หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 77 งานเลี้ยงวันเกิดกับพายุลูกใหม่ที่กำลังจะมาเยือน
- Home
- หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้
- บทที่ 77 งานเลี้ยงวันเกิดกับพายุลูกใหม่ที่กำลังจะมาเยือน
บทที่ 77 งานเลี้ยงวันเกิดกับพายุลูกใหม่ที่กำลังจะมาเยือน
ขณะที่พายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวในเมืองหลวง แต่ภายในพระราชวังยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายเช่นเคย
วันคล้ายวันประสูติของสวีเจิ้งใกล้เข้ามาแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงห้าวันเท่านั้น และสองวันหลังจากวันเกิดของกุ้ยเฟย ก็เป็นวันที่ราชสำนักจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ซ่งจื่ออานทรงมีรับสั่งให้เสนาบดีกรมพิธีการเป็นผู้จัดงานด้วยตนเอง ซึ่งเทียบเท่ากับเกียรติยศของฮองเฮา ซ่งจื่ออานได้ส่งคนออกไปทั่วทุกสารทิศเพื่อรวบรวมของขวัญล้ำค่าตั้งแต่มีข่าวออกจากวังหลวงแล้ว
วันนี้หลังเลิกราชกิจ ซ่งจื่ออานก็ได้ทรงออกพระราชโองการให้หยุดราชกิจสองวันก่อนและหลังวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสวีกุ้ยเฟย ให้ประดับประดาโคมไฟทั่วทั้งเมืองหลวง ให้ความสุขแผ่ซ่านไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองหลวง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือว่าในวันเฉลิมฉลอง ซ่งจื่ออานจะทรงออกพระราชโองการอภัยโทษแก่ผู้กระทำความผิดทั่วแผ่นดิน และเฉลิมฉลองร่วมกับราษฎร!
แม้แต่วันคล้ายวันประสูติของเหลิงเยว่เมื่อปีที่แล้ว ก็ยังไม่เคยพบเห็นงานเลี้ยงใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน พิธีการเลี้ยงฉลองถูกส่งไปยังโต๊ะทรงงานทีละอย่าง จากนั้นซ่งจื่ออานก็ทรงส่งคนไปส่งที่ตำหนักซูฮวาด้วยตนเอง
ในตอนแรกสวีเจิ้งยังคงงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดซ่งจื่ออานจึงทรงลงทุนลงแรงมากมายเช่นนี้ หลังจากที่นางครุ่นคิดไปมาก็ค่อย ๆ เข้าใจ
ส่วนใหญ่แล้วคงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ให้สายตาของเหลิงเยว่มองมาที่อันหรูอี้เพียงผู้เดียว เพื่อป้องกันไม่ให้อันหรูอี้ถูกโจมตีมากเกินไป แท้ที่จริงนางก็เป็นเพียงโล่กำบังเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สวีเจิ้งก็ยังคงคาดเดาผิด
“ให้เหลิงตู้คิดว่าซ่งจื่ออานทำเพื่อสวีเจิ้ง” ชิวจื้อวิเคราะห์
“พิธีการใหญ่โตเกินหน้าฮองเฮาเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้คนคิดว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะเปลี่ยนตำแหน่งฮองเฮา”
อันหรูอี้ยิ้ม “ถ้าเเหลิงตู้คิดเช่นนั้น ก็ต้องโจมตีแม่ทัพสวีในราชสำนัก บังคับให้แม่ทัพสวีกับเหลิงตู้แตกคอกัน หรือแม้แต่เป็นศัตรูกัน”
ชิวจื้อพยักหน้าอย่างพอใจ “การเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งฮองเฮา เหลิงตู้มิมีทางนิ่งเฉยได้ ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายจะต้องทวีความรุนแรงขึ้น ในวันที่ลงมือแม่ทัพสวีก็จะมิเข้าแทรกแซง”
ชิวจื้อวางตลับแป้งในมือลงพร้อมกล่าวต่อ “ท่านแม่ทัพสวีนั้นกุมอำนาจทหารอยู่ในมือ และยังเป็นผู้รักษาสมดุล เมื่อใดที่ความสมดุลนี้พังทลาย เขาย่อมต้องเลือกข้าง หากเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นมา หากเขาเลือกข้างเหลิงตู้ ย่อมเป็นผลร้ายต่อฝ่าบาทอย่างยิ่ง”
อันหรูอี้ลุกขึ้นยืน หยิบผ้าคลุมไหล่ขึ้นมาสวม ดวงตางามสดใสทอดมองไปรอบ ๆ ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเกียจคร้าน มุมปากยกยิ้มงดงาม “ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านพ่อต้องการร่วมมือกับเขาในตอนนี้ก็ย่อมง่ายดายยิ่งขึ้น”
ชิวจื้อยิ้มบาง ๆ
เมื่อประตูตำหนักเปิดออก ร่างหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นอันหรูอี้ในชุดกุ้ยเฟยงดงาม ต่างหูและปิ่นปักผมที่ซื้อให้ในวันนั้นช่างเทียบไม่ได้กับความงามของนางแม้เพียงเศษเสี้ยว ซ่งจื่ออานทรงคิดเช่นนี้เสมอ
เถาหงเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชา ยิ้มอย่างมีเลศนัย “กุ้ยเฟยเพคะ วันนี้ข้างนอกครึกครื้นกันใหญ่เลยเพคะ… อ๊ะ! ถวายบังคมฝ่าบาท!”
เถาหงไม่ได้สังเกตเห็นว่าซ่งจื่ออานเสด็จเข้ามาในตำหนักตั้งแต่เมื่อใด เกือบจะลืมคำนับ ซ่งจื่ออานไม่ถือสาเดินตรงไปยังเบื้องหน้าอันหรูอี้ ทอดมองอันหรูอี้อย่างพิจารณา “อย่างที่ข้าคิดไว้จริง ๆ มิว่าเจ้าจะสวมใส่สิ่งใดย่อมงดงามเสมอ”
อันหรูอี้พยักหน้าให้เถาหงเป็นการอนุญาตให้นางไม่ต้องมากพิธี จากนั้นจึงยิ้มกล่าว “เกรงว่ามิเสมอไปหรอก หากวันใดท่านมอบชุดขอทานขาดวิ่นให้ข้า ข้าคงมิงดงามเช่นนี้แน่”
ซ่งจื่ออานหลุดขำ “หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วอย่างไรเล่า? ผู้ใดต่างก็กล่าวกันว่าขอทานเก้าชาติจึงจะได้เกิดเป็นราชา ข้าผ่านชีวิตขอทานมาแล้วถึงเก้าชาติ ยังจะต้องหวั่นเกรงอาภรณ์ขอทานอีกหรือ? หากเจ้าอยากสวม ข้าย่อมยินดีสวมเป็นเพื่อนเจ้า”
“เอ่ยวาจาเหลวไหลยิ่งนัก” อันหรูอี้หัวเราะเบา ๆ “ไปกันเถิด พวกเราไปดูการเตรียมงานวันคล้ายวันประสูติของท่านพี่หญิงกันดีกว่า”
ซ่งจื่ออานพยักหน้า ดวงเนตรรูปหงส์ของฮ่องเต้หนุ่มน้อยแฝงประกายรอยยิ้ม ท่าทางสง่างามราวกับเทพเซียน “ไปกันเถิด วันนี้เป็นเวทีของเจ้า”
วันนี้ เรื่องราววุ่นวายในตำหนักคุนหนิงคงจะไม่เป็นความลับในวังหลวงอีกต่อไป ข่าวนี้จะต้องถูกเปิดเผยในไม่ช้า เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ส่วนจะเปิดเผยเมื่อไหร่ซ่งจื่ออานเป็นผู้กำหนด
ในขณะที่ทั้งสองกำลังก้าวออกจากตำหนักเหมันต์ อันหลิงหลงก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนหนิง หว่านอิงก็ไม่ได้ขัดขวาง นางปล่อยให้อันหลิงหลงเดินเข้าไป
หว่านอิงเดินตามหลังไปอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันหลิงหลงบ่น “ท่านพี่สวีเจิ้ง เป็นเพียงแค่กุ้ยเฟยแท้ ๆ แต่ฝ่าบาทกลับคิดจะออกพระราชทานอภัยโทษให้ทั่วแผ่นดินเพื่อนาง นี่มันมิถูกต้องตามธรรมเนียมหรือไม่เพคะ?”
ไม่กี่วันที่ผ่านมา อันหลิงหลงยังคงไปเยาะเย้ยอันหรูอี้ที่ตำหนักเหมันต์ทุกวัน และใช้ประโยชน์จากอันหรูอี้เพื่อไต่เต้าในวังแต่ตอนนี้นางกลับเบนเป้าหมายไปที่สวีเจิ้ง
เพราะการจัดงานให้สวีเจิ้งในครั้งนี้ มันเหนือความคาดหมายจริง ๆ
เหลิงเยว่ลูบชายเสื้อเบา ๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบ ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับรางวัลที่ซ่งจื่ออานมอบให้สวีเจิ้ง แต่สีหน้าของนางกลับสงบนิงอย่างประหลาด
ตอนนี้อันหลิงหลงเองก็รู้จักยับยั้งชั่งใจมากขึ้น เมื่อเห็นเหลิงเยว่ ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางจึงก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
“ก็แค่งานเลี้ยงวันเกิดธรรมดา ๆ ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยจะกดดันตระกูลเหลิง มันมิใช่ความลับอันใด” เหลิงเยว่กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“กระนั้นการจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็มิเคยปรากฏมาก่อน…” อันหลิงหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“มีสิ่งใดแปลกรึ?” เหลิงเยว่หัวเราะอย่างเย็นชา “กุ้ยเฟยผู้หนึ่งยังกล้าอวดดีต่อหน้าข้า ส่วนอีกคนก็แค่จัดงานเลี้ยงวันเกิด ไยเจ้าต้องลำบากมาบอกข้าถึงที่นี้รึ”
หัวใจของอันหลิงหลง เต้นแรง “ฮองเฮา พระองค์หมายความว่า…”
“ข้าหมายความว่าเช่นไร?”
แววตาเหลิงเยว่ฉายแววเย็นชา ความเย็นยะเยียบแผ่ออกมาเมื่อนางนึกถึงความอับอายที่ได้รับตลอดเวลาที่ผ่านมา อารมณ์ของนางก็ยิ่งแย่ลง บัดนี้ไม่รู้ว่านางทำลายข้าวของในตำหนักไปมากเพียงใด แม้แต่คลังก็คงหามาเติมให้ไม่ทันเช่นกัน
อันหลิงหลงนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างๆ เหลิงเยว่เหลือบมองนางด้วยหางตาเล็กน้อย อันหลิงหลงเป็นน้องสาวของอันหรูอี้ ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับอันหรูอี้ นางย่อมไม่มีท่าดีอย่างแน่นอน
ยิ่งนางเห็นอันหลิงหลงที่ได้ขึ้นเตียงกับซ่งจื่ออานก็ยิ่งทำให้นางริษยามากยิ่งขึ้น
แม้เรื่องนั้นจะเป็นแผนการของนาง แต่นางก็ยังคงอิจฉาเพราะซ่งจื่ออานไม่เคยเหยียบเข้าตำหนักคุนหนิงอีกเลย นับตั้งแต่กุ้ยเฟยทั้งสองได้รับความโปรดปราน ตำแหน่งฮองเฮาของนางก็เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น
“ข่าวลือเรื่องที่ชาวหนานหมานปลุกไฟสงครามแพร่สะพัดไปทั่วทั้งในและนอกวังหลวง เจ้าคงจะรู้แล้วสินะ” เหลิงเยว่เอ่ยอย่างเย็นชา
“ฮ่องเต้แค่ทำเพื่อเอาใจท่านแม่ทัพใหญ่สวีเท่านั้น หัวใจของฝ่าบาทยังคงอยู่ที่…อันหรูอี้อยู่ดี”
อันหลิงหลงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหนักอึ้ง นิ้วเรียวสวยค่อย ๆ กำแน่นโดยไม่รู้ตัว
เหลิงเยว่แสร้งทำเป็นไม่เห็นความไม่พอใจที่ปรากฏบนใบหน้าของอันหลิงหลง เหลิงเยว่แค่นเสียงเย็นชา “พวกเราเป็นแค่คนในวังหลวง ไม่ได้อยู่ในสายพระเนตรของฝ่าบาท กล่าวอันใดก็ผิดไปเสียหมด แต่นี่…ในเมื่อฝ่าบาทมีพระประสงค์จะจัดงานใหญ่โตเช่นนี้ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็คงมิใช่แค่คนในวังหลวงกระมัง?”
ดวงตาของอันหลิงหลงเป็นประกายทันที “ฮองเฮาหมายถึง…”
“ท่านแม่ทัพสวี” เหลิงเยว่ยกยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววร้ายกาจจนน่าขนลุก “เขาอยากให้จัดงานใหญ่โตมิใช่หรอกหรือ? ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในงานเลี้ยงวันนั้น ฝ่าบาทจะเลือกผู้ใด ระหว่างอันหรูอี้กับสวีเจิ้ง!”
แท้จริงแล้วนางไม่ได้คิดจะเล่นงานอันหรูอี้ หากแต่ต้องการเล่นงานซ่งจื่ออานต่างหาก
อันหลิงหลงฉลาดพอที่จะสังเกตเห็นความผิดปกติได้ นางนึกถึงคำพูดที่บังเอิญได้ยินในวันนั้นที่ตำหนักเหมันต์ ความรู้สึกประหลาดบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในใจ
แม้ว่าอำนาจของเหลิงเยว่จะเริ่มถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็ยังคงเป็นถึงฮองเฮา อันหลิงหลงจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มแล้วถอยออกจากตำหนักคุนหนิง ก่อนใบหน้าของนางจะมืดครึ้มลงลงอย่างช้า ๆ
…ไม่ว่าอย่างไร การจัดการกับอันหรูอี้ย่อมไม่ผิดพลาด!
ส่วนอันหรูอี้นางคงไม่มีวันคาดคิดว่าพวกนางจะกล้าลงมือในงานเลี้ยงเช่นนี้ และซ่งจื่ออานก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็เพราะนางเช่นกัน…