัครมหาเสนาบดี กล้าดีอย่างไรบังอาจมาลอบสังหารพระชายา! ทหารอยู่ไหน มาจับตัวนางทั้งสองไปซะ! “