หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 267 ความกรุณาและความน่ายำเกรง
บทที่ 267 ความกรุณาและความน่ายำเกรง
ชิวฉุ่ย สาวใช้ของฮูหยินอวี้ที่ถูกคุมตัวไว้ในศาลบรรพชนเช่นกัน ทว่ากักตัวไว้ไม่ให้อยู่ห้องเดียวกันกับนางนั้น รีบทุบประตูห้องขังตัวเองอย่างร้อนรนทันทีที่ได้ยินเสียงไอโขลกรุนแรง พร้อมพร่ำบอกคนที่คุมขังข้างนอกว่าจะต้องพาฮูหยินอวี้ไปหาหมอให้ได้ ทว่าคนเฝ้าประตูอยู่นั้นพูดเป็นเสียงเด็ดขาดว่าไม่ว่าใครที่ถูกขังอยู่ที่นี่ก็ไม่อาจออกไปได้ทั้งนั้นหากมหาเสนาบดีไม่ได้สั่ง
ทางฝั่งหลินหัวเยว่ บัดนี้นางได้มาถึงจวนของตระกูลเฮอแล้ว ใบหน้าของนางยามนี้มีทั้งความระทมและความแค้นผสมกันไป ด้วยเฮอเหวินจางนั้นเป็นคนที่นิยมบุรุษเพศด้วยกัน นั่นย่อมหมายความว่าจะไม่มีใครเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงของนางในค่ำคืนนี้เป็นแน่
ช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนานยิ่งนัก
และแล้วการแต่งงานในฝันของลูกผู้หญิงก็ได้จบลงเช่นนี้
ทางฟากหลินซีเหยียน นางกำลังนั่งมองดูดวงจันทร์สุกสว่างอยู่ที่ม้าหินในเรือนเชียนเหยียน ดวงตาของนางยังแฝงความไม่พอใจ ด้วยหวังว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าสนุกมากกว่านี้เกิดขึ้น
เพราะนางรู้ดีว่าตะขาบนั้น ต่อให้หัวขาดมันก็ยังไม่ตายทันที
หญิงสาวหลับตาลงอย่างช้า ๆ เพื่อครุ่นคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ให้มากขึ้น แต่ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงลมวูบหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
และแล้วจี๋เฟิงก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหลินซีเหยียนแล้วรายงาน “เป็นเรื่องของฮูหยินอวี้ขอรับคุณหนู”
“มีอะไรหรือ?” ทันทีที่ได้ยินชื่อของฮูหยินอวี้ นางก็ยิ้มน้อย ๆ ออกมา
ว่าแล้วว่าตะเกียงมันยังไม่สิ้นเชื้อเพลิงจริง ๆ
“หลังจากที่คุณหนูไปที่ศาลบรรพชนเพื่อไปหานางในวันนี้แล้ว นางก็เอาเงินเก็บทั้งหมดของนางไปให้สาวใช้ส่วนตัว… พร้อมกำชับสาวใช้ให้จ้างหมอพิษข้างนอกมาฆ่าคุณหนูขอรับ!” จี๋เฟิงกล่าวเสียงเครียดใบหน้าจริงจัง กระนั้นใจเขาก็รู้สึกสงสารคนที่มีความคิดชั่วร้ายกับคุณหนูเช่นนี้ขึ้นมา
หลินซีเหยียนคิดถูกจริง ๆ ที่ส่งจี๋เฟิงไปจับตาดูเอาไว้
แต่สมองของฮูหยินอวี้ยังปกติดีอยู่หรือเปล่าน่ะ นางคิดจะสังหารข้าด้วยพิษ ทั้ง ๆ ที่ข้าเชี่ยวชาญด้านพิษ สถานการณ์เช่นนี้ช่างบ้าบอเสียจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนเพียงทำสีหน้าราวกับกำลังขบขันบางสิ่งอยู่ และดูไม่มีทีท่าจะโกรธเลยแม้แต่น้อย จี๋เฟิงจึงทำท่าเชือดคอให้หลินซีเหยียนดู “คุณหนูจะให้ข้าน้อยช่วยท่านจัดการ...”
“ไม่จำเป็น การล้างแค้นของข้า ข้าจะสะสางด้วยตัวเอง เจ้าคอยดูก็แล้วกัน!” หลินซีเหยียนคลี่ยิ้มเย็นออกมา และจี๋เฟิงก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบในทันใด เขาพลันก้มหน้างุดและไว้อาลัยให้ฮูหยินอวี้เงียบ ๆ
หลินซีเหยียนกล่าวต่อไป ราวกับในหัวของนางได้คิดแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว “คอยจับตาดูต่อไป แล้วก็แอบช่วยสาวใช้คนนั้นให้ออกมาจากศาลบรรพชนเสีย แล้วมารายงานข้า”
จี๋เฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้ยินว่าจะให้ช่วยสาวใช้ที่คิดจะลอบสังหารนางเช่นนี้ และแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจมากเพียงใด จี๋เฟิงก็ได้แต่พยักหน้าและปฏิบัติตามคำสั่งแต่โดยดี
เมื่อจี๋เฟิงจากไปแล้ว หลินซีเหยียนก็ชมจันทร์สุกสกาวดวงโตต่อ หลังจากที่ออกไปสูดอากาศเรียบร้อยแล้ว นางก็กลับเข้าไปห้องตนเองเพื่อรอชมอะไรสนุก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
…
อาจกล่าวได้ว่าประสิทธิภาพการทำงานของจี๋เฟิงนั้นสูงจนน่าทึ่ง เพราะแค่เพียงหนึ่งคืนถัดมา เขาก็ช่วยสาวใช้คนนั้นออกมาได้แล้ว
เมื่อรับทราบเรื่องนี้ หลินซีเหยียนก็เปลี่ยนเป็นชุดยามวิกาลและออกมาพร้อมกับจี๋เฟิง ทั้งคู่ดักเจอสาวใช้คนนั้นระหว่างทาง
เมื่อสาวใช้คนที่ว่าเห็นคนใส่หน้ากากอีกทั้งยังแต่งดำอยู่เบื้องหน้า นางก็คิดว่าตนโชคร้ายเจอโจรเข้าระหว่างทางเสียแล้ว จึงรีบกล่าวออกไป “คุณชายทั้งสองท่าน ข้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ ไม่มีเงินอะไรให้ท่านทั้งนั้น…”
“พวกเราไม่ได้ต้องการเงิน” หลินซีเหยียนภายใต้ชุดพรางตัวกล่าว
ไม่ต้องการเงิน? แล้วต้องการอะไร?
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ชิวฉุ่ยก็คิดว่าตนเจอเข้ากับพวกโจรเด็ดบุปผาเสียแล้ว มือจึงจับชายผ้าแน่นไปตามสัญชาตญาณ ตามองสองคนตรงหน้าอย่างหวาดระแวง
หลินซีเหยียนเพียงหันไปสบตากับจี๋เฟิงเท่านั้น แล้วอีกฝ่ายก็พยักหน้า จี๋เฟิงรุดเข้าไปจับตัวชิวฉุ่ยมาแล้วลากนางไปยังตรอกแคบ ๆ แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ชิวฉุ่ยยามนี้รู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก กระนั้นนางก็พยายามดิ้นเอาเตารอดอย่างสุดแรงพร้อมกับขู่จี๋เฟิง “ข้าเป็นคนของจวนมหาเสนาบดีนะ ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องข้า…”
หลินซีเหยียนหัวเราะในลำคอก่อนจะถอดหน้ากากออก “เป็นคนของตระกูลมหาเสนาบดี แต่กลับคิดจะฆ่าคนในตระกูลนั้นเสียเองเจ้าคิดว่าตระกูลหลินยังจะปกป้องเจ้าอยู่อย่างนั้นหรือ?”
“คุณ….คุณหนูสาม!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครชิวฉุ่ยก็ร้องเสียงหลง ทำสีหน้าเหมือนกับเห็นผี ยามนี้ใจของนางร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเสียแล้ว
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ข้าก็แค่จะมาช่วยเจ้าเท่านั้นเอง”
ชิวฉุ่ยยังดูละล้าละลัง ทว่าในที่สุดก็สงบลง และเมื่อหลินซีเหยียนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนแล้ว ก็กล่าวตะล่อมต่อไป “บอกข้ามาว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
สาวใช้คนนี้เป็นคนฉลาด ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำถาม จึงปั้นหน้านิ่งตอบออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยินกำลังป่วยอยู่ ข้าจะออกมาซื้อยาให้นางไม่ได้เลยหรืออย่างไรเจ้าคะ?”
“แล้วเจ้าคิดที่จะทำอะไรกับเงินจำนวนมากมายเหล่านั้น?”
หลินซีเหยียนไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไรที่อีกฝ่ายโกหกเช่นนั้น หญิงสาวเพียงเดินเข้าไปหาชิวฉุ่ยแล้วหยิบเอาถุงเงินออกมาจากสายรัดเอวของนาง
กริ๊ง กริ๊ง
เหรียญมากมายร่วงออกจากถุงจนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
“ตายจริง!” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงประหนึ่งว่าตนนั้นไม่ได้ตั้งใจ “ไม่นึกเลยว่าฮูหยินอวี้จะมีเงินเก็บสะสมเป็นจำนวนมากขนาดนี้”
ยามนี้ชิวฉุ่ยตัวแข็งค้างไปแล้วด้วยพูดอะไรไม่ออก จากนั้นจึงค่อย ๆ สูดหายใจลึกแล้วพูดกับหลินซีเหยียนได้ “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณหนูสามเจ้าคะ?”
หลินซีเหยียนจึงพูดต่อไปอย่างไม่อ้อมค้อม “เอาล่ะ เรามาเปิดอกพูดความจริงกันดีกว่า ข้าน่ะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะมาที่นี่วันนี้ และแน่นอนว่าข้ารู้ถึงจุดประสงค์ของเจ้าด้วย” ว่าพลางโยนถุงใบนั้นลงไปบนพื้นด้วยสีหน้าแสดงความรังเกียจ ราวกับว่าการจับสิ่งของของฮูหยินอวี้จะทำให้มือของนางสกปรกขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหนูสามต้องการจะทำอะไรกันแน่เจ้าคะ?” มาถึงขั้นนี้แล้ว ชิวฉุ่ยจึงตัดสินใจถามอีกฝ่ายออกไปตรง ๆ ไม่แสร้งทำเป็นอ่อนแออีกต่อไป การที่นางมาทำงานให้คนแซ่อวี้ได้เช่นนี้ก็เพราะความที่นางเป็นคนฉลาด เช่นนั้นแล้วนางจึงรู้ว่าที่หลินซีเหยียนมาหานางในวันนี้ ย่อมเป็นเพราะมีบางอย่างที่ต้องการจากนางเป็นแน่
ที่นางต้องทำก็เพียงแค่หาจังหวะดี ๆ ในการหนีเท่านั้น ขอแค่แสร้งตอบตกลงส่ง ๆ ไปก่อน ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา
หลินซีเหยียนเมื่อเห็นปลาทำท่าจะติดอวนแล้วจึงคลี่ยิ้ม นางหยิบขวดลายครามใบเล็ก ๆ ออกมาโยนไปให้อีกฝ่าย “ข้าต้องการให้เจ้าใส่สิ่งนี้ลงไปในอาหารของฮูหยินอวี้”
‘สิ่งนี้’ ที่ว่านั้นเป็นยาพิษที่หลินซีเหยียนเพิ่งคิดค้นขึ้นมาใหม่ มันไร้สี ไร้รส และไร้กลิ่น หากใช้เพียงนิดเดียวก็จะยังไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าหากว่าสะสมอยู่ในร่างกายไปเรื่อย ๆ สักพักหนึ่งแล้ว พิษก็จะทำให้แขนและขาเจ็บปวดราวกล้ามเนื้อจะฉีกขาด แล้วในไม่ช้าก็จะไม่สามารถขยับได้และกลายเป็นอัมพาตไปโดยสมบูรณ์ สภาพเช่นนี้ หากไม่มีคนดูแลก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่นอน
ชิวฉุ่ยขมวดคิ้วขณะที่จ้องมองขวดลายครามใบเล็ก ๆ ขวดนั้นอยู่สักพัก จนในที่สุดก็ถามขึ้น “นี่คืออะไร?”
“ยาพิษ”
เพียงแค่คำสั้น ๆ แต่ชิวฉุ่ยก็สั่นสะท้านและรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว นางแทบจะโยนขวดที่ว่านั้นลงพื้นทันที “ท่านต้องการให้ข้าเป็นคนลงมือฆ่าฮูหยินอวี้อย่างนั้นเหรอ!”
หลินซีเหยีนเพียงมองเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็นเท่านั้น “ถ้าเจ้าทำตามที่ข้าบอก เงินบนพื้นทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ทำ… เจ้าก็จะต้องกลายเป็น ‘ศพ’ ”
หลินซีเหยียนเน้นคำว่า ‘ศพ’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำให้ชิวฉุ่ยนั้นอดไม่ได้ที่จะมองว่านางเป็นเสมือนอสรพิษร้าย ยามที่จ้องเข้าไปในดวงตาอันเย็นยะเยือกของอีกฝ่าย นางรู้สึกได้ถึงเพียงความเหน็บหนาว
“ทุกวันนี้ฮูหยินอวี้ก็ไม่ได้มีอำนาจใหญ่โตอะไรแล้ว เจ้าอยู่กับนางต่อไปก็ไร้อนาคตเปล่า ๆ นอกจากนี้เจ้าน่าจะรู้จักฮูหยินอวี้ดีมากกว่าข้า โดยเฉพาะถ้าข้าบอกกับนางว่าเจ้าถูกข้าจับได้ เจ้าคงจะรู้ใช่หรือไม่ ว่านางจะทำอย่างไรกับเจ้า?”
ชิวฉุ่ยสะอึกทันที เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินอวี้มักจะฆ่าคนที่ทำพลาดมากกว่าจะปล่อยไปเสมอ
หลินซีเหยียนกระหยิ่มยิ้มในใจ
การซื้อใจคนที่ดีที่สุด คือการใช้ทั้งความกรุณาและความน่ายำเกรง
ชิวฉุ่ยที่ตอนนี้กำลังชั่งน้ำหนักของแต่ละฝั่งอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายก็เหงื่อออกชื้นเต็มแผ่นหลัง แต่ไม่นานต่อมานัก คนฉลาดอย่างนางก็ดูจะตัดสินใจได้แล้ว “ต่อจากนี้ไป ชิวฉุ่ยจะขอทำงานให้คุณหนูสามเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนผงกหัว จากนั้นมือคนก็ล้วงยาออกมาจากกระเป๋าเม็ดหนึ่ง แล้วส่งไปให้ชิวฉุ่ย
ชิวฉุ่ยหน้าซีดเผือดทันที และกล่าวออกไปด้วยเสียงสั่น ๆ “คุณหนูสามยังไม่เชื่อในตัวข้าอีกหรือเจ้าคะ?”
“ทำไมเล่า? นี่ก็แค่เป็นวิธีการป้องกันในแบบของข้าเท่านั้น เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก หากเจ้าไม่ได้คิดจะเล่นไม่ซื่ออะไร ยานี้ก็ไม่มีผลร้ายอะไรต่อเจ้าแน่นอน ข้าสัญญา”