หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 82 งานเลี้ยงวันเกิด (4)
บทที่ 82 งานเลี้ยงวันเกิด (4)
งานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติเพิ่งจะเริ่มต้น ไฉนเลยจะจบลงเพราะเรื่องเพียงเท่านี้
เหลิงตู้ต้องเจอกับความปราชัย จึงค่อย ๆ กลับไปนั่งประจำที่ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความคับแค้น นิ้วมือเกร็งจนสั่นเทา แต่ก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้
ฝ่ายทางด้านอันหลิงหลง เมื่อได้รับคำสั่ง นางจึงยกจอกสุราขึ้นเตรียมเอ่ยปาก ทว่านางกับเหลิงเยว่ต่างประมาทความสำคัญของงานเลี้ยงนี้ไป เมื่อตระกูลเหลิงลงสนามไปแล้ว ไฉนตระกูลอันจะยอมแพ้ง่าย ๆ
“ฝ่าบาท! ”
อันหลิงหลงกำลังจะเอ่ยปาก ทว่ากลับถูกขัดจังหวะเสียก่อน นางอดไม่ได้ที่จะสบถด่าอยู่ในใจ ทว่าเมื่อหันกลับไปมอง ก็พบว่าอันกวงเหนิงถือจอกสุราค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ทำเอานางถึงกับตะลึงงัน
นางเหลือบมองเหลิงเยว่ด้วยความหวั่นใจ เหลิงเยว่เองก็จ้องมองอันหลิงหลงเช่นกัน พวกนางล้วนเป็นคนกลุ่มเดียวกัน อันหลิงหลงในสายตาของเหลิงเยว่ย่อมไม่ได้รับความดีงามใดไปเช่นเดียวกัน
อันกวงเหนิงเอ่ยเสียงดังเรียกความสนใจจากทุกคนก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ยืนขึ้น แม้ดูชราภาพไปบ้าง แต่ก็ยังคงแข็งแรงสมวัย มิได้ทำให้ผู้ใดรู้สึกเวทนาสงสาร
ครั้นสวีเจิ้งเห็นว่าเป็นอันกวงเหนิง นางก็รู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง ตระกูลเหลิงเพิ่งจะมอบ ‘ของขวัญชิ้นโต’ เช่นนั้น นางจึงอดหวั่นเกรงมิได้ว่าจะมีผู้ใดก่อเรื่องวุ่นวายด้วยการมอบ ‘ของขวัญชิ้นโต’ มาอีกชิ้น แต่เมื่อผู้ที่ยืนขึ้นคืออันกวงเหนิง มิใช่แค่สวีเจิ้งเท่านั้น แม้แต่แม่ทัพสวีก็ยังอดแย้มยิ้มมิได้
ตระกูลอันและตระกูลเหลิงต่างก็มีประวัติการต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน เมื่อตระกูลเหลิงพลาดท่า ตระกูลอันย่อมต้องเข้าไปซ้ำเติมเป็นธรรมดา แม้แต่ในสายตาของแม่ทัพสวีก็ยังเห็นว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ในอดีตแม่ทัพสวีอาจไม่เห็นด้วยกับเรื่องเช่นนี้ แต่วันนี้แตกต่างออกไป ใครที่ช่วยเขาแก้แค้นได้ ใจของเขาก็จะเอนเอียงไปทางผู้นั้น
ซ่งจื่ออานแย้มสรวล “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านก็มีของขวัญจะมอบเช่นกันหรือ ท่านเป็นผู้อาวุโส เช่นนี้เจิ้งเอ๋อร์คงรับไว้ไม่ไหวกระมัง”
อันกวงเหนิงถือจอกสุราไว้ ใบหน้าเปี่ยมเล่ห์เหลี่ยม มิได้แสดงท่าทีโอ้อวดใด ๆ แต่กลับดูมีอารมณ์ขัน “ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ผิดแล้ว ตอนที่เจิ้งเอ๋อร์ยังเล็กก็เคยไปวิ่งเล่นที่จวนของกระหม่อม ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันนางเป็นถึงพระชายา ของขวัญชิ้นนี้ย่อมรับได้อยู่แล้ว เพียงแต่จวนของผู้น้อยนี้ช่างยากจนข้นแค้น… ”
เขากางมือออก โบกชายแขนเสื้อขุนนางที่สวมซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปมา “ฝ่าบาททอดพระเนตรสิ กระหม่อมนั้นสะอาดบริสุทธิ์สองมือ มิอาจหาสิ่งของล้ำค่าใด ๆ อย่างเช่นมังกรทองหรือสิงโตหยกมาได้”
บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่พลันผ่อนคลายลง
อันหรูอี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ นางไม่เคยเห็นอันกวงเหนิงล้อเล่นมาก่อน ที่แท้ท่านพ่อก็มีอารมณ์ขันเหมือนบิดาผู้อื่น มิใช่มีเพียงสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
สวีเจิ้งยกมือขึ้นปิดปาก ฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่อง “ท่านอัครมหาเสนาบดีเมตตาเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้น้อย ท่านอัครมหาเสนาบดีมีน้ำใจเช่นนี้ ข้าย่อมจดจำไว้”
“ถูกต้อง! ” แม่ทัพสวี ยกยิ้มมุมปาก “มังกรทองใหญ่ขนาดนั้น เงินเดือนพวกเราแม้หนึ่งหรือสองปีก็ยังไม่อาจซื้อได้ ทั้งสองท่านช่างมั่งคั่งยิ่งนัก! ”
หากกล่าวต่อไปเกรงว่าจะไม่สามารถจบลงได้
เหลิงตู้ทำสีหน้าเคร่งขรึม กำลังจะเอ่ยปาก แต่เหลิงเยว่กลับพูดขึ้นก่อน “ท่านแม่ทัพกังวลเกินไปแล้ว พวกข้าเพียงนำของมีค่าไปจำนำมาเท่านั้น เหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงไม่มอบของล้ำค่าอันใดมาให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาบ้างเล่า”
“สิ่งที่ฮองเฮาตรัสล้วนถูกต้อง ไหน ๆ ท่านก็ลุกขึ้นยืนแล้ว คงมีสิ่งของที่ไม่ธรรมดาเช่นกันกระมัง”
เหลิงตู้ได้แต่ปิดปากเงียบ เหลิงเยว่จ้องมองซ่งจื่ออานอย่างประหลาดใจ ส่วนคนตระกูลสวีต่างครุ่นคิดอย่างเงียบงัน หากแต่อันกวงเหนิงกลับทำราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราว ยกจอกสุราขึ้นกล่าวว่า “ขอกระหม่อมรินสุราถวายพระพรกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ โปรดรับคำอวยพร ‘ขอพระองค์ทรงพระเจริญชั่วกาลนาน’ จากกระหม่อมด้วยเถิด”
ทุกคนเพิ่งได้สติ คล้ายนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เหลิงซิงและเหลิงฟางมิได้เอ่ยวาจาใด แต่กลับพุ่งตรงเข้าหาเรื่อง บ่งบอกถึงฐานะสูงต่ำได้อย่างชัดเจนเพียงชั่วพริบตา
อันกวงเหนิงกล่าวจบ ก็ค่อย ๆ รินสุราให้ จากนั้นจึงเอ่ยช้า ๆ ว่า “แท้จริงแล้ว ของขวัญวันเกิดของข้าน้อย มีความคล้ายคลึงกับของขวัญวันเกิดของท่านเหลิงอยู่ไม่น้อย”
สิ้นคำสีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปอีกครา
ซ่งจื่ออานรู้สึกไม่แน่ใจในความสามารถของอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ เขาครุ่นคิดอยู่เสมอว่าอัครมหาเสนาบดีผู้นี้มีความสามารถอะไรบ้าง งานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันนี้เป็นโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความสามารถของตน เขาจึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่าอันกวงเหนิงจะแสดงอะไรออกมา
“โอ? อัครมหาเสนาบดีอัน เจ้าคงไปที่ใดสักแห่งเพื่อนำของบางอย่างมาใช่หรือไม่? ”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
อันกวงเหนิงปรบมืออย่างเปิดเผย ทันใดนั้นก็เห็นนางรำหลายคนปรากฏตัวบนเวที แต่ละนางล้วนงดงามชวนมอง มีเสน่ห์ยั่วยวนติดตัวมาแต่กำเนิด เพียงแค่มองก็สามารถดึงดูดวิญญาณผู้คนได้
อันกวงเหนิงยิ้มเบา ๆ พลางกล่าว “นางรำเหล่านี้ กระหม่อมได้สืบเสาะมาเป็นพิเศษเพื่อแสดงระบำอันงดงามถวาย ขอเชิญกุ้ยเฟยชมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้คนทั้งหลายไม่เข้าใจความหมาย แม้แต่เหลิงตู้ก็รู้สึกแปลกใจ เขามองดูนางรำเหล่านั้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อย่างไรก็ตาม เหลิงซิงและเหลิงฟางกลับเปลี่ยนสีหน้า เกือบจะซีดเผือด
ดุจดั่งหงส์สะคราญ บรรเลงท่วงทำนองล้ำลึกแฝงลมปราณ ราวกับผีเสื้อแสนงามโผบิน ปลายแขนเสื้อสะบัดพลิ้วไหว งดงามดุจปีกนก
“งดงามยิ่งนัก แต่น่าเสียดาย… ไฉนจึงมิได้เลิศล้ำสะดุดตา”
ฝ่ายอันกวงเหนิงกลับทอดสายตาเปี่ยมความสนอกสนใจพลางเอ่ยชม
“อืม ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว ร่ายรำงดงามดุจหงส์ ลีลาอ่อนช้อยดั่งมังกรเหินบินเบาหวิวดุจเทพเซียน โปร่งโล่งราวกับความฝัน งามยิ่งนัก! ”
อันหรูอี้มุมปากกระตุกเบาๆ ก่อนแลกสายตากับซ่งจื่ออาน พลางหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้ การแสร้งทำเป็นตาบอดพูดจาโกหกเช่นนี้ ช่างชำนาญนัก
แม้ผู้คนต่างพากันเออออไปตามน้ำ ทว่าสีหน้าของเหลิงซิงและเหลิงฟางกลับมิอาจรอดพ้นสายตาของแม่ทัพสวีผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไปได้ แม่ทัพสวี เห็นพิรุธจึงเอ่ยถามขึ้น “ท่าร่ายรำนี้นับว่างดงามยิ่งนัก แต่ข้าไม่ทราบว่าอัครมหาเสนาบดีอันไปพบนางรำเช่นนี้จากที่ใดกัน”
อันกวงเหนิงส่งยิ้มให้แก่แม่ทัพสวี “ฮ่า ๆ ท่านแม่ทัพกล่าวเล่นแล้ว กระหม่อมจะไปรู้จักสตรีที่มีความสามารถในการร่ายรำเช่นนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น ว่าไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้จวนโหวได้ซื้อหญิงงามนางรำกลุ่มหนึ่งมาจากที่ใดมิทราบ พอพวกนางถูกขับไล่ออกไป กระหม่อมจึงเพียงให้คนไปเชิญพวกนางมาเท่านั้น”
ซ่งจื่ออานยิ้มบางๆ “ขับไล่ออกไปรึ? ”
อันกวงเหนิงทำท่าครุ่นคิดราวกับไม่รู้จะตอบอย่างไร ทันใดนั้นท่านเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ลูบท้องพลางเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท เรื่องราวการเดินทางเข้าออกของผู้คนในเมืองหลวงนี้ คงไม่มีผู้ใดทราบได้ดีไปกว่ากระทรวงมหาดไทยพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพสวีทรงฉวยโอกาสถามต่อทันที “โอ้ หรือว่า… แม้แต่ท่านเสนาบดีผู้อาวุโสยังต้องให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ด้วย? ”
บิดาของทั้งสองฝ่ายต่างร่วมมือกันเป็นอย่างดี บุตรสาวทั้งสองจึงอดไม่ได้ที่จะหันมายิ้มให้กัน ต่างฝ่ายต่างเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสนุกสนาน ทว่าสีหน้าของเหลิงเยว่กลับดูเคร่งขรึม นางเห็นสีหน้าของเหลิงซิงและเหลิงฟางมาโดยตลอด จู่ ๆ นางก็นึกถึงคำพูดของซ่งจื่ออานในวันนั้นขึ้นมา
ผู้ครอบครองแคว้นซีจิ้น…
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยสนใจยิ่ง จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “มิได้มีสิ่งใดมากมาย เพียงแต่ได้ยินมาว่าสาวน้อยเหล่านี้เป็นทาสที่ถูกขายมาจากทางใต้ของพวกคนเถื่อนเท่านั้น”
สิ้นคำพูดนั้นเหลิงฟางก็ทุบโต๊ะอย่างเหลืออดทันที “เจ้าพูดบ้าอะไร! ”
เสียงดนตรีและการร่ายรำพลันเงียบลง ความเงียบกลับมาปกคลุมทั่วทั้งห้องโถงอีกครา
เหลิงตู้เบิกตากว้าง เหลิงซิงมือสั่นจนจอกสุราไหว ก่อนร่วงหล่นลงกระทบโต๊ะเสียงดังสนั่น
“เจ้าโง่! ” เหลิงเยว่หน้าซีดเผือด ทนนั่งอยู่ไม่ได้จึงลุกขึ้นยืนตวาด “เหลิงฟาง! กลางท้องพระโรงเช่นนี้ เจ้าช่างกล้าพูดจาอุกอาจล่วงเกินท่านเสนาบดี รีบไปขอขมาท่านเสนาบดีเดี๋ยวนี้! ”
เวลานั้นเหลิงฟางจึงได้สติ คิดได้ว่าตนเองทำเรื่องใดลงไป เข่าจึงอ่อนยวบลง ทว่าเสนาบดีผู้นั้นกลับหัวเราะออกมาเช่นเดียวกับซ่งจื่ออาน
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณชายน้อยนี่ช่างใจร้อนยิ่งนัก ข้ายังพูดไม่จบเลย ท่านรีบร้อนเช่นนี้… ทำราวกับว่ากำลังกลัวความผิดอย่างใดอย่างนั้น”