หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - ตอนที่ 49 ตอกกลับคือเจ้า
กินน้ำใต้ศอกมิได้เรียกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่นนั้นต้องเป็นอย่างไร?
อวี๋หวั่นรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดเหล่านี้ ทว่ายามเธอสงบลงแล้วลองคิดดู เยี่ยนไหวจิ่งก็คงเป็น ‘ผู้ชายเลว’ เช่นนี้เป็นปกติอยุ่แล้ว เธอไม่อาจใช้แนวคิดผัวเดียวเมียเดียวแบบสมัยใหม่มาวัดผู้ชายโบราณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษที่อยู่ในจุดสุดยอดทางอำนาจ เมื่อลองคิดดูจากมุมมองของเยี่ยนไหวจิ่ง เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในหมู่บ้านที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นสาวใช้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเช่อเฟย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเขาต้องอดทนต่อแรงกดดันมหาศาลเพื่อให้ผู้หญิงต่ำต้อยเช่นเธอได้เป็นเช่อเฟย
แม้เธอเข้าใจเจตนาของเขา ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเห็นด้วยกับการกระทำของเขา
ในมุมมองของเขา เขาคือผู้เสียสละและยอมอ่อนข้อให้อย่างมาก ทว่าในมุมมองของอวี๋หวั่น เขาไม่ได้ให้แม้แต่ความเคารพในขั้นพื้นฐานที่สุดกับเธอด้วยซ้ำ
อวี๋หวั่นถามอย่างจริงจัง “องค์ชายรอง ใช่หรือไม่ว่า ในสายตาคนร่ำรวยและทรงอำนาจเช่นพวกท่าน ขอเพียงเป็นสิ่งของให้ทาน คนอื่นๆ ก็ต้องยอมรับด้วยความซาบซึ้ง ไม่ว่าตนเองจะต้องการหรือไม่ก็ตาม?”
น้ำเสียงของอวี๋หวั่นสงบราบเรียบ ทว่าเยี่ยนไหวจิ่งกลับถูกพลังที่ซ่อนอยู่ในความสงบของเธอแทรกเข้าไปถึงหัวใจ
ไม่เคยมีใครถามเขาด้วยคำถามเช่นนี้ พวกเขาต้องการหรือไม่? ต้องการพระคุณของเขาหรือไม่?
อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ สีหน้าของเธอสงบนิ่งราวกับดอกกล้วยไม้ในหุบเขายามพลบค่ำ “มีความต้องการชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าฝ่าบาทคิดว่าข้าต้องการ ฝ่าบาทเชื่อว่าการให้ข้าเป็นสนมเช่อเฟยเป็นความพยายามอย่างเต็มที่ของท่านแล้ว ข้าควรจะรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ทว่าฝ่าบาท ตั้งแต่ต้นจนจบท่านไม่เคยถามความคิดเห็นของข้า ข้าชอบท่านหรือไม่ ข้าอยากแต่งงานกับท่านหรือไม่? ท่านเพียงแค่คิดว่าจะเอาตำแหน่งที่ท่านชนะมาได้มอบให้ข้าเท่านั้น ผู้ที่ซาบซึ้งใจคือข้าหรือ? ไม่ เป็นตัวท่านเอง
ท่านรู้สึกว่าท่านใช้ความพยายามอย่างมาก ท่านไม่เชื่อฟังท่านแม่ และทำให้ท่านพ่อของท่านเกิดโทสะ ตั้งแต่เล็กท่านเคยเชื่อฟังมาเสมอ ท่านทำตัวดื้อรั้นเช่นนี้เป็นครั้งแรก…ท่านเกือบถูกตัวเองทำให้รู้สึกดีแล้ว ท่านคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยม ทว่าฝ่าบาท สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อตัวข้า ท้ายที่สุดคนที่ท่านเอาอกเอาใจ ก็มีแต่เพียงตัวท่านเองเท่านั้น”
เยี่ยนไหวจิ่งเป็นองค์ชาย ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเอ่ยกับเขาเช่นนี้ แต่ไม่ใช่เพราะน้ำเสียง อันที่จริง น้ำเสียงของอวี๋หวั่นสงบราบเรียบราวกับทะเลสาบที่ไร้คลื่น แต่วาจานั้น ทุกคำทุกประโยคไม่อาจปฏิเสธ!
กระทั่งบิดาผู้ให้กำเนิดของเขาก็ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์เขาเช่นนี้!
เขาโกรธจนหน้าดำหน้าแดง จิตใจลึกๆ ก็อยากจะโต้แย้ง ทว่าไม่รู้จะเริ่มโต้จากตรงไหน
จวินฉางอันที่พิงรถม้าชมความตื่นเต้นก็รู้สึกตกใจกับวาจาของอวี๋หวั่นเช่นกัน เขายืดตัวขึ้นมอง เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขามองสตรีผู้หนึ่งตรงๆ
เสื้อผ่าหน้าเนื้อผ้าป่านสีขาวแบบวสันตฤดู กระโปรงผ้าโปร่งและผ้าฝ้ายสีฟ้าเข้ารูป รัดเอวช่วงหน้าท้องถึงสะโพก ปลายแขนเสื้อพับขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อมือนวลเนียน เส้นผมดำขลับยาวพาดไหล่จนเห็นเพียงนิ้วก้อย ใช้ปิ่นไม้ทำมวยผมหลวมๆ การแต่งกายไม่มีตรงใดที่งดงามจับตา ทว่าเมื่ออยู่บนร่ายกายของนาง กลับรู้สึกถึงความงดงามอันแสนละมุนละไมและลึกซึ้งในทันที
ตั้งแต่อายุสามขวบ จวินฉางอันติดตามอาจารย์ร่อนเร่ไปทั่วยุทธจักร แม้อายุไม่มาก ทว่ากลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในยุทธจักร เขาพบเห็นมามาก วิสัยทัศน์สูงขึ้น เขาไม่ค่อยได้ชื่นชมใครนัก แต่ยามนี้เขาต้องยอมรับ ว่าคำพูดของเด็กผู้หญิงคนนี้คมในฝัก ตอกกลับได้อย่างเฉียบคม
สถานการณ์คับขันลำบากในช่วงครึ่งชีวิตแรกของเยี่ยนไหวจิ่งราวกับว่าถูกรวบรวมมาอยู่ในนาทีนี้ทั้งหมด เขาพูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน รอจนสุดท้ายเขาพูดได้ อวี๋หวั่นก็ได้จากไปพร้อมกับไม้คานหาบเสียแล้ว
เขารีบสาวเท้าก้าวตามด้วยความเร็ว “หรือเยี่ยนจิ่วเฉาสามารถเอาตำแหน่งชายาเอกมาให้เจ้าได้?”
อวี๋หวั่นจับเชือกบนถังไม้ด้วยสองมือ ถังน้ำทั้งสองมีน้ำหนักมาก ทว่าร่างเพรียวของเธอกลับตั้งตรง “เขาทำได้หรือไม่ ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่า ฝ่าบาททำไม่ได้”
เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดแน่น
…
เดิมทีเยี่ยนไหวจิ่งมาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง งานเลี้ยงของหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้ ได้รับการเยี่ยมเยียนจากองค์ชายของประเทศนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ทว่าในยามนี้ เขากลับไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้
“ฝ่าบาท?” เมื่อจวินฉางอันเห็นเขายืนอย่างเงียบๆ อยู่ข้างบ่อน้ำโบราณเนิ่นนาน ก็อดไม่ได้ที่จะเรียกเขา
เยี่ยนไหวจิ่งปล่อยหมัดที่กำแน่นอย่างแผ่วเบา
จวินฉางอันกวาดสายตาไปพลางเอ่ยถาม “ของขวัญบนรถ ท่านยังต้องการส่งให้แม่นางอวี๋อยู่หรือไม่?”
การเรียกชื่อของจวินฉางอันถึงกับเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าความคิดของเยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้อยู่ในเรื่องนี้ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นคำเรียกที่เปลี่ยนไป
“กลับวัง” เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ย
เยี่ยนไหวจิ่งจะไปคำนับสวี่เสียนเฟยทุกวัน ในฐานะบุตรที่กตัญญู สิ่งนี้กลายเป็นนิสัยที่เปลี่ยนไม่ได้มานานหลายปี จวินฉางอันไม่เอ่ยสิ่งใด หลังจากขึ้นรถ ก็ขับรถม้ากลับไปวังหลวงอย่างเงียบๆ
ณ ห้องโถงวังเสียนฝู สวี่เสียนเฟยกำลังชื่นชมม้วนภาพวาดที่จิตรกรนำมาเสนอ ยามบุตรชายของนางมาถึง ความรู้สึกยินดีก็ปรากฏขึ้นที่หางคิ้ว “วันนี้สายกว่าเมื่อวานเล็กน้อย งานราชกิจรัดตัวหรือ?”
ตั้งแต่รับพิจารณาคดีที่วัดต้าหลี่ เยี่ยนไหวจิ่งก็ยุ่งกว่าเดิมมาก
เยี่ยนไหวจิ่งถวายบังคมเงียบๆ “ถวายบังคมเสด็จแม่”
สวี่เสียนเฟยกวักมือเรียก “มานี่”
เยี่ยนไหวจิ่งก้าวไปข้างๆ นางและนั่งลงเว้นห่างจากโต๊ะเล็ก
สวี่เสียนเฟยกางภาพทีละใบบนโต๊ะเล็ก “ให้เจ้าเป็นคนเลือกเอง หากเจ้าไม่เลือก แม่ก็คงต้องเลือกให้ด้วยตนเอง สตรีเหล่านี้แม่คัดเลือกมา หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว พวกนางมีตระกูลที่ดี มีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ ลูกดูสิ ให้บุตรีของจวนอัครมหาเสนาบดีเป็นพระชายาเอกดีรึไม่? ส่วนบุตรีของราชครูและต้าฟูแห่งหออาลักษณ์หลวงก็ให้เป็นเช่อเฟย…”
การสนทนาผ่านไปครึ่งหนึ่ง สวี่เสียนเฟยตระหนักได้ว่าใบหน้าของเยี่ยนไหวจิ่งไม่ปกติ จึงค่อยๆ วางม้วนภาพวาดลงพลางเอ่ยถามว่า “เป็นอันใดไป? ไม่ต้องการหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งนิ่งเงียบ
สวี่เสียนเฟยมอบม้วนภาพวาดให้มามาผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ มามาผู้ดูแลเข้าใจความหมาย นำเหล่าข้าราชบริพารถอยออกไป
เหลือเพียงมารดาและบุตรชายอยู่ในห้องเพียงสองคน สวี่เสียนเฟยปอกส้มให้บุตรชาย “มีคนที่ชอบแล้วหรือ?”
นัยน์ตาเยี่ยนไหวจิ่งขยับเล็กน้อย
สวี่เสียนเฟยกลับไม่ได้มองเขาและแกะกากของส้มอย่างมุ่งมั่น “กี่ปีแล้วไม่ยอมแต่งงาน ไม่เข้าใกล้อิสตรี ข้าที่เป็นแม่ของเจ้าไม่รู้เลยว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ ไปพบนางมาหรือ? คุยกับนางว่าอย่างไร?”
หากเป็นบุตรีที่ผู้คนรู้จักกันดีและคู่ควรต่อการอภิเษก บุตรชายก็คงหงายไพ่ให้นางดูนานแล้ว ทว่าเอาแต่นิ่งเงียบ เดาว่าตัวตนของนางคงไม่คู่ควรกับราชวงศ์ ดังนั้น สวี่เสียนเฟยจึงไม่ได้ถามถึงที่มาของอีกฝ่าย
เยี่ยนไหวจิ่งยังคงไม่ปริปาก
ไม่มีผู้ใดเข้าใจบุตรชายได้ดีกว่ามารดา ในเมื่อเขาไม่เอ่ยสิ่งใด สวี่เสียนเฟยจะไม่ต้องเดาเองหรือ?
สวี่เสียนเฟยกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเจ้าชอบนางมากเยี่ยงนี้ แม่ก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ตราบใดที่นางไม่ได้เกิดในซ่องโสเภณีหรือเคยเป็นนักโทษ แม่อาจให้เจ้าพานางเข้ามาได้ หากนางให้ทายาทกับเจ้าได้ จะให้ตำแหน่งสนมซู่เฟยแก่นางก็ไม่มีปัญหา”
สถานะของตำแหน่งสนมซู่เฟยต่ำกว่าสนมเช่อเฟย หากเรียกเช่อเฟยว่าผิงชี[1] ซู่เฟยก็คงเรียกว่าอี๋เหนียง[2]
อี๋เหนียงของจวนองค์ชาย ก็เป็นสิ่งที่หลายคนไม่อาจปีนขึ้นไปได้
ในที่สุดเยี่ยนไหวจิ่งก็มีการตอบสนอง ทว่าเขากลับส่ายศีรษะ
ดวงตาของสวี่เสียนเฟยเย็นลง “อย่างไร? นางไม่ชอบหรือ? หรือนางอยากเป็นเช่อเฟย?”
เยี่ยนไหวจิ่งส่ายศีรษะอีกครั้ง
“พระชายาเอกรึ?” สวี่เสียนเฟยสูดหายใจ!
เยี่ยนไหวจิ่งยืนขึ้นด้วยอารมณ์มืดมน “เสด็จแม่ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใด ลูกเหนื่อยแล้ว ลูกขอทูลลา”
“อ้าว!”
สวี่เสียนเฟยพยายามหยุดเขา ทว่าเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลายปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดบังอาจทำหน้าบูดบึ้งใส่นาง แต่จะเป็นผู้ใดได้หากไม่ใช่เลือดเนื้อของนาง? สุดท้ายสวีเสียนเฟยก็ยังรักและเอ็นดูเขา
มามาผู้รับผิดชอบลอดม่านเข้ามา “พระสนม”
สวี่เสียนเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “วาจาเมื่อครู่เจ้าได้ยินหมดแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้ว่าไปสนใจแม่นางคนใด สถานะต้อยต่ำเกินจะเอ่ย ทว่ากลับตาสูงอยากปีนฟ้า พระชายาเอกของตำหนักองค์ชาย? นางคิดว่าตนเองเกิดในตระกูลที่มีอิทธิพลเช่นนั้นหรือ?”
“พระสนมอย่าได้ทรงกริ้วไปเลยเพคะ” มามาผู้รับผิดชอบเอ่ย “ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะหลงใหลในอิสตรี”
สวี่เสียนเฟยวางส้มที่ปอกแล้วลงบนจาน “หากเขาโหดเหี้ยมไร้ความปรานีได้ครึ่งหนึ่งของพ่อเขา ข้าก็คงสบายใจ”
“พระสนมทรงเอ่ยวาจาไร้สาระอีกแล้ว” มามาผู้รับผิดชอบเอ่ย
สวี่เสียนเฟยหัวเราะเย้ยหยัน “ไร้สาระหรือไม่ มิใช่ว่ามามาจะเข้าใจดีกว่าข้าหรือ? ฮ่องเต้ก็ทรงไร้น้ำใจ…ต่อบุตรของราชวงศ์ หลงใหลแต่เยี่ยนอ๋อง”
มามาผู้รับผิดชอบหลุบตาลง “ดึกแล้วเพคะ พระสนมควรพักผ่อนได้แล้ว”
…
บ้านหลังเก่าของสกุลอวี๋ยุ่งตลอดทั้งวัน กระทั่งยามนี้ (สามทุ่ม) เพิ่งจะส่งแขกทุกคนกลับไปจนหมด แล้วก็เก็บกวาดกับป้าจางและคนอื่นๆ อีกหนึ่งชั่วยาม จนบ้านสะอาดเรียบร้อย
อาหารวันนี้มีเยอะมาก
“ท่านป้ามาเอาไปสิ” อวี๋หวั่นยัดหมูสามชั้นหมักถ้วยหนึ่งใส่มือป้าจาง
“โอ้! นี่เจ้าจะทำอันใด!” ป้าจางปฏิเสธ
อวี๋หวั่นยิ้ม “ท่านรับไว้เถิด!”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? รับค่าจ้างจากครอบครัวของเจ้ามาแล้ว และยังเอาของไปอีก ข้าจะเป็นคนเช่นไร!” ป้าจางหาได้เอ่ยเพราะความเกรงใจ ทว่าก้นบึ้งของหัวใจนางคิดเช่นนั้น ในหมู่บ้านยากจน เมื่อพวกเขาไปช่วยงาน น้อยนักที่จะได้รับเงินค่าตอบแทน ส่วนใหญ่จะได้รับเป็นข้าวกล้องหรืออัวอัวโถวที่กินเหลือ หากโชคดีก็อาจได้น้ำตาลก้อนสักหน่อย ที่ใดจะเหมือนบ้านสกุลอวี๋? นอกจากเอาเงินมาแล้วก็ยังเอาเนื้อมาอีก?
อวี๋หวั่นเอ่ย “อากาศร้อนแล้ว ทิ้งอาหารไว้นานไม่ได้ เยอะขนาดนี้พวกเรากินไม่หมดหรอก”
ป้าจางจ้อง “เหตุใดจึงกินไม่หมด? ข้าว่าครอบครัวของเจ้าเจริญอาหารนัก!”
นี่ นี่ก็จริง
เมื่อนึกถึงถังข้าวสองสามถังที่บ้าน อวี๋หวั่นก็พลันรู้สึกละอายใจ
“พี่เอ้อร์หนิว!” อวี๋หวั่นหยุดเอ้อร์หนิวที่เดินมาจากบริเวณก่อสร้าง
“อ้าว? น้องอวี๋หวั่น!” เอ้อร์หนิวเดินมา
“ถือไว้ เอากลับบ้านไปกินนะ” อวี๋หวั่นเปลี่ยนเป็นวางชามหมูตุ๋นเต็มชามลงในมือของเขา
เอ้อร์หนิวยินดีรับไว้ทันที “ขอบใจน้องอวี๋หวั่นมากนะ!”
“เจ้าเด็กคนนี้!” ป้าจางโกรธจนอยากจะตีเขา
ป้าไป๋และคนอื่นๆ ก็ได้แบ่งหมูตุ๋นชามใหญ่ ถั่วลิสงและน้ำตาลก้อน ทั้งยังมอบให้กับครอบครัวที่มีเด็กๆ ด้วย
เถี่ยตั้นน้อยกับเจินเจินนอนแผ่หลับอยู่บนเตียงแล้ว อวี๋เซ่าชิงไปอุ้มบุตรชาย กลับไปบ้านพร้อมกับภรรยาและบุตรสาว
งานเลี้ยงวันนี้คึกคักมาก ทุกคนกลับบ้านด้วยความพึงพอใจ ส่วนครอบครัวอวี๋ก็เหนื่อยล้าจนหมดแรง ทว่าเมื่อคิดว่าครอบครัวตนได้จัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ภายในหัวใจก็พลันรู้สึกมีความสุขยิ่ง ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวคือครอบครัวฝั่งของป้าใหญ่ที่ไม่มาแม้แต่คนเดียว
สกุลกัวไม่มาเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย ทว่าเหตุใดสกุลหลัวจึงไม่มา? ไม่มีแม้กระทั่งเงินของขวัญ
เงินเป็นเรื่องเล็กน้อย สกุลอวี๋ไม่ได้ขาดแผ่นทองแดงเหล่านั้น ทว่าเป็นเพราะท่าทีของคนสกุลหลัว
“นอนไม่หลับหรือ?” สายตาของลุงใหญ่พาดผ่านบุตรสาวที่กำลังหลับ ไปตกกระทบลงบนร่างของภรรยาที่พลิกไปพลิกมา
“ทำให้รำคาญหรือ?” ป้าใหญ่เอ่ยถาม
ลุงใหญ่เอ่ย “กำลังคิดถึงเรื่องบ้านน้องเขยรึ?”
ป้าใหญ่ส่งเสียงอืม พลางพลิกตัวหันหลังให้บุตรสาวกับสามี และหันหน้าไปทางระแนงหน้าต่างซึ่งถูกแสงจันทร์ฉายจนเป็นสีขาว
ลุงใหญ่เอ่ย “อาจจะติดธุระบางอย่างอยู่ก็ได้ ธุรกิจของสกุลหลัวยุ่ง”
“ธุระของเราไม่ยุ่งรึ?” ป้าใหญ่เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “บ้านเขาจัดเลี้ยง มีรึที่ข้าไม่ไป? ไม่ว่าข้าจะยากจนแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยขาดเงินของขวัญให้เขา! สถานการณ์ครอบครัวเราเป็นอย่างไรสกุลหลัวจะไม่รู้หรือ? ไปที่นั่นมีครั้งไหนที่เอาอกเอาใจได้รึ?”
“หากเป็นเช่นนั้น การที่พวกเขาไม่มามิใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ? อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องเห็นแล้วหงุดหงิด” ลุงใหญ่เอ่ยวาจาปลอบโยนเบาๆ
ถึงกระนั้น การที่ครอบครัวของตนไม่มา ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาของชาวบ้าน สกุลกัวเลวร้ายเกินไป หมดหนทางที่จะไปไหนได้ ป้าใหญ่ถามตัวเองแล้วไม่มีสิ่งใดต้องรู้สึกผิดกับสกุลหลัว น้องสาวของนางเป็นเด็กผู้หญิง นางก็เป็นเด็กผู้หญิง ทว่านางเหมือนถูกเก็บมา ส่วนน้องสาวเป็นบุตรสาวแท้ๆ ในบ้านหลังนั้น นางเติบโตขึ้นมาราวกับสัตว์ที่ใช้แรงงาน นางไม่เคยบ่น นางไม่เคยกล่าวโทษผู้ใคร หรืออิจฉาผู้ใด
เหตุใดนางถึงมาที่หมู่บ้านเหลียนฮวา ไม่ใช่เพราะสกุลอวี๋มอบของขวัญให้มากมายหรือ? ขายนางเพื่อแลกกับเงิน ให้น้องชายได้แต่งสะใภ้ ให้น้องสาวได้ใช้เป็นสินสอด ยามที่นางแต่งงาน กระทั่งปิ่นทองแดงน้องสาวนางก็ยังไม่เต็มใจให้
สิ่งที่โชคดีก็คือ สกุลอวี๋มีฐานะยากจนเล็กน้อย ทว่าพ่อแม่สามีมีเหตุผล สามีของนางก็ปฏิบัติต่อนางด้วยความกรุณาและชอบธรรม ทั้งน้องชายและน้องสาวของสามีต่างก็เคารพในตัวนางมาก
เมื่อนางมาที่นี่ นางจึงรู้สึกว่านางได้ใช้ชีวิตเหมือนคนคนหนึ่ง
“ข้ารู้ว่าในใจของนางไม่มีพี่สาวคนนี้อยู่เลย นางดูถูกข้า! ข้าแค่อยากให้นางได้เห็น ว่าตอนนี้ชีวิตของข้าดีขึ้นแล้ว! ข้าไม่ได้ยากจนอีกต่อไป! และข้าก็ไม่ต้องการนาง! นางไม่จำเป็นต้องหลบเหมือนกับข้าเป็นขอทาน!” ป้าใหญ่โกรธจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ลุงดึงร่างของนางมาเช็ดน้ำตาด้วยนิ้วหยาบ พลางเอ่ยว่า “มันเป็นเรื่องของนางที่นางจะหลบเจ้า เราก็ใช้ชีวิตของเรา ไม่จำเป็นต้องใช้ให้ผู้ใดเห็น วันหน้าเมื่อสกุลหลัวมาหา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจแล้ว”
…………………………………………………….
[1] ผิงชี (平妻) ตำแหน่งภรรยารองในบ้านเดียวกัน มีสถานะต่ำกว่าภรรยาหลวง
[2] อี๋เหนียง (姨娘) ตำแหน่งและคำเรียกอนุภรรยา