หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 264 พวกสารเลว
บทที่ 264 พวกสารเลว
“ที่นี่คือวังหลวงนะ เลิกพูดจาไร้สาระแล้วรีบลงมือได้แล้ว”
ในขณะที่อีกคนพูดจบ อีกคนก็รีบยื่นมือแห้งกร้านเข้าไปหมายจับหญิงสาว “ไม่นึกเลยว่าเจ้าที่หนีจากข้าไปได้เมื่อห้าปีก่อน แล้วห้าปีต่อมาเจ้าจะกลับมาอยู่ในมือของพวกข้าเช่นนี้”
แต่ก่อนที่มือของคนพูดจะทันได้ไปแตะหลินซีเหยียน เขาได้กลิ่นแปลก ๆ ขึ้นมา และเพียงพริบตาเดียวก็ทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
และเมื่อมองไปยังคู่หูตัวเองราวกับจะขอความช่วยเหลือ ก็พบอีกฝ่ายเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน
พวกเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกหลอกเข้าเสียแล้ว
หลินซีเหยียนที่ควรจะสลบไปก่อนหน้านั้นลุกขึ้นมานั่งช้า ๆ สีหน้าของนางยามนี้ช่างดูเยือกเย็นยิ่งนัก “พวกเจ้าเคยพบข้าเมื่อห้าปีก่อนงั้นหรือ? พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่?”
“หากว่าเจ้าปล่อยพวกเราไป พวกเราจะบอกเจ้าก็ได้” แต่ดูเหมือนว่าชายสองคนนี้จะไม่กลัวหลินซีเหยียนเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าทำอะไรพวกเขา เพราะเมื่อห้าปีก่อน นางเองก็ยังคุกเข่าอ้อนวอนให้พวกเขาปล่อยตัวนางไปอยู่เลย
ต่อให้พวกเขาถูกพิษอยู่ แม่นางน้อยที่ขี้ขลาดตรงหน้าผู้นี้ก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรหรอก
ทว่าไม่ทันไรก็มีมีดสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในกำมือนางแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หลินซีเหยียนที่ยังมีสีหน้านิ่งเรียบนั้นเอ่ยปากถามต่อ “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน”
“ก็วังหลวงอย่างไรล่ะแม่สาวน้อย จะบอกให้ว่าที่นี่คือเขตพระราชฐาน ถ้าเจ้าฆ่าพวกข้าที่นี่ก็จะผิดกฎหมาย”
ทั้งสองคนที่ยังไม่รู้สึกตัวว่าภัยน่ากลัวกำลังคืบคลานเข้ามาก็ยิ้มสรวลอย่างชั่วร้าย
“แล้วรู้หรือไม่ว่าพวกคนที่อยู่ข้างนอกเป็นคนแบบไหน?” หลินซีเหยียนพลันทาบคมมีดลงบนคอด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “วังหลวงน่ะเป็นที่ที่มีแต่พวกกินคนไม่คายกระดูกทั้งนั้น ต่อให้พวกเจ้าสองคนตายที่นี่ ก็เกรงว่าไม่มีใครรู้หรอก”
“ข้าล่ะกลัวจริงจริ๊ง” หนึ่งในพวกมันส่งเสียงล้อเลียนตอบกลับมา และนอกจากนี้ ต่อให้พวกมันจะขยับตัวไม่ได้ พวกมันก็อุตส่าห์ส่งสายตาแทะโลมไปยังเรือนร่างของนาง
“รีบเอายาถอนพิษมาให้พวกข้าเสียดี ๆ แล้วข้าจะทำให้เจ้ามีความสุข….” ก่อนที่ปากเน่า ๆ จะทันได้พูดจบ มีดก็ได้ปักเข้าไปในคอ ไม่มีแม้แต่เลือดพุ่งไหล่ทะลักแรงแต่อย่างใด
หลินซีเหยียนขยับมีดอย่างช้า ๆ โดยที่นางอาศัยความเข้าใจในร่างกายมนุษย์แล้วหลบเลี่ยงเส้นเลือดใหญ่ ไม่นานนักชิ้นเนื้อขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ก็หล่นตุบลงมา
เมื่อชายที่เพิ่งถูกเฉือนเนื้อไปคิดจะแหกปากร้องโหยหวน นางก็รีบเอาเข็มเงินมาสกัดจุดให้เป็นใบ้เอาไว้
หญิงสาวมองเลือดในมือตัวเองอย่างขยะแขยง ทว่าพลันต่อมาริมฝีปากแดงของนางก็ขยับยิ้มขึ้นทีละน้อย ในตอนนี้ นางดูเหมือนปีศาจที่มาจากนรกเป็นอย่างยิ่ง ปีศาจที่อันตรายและชอบหลอกลวง…
“ไม่ต้องกลัว ข้าก็แค่แยกชิ้นส่วนเนื้อออกจากเส้นเลือดเท่านั้น เจ้าไม่ตายหรอก” เสียงอันเย็นยะเยือกของนางทำให้พวกที่นอนราบอยู่กับพื้นขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“เอาล่ะ ตอนนี้ใครจะตอบคำถามของข้าได้บ้าง?”
ในเวลานี้ชายทั้งสองคนรู้สึกกลัวหลินซีเหยียนขึ้นมาจริง ๆ แล้ว พวกเขาต่างผงกหัวเร็วแรงเสียยิ่งกว่าไก่จิกข้าว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของตัวเอง
ณ ศาลาริมสระ
ขณะนี้หลินเสวี่ยเหยียนได้เริ่มการแสดงเป็นลำดับที่สองแล้ว กระนั้นเจียงหวายเย่ที่เอียนจากการเต้นระบำตั้งแต่ลำดับแรก ก็ผละตัวไสรถเข็นออกมา นอกจากนี้แล้วเขาก็ยังรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับเสี่ยวเหยียนเอ๋อ จึงคิดจะไปหาหญิงสาวที่ห้องเก็บตัวของนาง
เมื่อได้มาถึงหน้าห้องและเปิดประตูเข้าไปเท่านั้น ชายหนุ่มก็ได้กลิ่นเลือดรุนแรง
เขารีบลุกขึ้นจากรถเข็นด้วยความกลัว เมื่อเดินเข้าไปข้างในก็พบหลินซีเหยียนกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ ชายสองคนพร้อมกับเลือดที่อาบเต็มสองมือนาง
เจียงหวายเย่เห็นดังนั้นก็เร่งฝีเท้ารุดเข้าไปประชิดตัวหลินซีเหยียน พร้อมถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เกิดอะไรขึ้นหรือเสี่ยวเหยียนเอ๋อ?”
หลินซีเหยียนพลันคลี่ยิ้มให้เขา แต่เป็นรอยยิ้มที่ชวนหดหู่ยิ่งนัก “ที่ข้าต้องหายไปเมื่อ 5ปี ก่อน ที่แท้ก็เป็นฝีมือของฮูหยินอวี้กับหลินหัวเยว่นี่เอง”
ทันทีที่เจียงหวายเย่ได้ยิน เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าหลินซีเหยียนหมายถึงอะไร จากนั้นจึงมองไปยังชายสองคนที่กำลังสั่นกลัวด้วยแววตามุ่งมาดหมายสังหาร เสียงอันเย็นชาแข็งกร้าวสั่งคนในเงามืดทันที “อันอี้ พาตัวพวกมันไป แล้วดูแลพวกมันให้ดี ๆ อย่าปล่อยให้ตายง่าย ๆ”
อันอี้พลันออกมาจากความมืด แล้วลากคอชายสองคนไปและหายไปจากห้องนั้น
“ฮูหยินอวี้ต้องการจะซ้ำรอยอดีตและทำลายชื่อเสียงของข้าต่อหน้าทุกคน!” หลินซีเหยียนโกรธจนไหล่สั่น ตาแดงก่ำ
เจียงหวายเย่จึงเดินเข้ามาสวมกอดนางเพื่อปลอบประโลม กระนั้นในใจของเขาก็เคียดแค้นฮูหยินอวี้ไม่น้อยไปกว่ากัน
หลังจากที่อยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่ายไปพักหนึ่ง หลินซีเหยียนก็ใจเย็นลง
“เราจะสำเร็จโทษฮูหยินอวี้เอง” เสียงอันแหบพร่าของเจียงหวายเย่ดังเข้ามาในหูนาง
ทว่าฝ่ายหญิงสาวกลับตอบกลับเสียงเย็น “ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามายุ่ง ข้าจะลงมือเอง ข้าจะให้นางต้องชดใช้ไปทีละอย่าง”
เจียงหวายเย่ไม่ได้เอ่ยแย้งสิ่งใด แต่เมื่อได้มองเห็นแขนเสื้อกับมือที่เปื้อนเลือดของอีกฝ่ายแล้ว ก็คิดได้ว่าการแสดงลำดับที่สองซึ่งอีกไม่นานก็ใกล้จะจบแล้วนั้น สภาพของหลินซีเหยียนในเวลานี้ไม่อาจไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนได้แน่
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วหันไปพูดกับเงามืด “อันเอ้อไปที่ตำหนักจาวเหรินแล้วไปเอาชุดเต้นรำปลาหลี่อวี๋ (ปลาคาร์ฟ) มา”
ตำหนักจาวเหรินที่ว่านั้นเป็นตำหนักร้างที่นางสนมซึ่งเป็นมารดาของเจียงหวายเย่อาศัยอยู่มาก่อน
เจียงหวายเย่จูงมืองหลินซีเหยียนแล้วบอกให้นางนั่งลงที่โต๊ะ จากนั้นจึงเทชาลงไปในผ้าเช็ดมือ จากนั้นก็เช็ดเอาเลือดสกปรกออกมาจากมือของหลินซีเหยียนอย่างช้า ๆ
เลือดพวกนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากให้มือเสี่ยวเหยียนเอ๋อต้องมาอดเปื้อนเลือดชั่ว ๆ พวกนั้นเลย
เมื่อชุดมาถึง การแสดงของหลินเสวี่ยเหยียนก็จบลงพอดี เจียงหวายเย่จึงจำใจมอบชุดนั้นให้หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่อาลัยอาวรณ์ “ชุดนี้เป็นชุดของท่านแม่ของเปิ่นหวาง และในเวลานี้เปิ่นหวางขอมอบชุดนี้ให้กับเจ้า”
ณ ศาลาริมสระ
หลังจากที่การแสดงของหลินเสวี่ยเหยียนจบลงไปแล้ว แต่ผ่านไปพักใหญ่ ๆ ก็ยังไม่เห็นการแสดงของหลินซีเหยียนเสียที สีหน้าของผู้คนจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเกิดการต่อว่าขึ้น “เหลือแค่การแสดงของคุณหนูสามเท่านั้นสินะ?”
“ใช่ เหลือของนางนั่นแหละ แต่ก็ไม่รู้นะว่าคนอย่างนางจะเอาอะไรมาแสดง คนไร้ความสามารถเช่นนั้นคงไม่มีอะไรให้พวกเราดูหรอกกระมัง?”
“ต่อให้นางออกมาขึ้นเวทีตอนนี้ก็ไม่มีใครดูนางหรอก”
คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากคนในศาลานั้น ทำให้สีหน้าของหลีเจี้ยนเฉินมืดครึ้มขึ้นมา เขากระแอมแรงก่อนจะเอ่ยขัดพวกคนเหล่านั้น
“คนของรัฐเจียงน่ะทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความสามารถมากมายอะไร แต่กลับเก่งเรื่องนินทาคนอื่นเสียเหลือเกินนะ” คำพูดทีเล่นทีจริงนี้เป็นเสมือนการตบหน้าฉาดใหญ่ คนที่ร้อนตัวก็พากันโกรธหน้าเขียว และหนึ่งในนั้นเองก็ได้ผุดลุกขึ้น เป็นชายหนุ่มสวมชุดผ้าปักลายและรองเท้าประณีต
“ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นฮ่องเต้ของรัฐหลี แต่ท่านจะมาดูถูกคนจากรัฐเจียงของเราเช่นนี้ไม่ได้นะ”
“ใช่ๆ คุณชายสวี่พูดถูกแล้ว”
คำพูดของสวี่จวินชูนั้นเหมือนจะมีน้ำหนักในบรรดาหนุ่มสาวพอสมควร ทันทีที่เขาเปิดปากขึ้นมาก็สามารถทำให้ผู้คนรอบ ๆ เห็นดีเห็นงามด้วยทันที ทำให้เขามีสีหน้าเหมือนผู้มีชัย
หลีเจี้ยนเฉินชำเลืองมองไปยังสวี่จวินชูอย่างดูแคลน จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “คุณชายท่านนี้ช่างมีความเป็นผู้นำเสียจริง ๆ แต่เจ้ากำลังโต้แย้งฮ่องเต้อยู่นะ”
สวี่จวินชูพลันคิ้วขมวดแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ฮ่องเต้หลีพูดดูถูกพวกเราได้ แต่พวกเรากลับพูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
“เงียบ!”
เมื่อเห็นว่าคำพูดของขุนนางหนุ่มผู้นั้นชักจะไม่ดีขึ้นมาแล้ว ฮ่องเต้เจียงจึงเอ่ยตัดบท “ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันอีกแล้ว”
จากนั้นเขาจึงหันไปพูดกับฮ่องเต้หลี “ฮ่องเต้หลี ทำไมท่านกับข้าไม่ส่งคนสักสามคนมาประลองกันเสียหน่อยล่ะ ถ้าหากรัฐเจียงของเราชนะ ขอให้ท่านได้โปรดถอนคำพูดที่ท่านพูดเมื่อสักครู่ด้วย”
“ย่อมได้”
หลีเจี้ยนเฉินเอ่ยปากยอมรับคำขอนี้ และในขณะที่เขากำลังเลือกแม่ทัพอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้มาปรากฏตัวบนเวทีในชุดสีแดง
เป็นชุดที่มีแขนเสื้อสีแดงสด และตั้งแต่คอเสื้อจนไปถึงปลายกระโปรงที่บานเป็นหางปลา ก็ล้วนแต่ทำมาจากผ้าไหมที่มีสีแดงดั่งเลือดสดใหม่ ด้วยผิวขาวราวหิมะของหลินซีเหยียน กอปรกับเครื่องสำอางบนใบหน้าที่ดูงดงามแล้ว ทำให้ผู้คนต่างพากันต้องมนตร์ไปในชั่วขณะ