หวนกลับมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ - บทที่ 101 ความวุ่นวายในวังหลวง
บทที่ 101 ความวุ่นวายในวังหลวง
เมื่อหลิวลวี่ถือยามา อันหลิงหลงก็ดูราวกับจะร้องไห้
คงเพราะโกรธที่เห็นแววดูถูกในดวงตาของอันหรูอี้ แต่จำต้องก้มหน้ายอมรับ ไม่มีทางสู้อันหรูอี้ได้เลยในตอนนี้ หากทำให้นางโกรธก็เท่ากับ “ตาย”
หลิวลวี่รู้สึกภาคภูมิและสะใจ แม้แต่การวางยาจึงทำอย่างนุ่มนวลขึ้น “ดื่มยาเถิด ต้มอยู่ตั้งชั่วยามกว่าจะได้เท่านี้ โสมก็ใช้ไปตั้งครึ่งชั่งเชียว! ”
อันหรูอี้เพิ่งยกถ้วยยาขึ้น ก็หัวเราะกับคำพูดของนาง “โสมครึ่งชั่ง? พูดออกมาได้ ไม่กลัวว่าจะบำรุงจนเลือดจนกำเดาไหลเป็นทางเลยหรือ? ”
หลิวลวี่แลบลิ้น ยืนข้างอันหรูอี้ นวดน่องให้นางพลางหัวเราะ “โถเหนียงเหนียง ก็แค่พูดเกินจริงไปหน่อย แต่ใช้โสมไปมากจริง ๆ นะเพคะ”
อันหรูอี้ยิ้มเบา ๆ ค่อย ๆ ดื่มยาบำรุงครรภ์ ยังไม่ทันวางถ้วย ก็เห็นอันหลิงหลงจ้องถ้วยยาที่เคี่ยวหนังลาจนเป็นวุ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ ราวกับจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ ทำให้นางอดขำไม่ได้
นางในตอนนั้นแม้จะอยากขอยามาบำรุงร่างกายสักหน่อยก็ยังขอไม่ได้ ทว่าอันหลิงหลงกลับแสดงท่าทางรังเกียจ
แต่ถึงจะรังเกียจก็ต้องดื่มลงไป รสชาติของยาถ้วนนี้ไม่น่าดื่มจริง ๆ การดื่มหนึ่งชามลงไปโดยไม่อาเจียนออกมานับเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง อันหรูอี้จึงไม่สนใจนางอีก หลับตาลงนอนพักผ่อน
ท้องของอันหลิงหลงกำลังปั่นป่วน ใครจะคิดว่าอันหรูอี้กลับข่มตาหลับลงไปได้ ทำให้นางรู้สึกตกตะลึง
แล้วนางล่ะ?
อันหลิงหลงมองไปทางชิวจื้อ ชิวจื้อเพียงแค่ยิ้ม ดูไม่เหมือนนางกำนัลเลยสักนิด อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างศาลา หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เถาหงหลิวลวี่เองก็เช่นเดียวกัน
อันหลิงหลงกัดฟันแน่น กำลังจะลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้าง ยามมองดูอันหรูอี้จึงพลันลังเลโดยไม่รู้ตัว อยากจะเอ่ยปากแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น
จนเวลาผ่านไป 1 ชั่วยาม สายตาของเถาหงและหลิวลวี่ที่มองนางจึงเริ่มแปลกประหลาดขึ้น
ยาก็ดื่มไปแล้ว เหตุใดยังไม่ไปอีก?
พวกนางไหนเลยจะรู้ว่าอันหลิงหลงถูกขู่จนตกใจกลัว ทุกการเคลื่อนไหวล้วนดูไม่รู้จะทำอย่างไร โดยเฉพาะในอาณาเขตของอันหรูอี้ผู้นี้ กลัวว่าการพลั้งพลาดเพียงนิดเดียวอาจทำให้ชีวิตน้อย ๆ ปลิดปลิว
จวบจนยามเย็น ดวงอาทิตย์อบอุ่นค่อย ๆ ลับขอบฟ้า อุณหภูมิจึงลดลงตาม แม้ไม่หนาวเย็นนักแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นสบาย อันหรูอี้ถูนัยน์ตาตัวเอง ตื่นขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ มือยันแขนลุกขึ้นนั่ง พอเหลือบมองก็เห็นอันหลิงหลงยังนั่งแข็งทื่ออยู่ จึงอดตกใจไม่ได้
“เจ้ายังนั่งอยู่ทำไมกัน? ” อันหรูอี้ถาม
อันหลิงหลงเหยียดหลังตรง
สายตาที่มองมาของนางดูงุนงง ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง พูดเสียงเบาว่า “…อาบแดด”
อันหรูอี้แสดงสีหน้าประหลาด มุมปากกระตุกเล็กน้อย มองไปทางเถาหง หลิวลวี่ สาวใช้ทั้งสองกลับหลบสายตาของนาง เห็นได้ชัดว่าพวกนางตั้งใจไม่เตือนอันหลิงหลง ปล่อยให้นางถูกลงโทษนั่งอยู่ตรงนี้
อันหรูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน ตามองดูท้องฟ้า คิดว่าคงใกล้ถึงเวลาแล้วจึงหันไปมองชิวจื้อ “กูกู จื่ออันส่งคนมารับแล้วหรือยัง”
ชิวจื้อมองออกไปข้างนอก ยิ้มบาง ๆ “มาพอดีเลย”
คนที่มาจากข้างนอกไม่ใช่ใครอื่น คือเจียอี้นั่นเอง โดยข้าง ๆ เจียอี้ยังมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ ดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ลับ ทั้ง 2 เดินเข้ามา พยักหน้าให้อันหรูอี้พลางพูดว่า “ฝ่าบาทส่งพวกกระหม่อมมารับพระชายาเข้าวังเฟยซวงพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” อันหรูอี้หยุดชั่วครู่ กวาดตามองอันหลิงหลง “ขอให้ทั้งสองรออีกสักครู่ ข้าจะเตรียมตัวกับน้องสาวก่อน”
เจียอี้ชะงักเล็กน้อย “พระองค์จะพาจิ้งผินไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
อันหรูอี้ลุกขึ้น เถาหงหลิวลวี่ช่วยประคองนางขึ้นมา ก่อนผู้เป็นกุ้ยเฟยจะค่อย ๆ ดันมืออีกฝ่ายออก “อยู่ที่นี่ก็เป็นเพียงตัวประกันให้ผู้อื่นเท่านั้น สู้พาไปด้วยกันจะดีกว่า ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องกังวล”
เจียอี้เงียบไปครู่หนึ่ง นับว่ายอมรับโดยดุษณี อันหรูอี้เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว หลิวลวี่ก็ติดตามไปปรนนิบัติ ชิวจื้อหันไปมองชายผู้นั้นแล้วถาม “เจียเอ้อร์ เตรียมคนพร้อมแล้วหรือ? ”
“กูกูวางใจได้” เจียเอ้อร์ขมวดคิ้วตามธรรมชาติ ราวกับอยู่ในความกังวลตลอดเวลา “เตรียมคนพร้อมแล้ว รอเพียงคำสั่งจากกูกูเท่านั้น”
ชิวจื้อพยักหน้า รีบลงไปเตรียมการครู่ใหญ่ เมื่ออันหรูอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมา เกี้ยวเตรียมพร้อมอยู่ด้านนอกแล้ว เถาหงหลิวลวี่ยังถือขนมมาด้วย
อันหรูอี้มองอันหลิงหลงที่ยืนอยู่ข้างศาลา เห็นนางก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร ทำเพียงกัดริมฝีปากแน่น ดูสงบนิ่งขึ้นมาก จึงเงียบไปครู่แล้วถาม “ยังยืนอยู่ทำไม? ต้องรอให้ข้าเชิญเจ้าหรือ? ”
อันหลิงหลงจ้องปลายเท้าตัวเองเงียบ ๆ แล้วเดินตามไป เห็นอันหรูอี้ขึ้นเกี้ยวแล้ว ตนเองก็เดินตามข้างเกี้ยว มุ่งหน้าไปยังตำหนักเฟยซวง
นอกตำหนักเฟยซวงจะมีคนรออยู่แล้ว ห้องบรรทมส่วนพระองค์ของโอรสสวรรค์ไม่มีอะไรพิเศษ อย่าพูดถึงข้าวของเครื่องใช้หรูหราและการตกแต่งซับซ้อน เพราะนั่นไม่นับว่าจำเป็น แค่สถานที่กว้างขวางก็นับว่าเพียงพอ
อันหรูอี้เองก็เข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก นางอดไม่ได้ที่จะสำรวจพื้นที่อย่างละเอียด ขันทีเฝ้าประตูทางเข้ายิ้มประจบ นางกำนัลสองข้างทางพากันคุกเข่าลงพร้อมกล่าวว่า “ถวายบังคมอันกุ้ยเฟย”
ถัดเข้าไปเป็นฉากไม้บุผ้าโปร่ง ไม่มีประตูใหญ่ มีเพียงประตูบานเลื่อนด้านในที่กั้นห้องออกจากกัน
ตรงกลางมีโต๊ะเตี้ยวางฎีกาอยู่ ทั้งสองด้านมีฉากบังตาทำจากไม้ไผ่ด้านละ 6 บาน
เจียอี้กล่าว “ทางด้านขวาคือที่บรรทมของฝ่าบาท ขณะนี้ฝ่าบาทกำลังทรงงานสำคัญอยู่ ขอเชิญพระนางตามสบาย หากต้องการสิ่งใด เรียกนางกำนัลให้จัดเตรียมได้เลย”
อันหรูอี้แท้จริงแล้วไม่มีความต้องการอะไร เพียงแค่อยากเปลี่ยนที่นอนเท่านั้น แต่เมื่ออันหลิงหลงตามมา อันหรูอี้จึงจำต้องกล่าวว่า “จงจัดเตรียมตำหนักรองให้พร้อม คืนนี้จิ้งผินจะพำนักที่ตำหนักรอง”
ขณะนี้ซ่งจื่ออานอยู่ที่ตำหนักไท่เหอ ตรงหน้าของเขาคือชิวจื้อที่แยกทางกับอันหรูอี้ ปัจจุบันชิวจื้อได้เปลี่ยนชุดแล้ว
นางเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังคงเค้าความงดงามอยู่ บัดนี้พอสวมชุดรัดรูปสีน้ำตาลสำหรับออกปฏิบัติการยามค่ำคืน รอยยิ้มที่เคยอยู่ในดวงตาจึงหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงความเย็นชา มือของนางพลิกปิ่นทองไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบเห็นเป็นเงาซ้อนทับกัน
ซ่งจื่ออานมองชิวจื้อพลางยิ้มบาง “ชิวกูกูร้อนใจแล้วหรือ? ”
ชิวจื้อตอบเสียงเย็น “บางคนมีชีวิตอยู่มา 3 ปี ก็นับว่านานพอแล้ว”
“คนพวกนี้ก็สร้างปัญหาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นคืนนี้ต้องขอฝากไว้กับชิวกูกูแล้ว” ซ่งจื่ออานลุกขึ้นยืน มองรายชื่อในมือ แววตาเข้มขึ้นเรื่อย ๆ “ต้องรับประกันว่าแผนการพรุ่งนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ผู้ใดกล้าขัดขวางหรือส่งข่าวให้สังหารทั้งหมด ห้ามเหลือไว้เป็นภัยในภายหลังเด็ดขาด”
ชิวจื้อก้มหน้า ใบหน้าพลันพร่าเลือนไม่ชัดเจน
ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง ซ่งจื่ออานก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองอย่างสงสัย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังคงเหมือนเดิม ชิวจื้อหายวับไปในวัง ไม่รู้ว่าปลอมตัวเป็นใครอีกแล้ว และจะแทงปิ่นทองเข้าหัวใจของผู้ใด…
เขามองไปยังวังเฟยซวง มองโคมไฟที่เริ่มจุดขึ้นบนยอดวัง รอยยิ้มอ่อนโยนค่อย ๆ ปรากฏที่มุมปาก
จากนั้นก็หันหลังและหายไปในวังเช่นกัน
ขณะเดียวกันกับที่เขาหันหลัง ในหมู่ขันทีที่เฝ้าประตูตำหนักไท่เหอ มีขันทีร่างเล็กคนหนึ่งแยกออกมาจากฝูงชน บรรยากาศผิดปกติในวังวันนี้ทำให้เขาหวาดระแวง ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เมื่อนึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตำหนักคุนหนิงเมื่อไม่กี่วันก่อน ขันทีน้อยจึงยิ่งเร่งฝีเท้า
เมื่อเห็นสหายร่วมห้องเดินสวนมา จึงยิ้มทักทายพลางเดินสวนผ่านไป
ทว่าฉับพลัน หัวใจของเขาพลันเย็นเยียบ
ขันทีตาเบิกกว้าง คอแข็งทื่อค่อย ๆ ก้มลงมอง เห็นดาบยาวแทงทะลุร่างจากด้านหลัง จึงค่อย ๆ หันกลับไป
สหายร่วมห้องถอนหายใจ กล่าวอย่างจนใจ “เจ้าก่อความวุ่นวายในวังหลวง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ประหารชีวิต”