หมอผีแม่ลูกติด - ตอนที่ 151 มองหาหลักประกัน
บทที่ 151
มองหาหลักประกัน
“ฮ่องเต้เจียงน่าสงสัยจริงๆนั่นแหละ เพื่อที่จะรวมอำนาจในพระราชสำนักเอาไว้ แน่นอนว่าตัวตนของกองทัพเกราะดำก็ไม่ควรมีอยู่”
เสียงที่ทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความประชดประชันราวกับมองทะลุทุกอย่าง อย่างไรเสียมีใครบ้างที่ไม่อยากได้ตำแหน่งสูงๆและมีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือของตัวเอง?
แต่ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ในสายตาของเจียงหวายเย่แล้วการอยู่ในโลกของคนธรรมดามีเลือดมีเนื้อนั้นยังดีเสียกว่ายืนอยู่บนที่สูงๆเสียอีก
“ในเวลานี้ไม่ใช่เวลามาทำตัวตามสบายแล้ว ข้าจะคอยติดตามเยี่ยจุนเจี๋ยแล้วคอยช่วยเหลือเขา”
เพราะเรื่องของการปราบกองโจรในอำเภอจ้าวนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากแล้วยังข้องเกี่ยวกับความวุ่นวายในพระราชสำนักอีก หลินซีเหยียนจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
“ที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อคิดก็เข้าท่าอยู่”
เจียงหวายเย่ไม่คิดห้ามหลินซีเหยียน อย่างไรเสีย เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นก็เป็นคนประเภทที่หากตัดสินใจทำอะไรแล้วก็จะต้องทำให้สำเร็จ “แล้วเจ้าคิดจะตามเยี่ยจุนเจี๋ยด้วยตัวตนไหนล่ะ?”
“หลินอวิ๋นเซวียน” หลินซีเหยียนก็ได้กะพริบตาให้ เจียงหวายเย่ หลังจากที่ตัดสินได้แล้ว ทั้งคู่ก็ได้เดินทางกลับไปยังบ้านด้วยกัน
จากตอนแรกเป็นบ้านที่เงียบสงบ ในเวลานี้ก็มีเสียงเอะอะขึ้นมาเพราะเทียนเอ๋อ
“ท่านแม่ ท่านออกไปไม่ยอมพาข้าไปด้วยตลอดเลย” เทียนเอ๋อที่รออยู่ด้วยน้ำตาที่เอ่อเต็มดวงตาของเขาแล้วพูดบ่นอย่างไม่พอใจ
กองโจรข้างนอกนั้นอันตรายมาก และเทียนเอ๋อก็ยังเล็กไม่รู้ว่าอันตรายเป็นอย่างไร ดังนั้นหลินซีเหยียนจึงไม่กล้าพาเขาไปกับนางด้วยหรือปล่อยให้เขาออกไปปั่นป่วนข้างนอก “เอาเป็นว่าเมื่อใดที่เรื่องนี้จบลงแล้ว แม่จะพาเจ้าออกไปกินไปเที่ยวจนกว่าเจ้าจะพอใจเลยก็แล้วกัน ตกลงไหม?”
จากตอนแรกที่มีสีหน้าไม่พอใจ เมื่อได้ยินคำว่ากินเที่ยว จากที่มืดหม่นก็ได้สดใสขึ้นมาทันที เทียนเอ๋อก็ได้ตอบอย่างรวดเร็ว “ก็ได้ขอรับ เทียนเอ๋อจะเชื่อฟังขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้ลูบหัวน้อยๆของเทียนเอ๋อ แล้วจากนั้นก็ได้กลับเข้าห้องไปเตรียมตัว เปลี่ยนใบหน้าของนางแล้วแต่งตัวเป็นหลินอวิ๋นเซวียนเพื่อไปพบกับเยี่ยจุนเจี๋ย
ในขณะที่นางเตรียมตัวที่จะออกไป เจียงหวายเย่ก็ได้มาหา เจียงหวายเย่นั่งลงตรงหน้ากระจกแต่งหน้าแล้วกล่าว “เปิ่นหวางจะไปกับเจ้าด้วย”
“องค์ชายยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ ข้าไปคนเดียวได้” หลินซีเหยียนก็ได้ปฏิเสธทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมาก อย่างไรก็ดีร่างกายของเจียงหวายเย่นั้นในฐานะหมอแล้ว นางรู้ดีว่า เจียงหวายเย่นั้นจะต้องพักผ่อนให้มากๆ
เจียงหวายเย่ก็ได้คิ้วขมวดขึ้นและอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมา แล้วสีหน้าของเขาก็ได้มืดดำขึ้นมา ถึงแม้ว่าคนที่เคาะประตูจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เจียงหวายเย่ก็พอจะเดาได้ในใจของเขา
เขาจึงได้บิดริมฝีปากแล้วมองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าวพร้อมกับยิ้ม “ดูเหมือนว่าเปิ่นหวางจะไปกับเจ้าไปไม่ได้แล้ว เสี่ยวเหยียนเจ้าจะต้องระวังให้มากๆนะ”
หลังจากนั้นเจียงหวายเย่กับอันอี้ก็ได้ออกไปด้วยกัน ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ณ ห้องทำงานของบ้านนั้น เจียงหวายเย่นั่งลงที่เก้าอี้ สีหน้าของเขานั้นดูมืดมนและน่ากลัวมาก หลังจากที่อ่านจดหมายอยู่เป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้วบรรยากาศในห้องนั้นก็ได้หนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่อันอี้กำลังคิดว่าองค์ชายคงไม่พูดอะไรออกมา แล้วน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกเช่นเคยของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังขึ้นมาในหูของเขา “ไปเตรียมตัวให้พร้อมเราจะกลับเมืองหลวงวันนี้”
ในขณะที่เขากำลังก้มหัวรับคำสั่งแล้วกำลังจะออกไป เจียงหวายเย่ก็ได้ออกคำสั่งเพิ่ม “แล้วสั่งให้หน่วยจากหอพันกลคอยปกป้องหลินซีเหยียน”
แล้วหลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่ก็ได้แยกทางกันสักพัก ในเวลานี้ที่เมืองหลวงก็ได้มีเหตุการณ์ใหญ่ราวกับแผ่นดินไหวเกิดขึ้น เมื่อองค์ชายสองเจียงไป๋ฮ่าวนั้นได้กลายมาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้แล้ว
เรื่องนี้และเรื่องที่องค์ชายสองมาปรากฏตัวที่ภูเขาอูอวิ๋นนั้น เจียงหวายเย่นั้นรู้อยู่แล้วว่าต้องมีอะไรแปลกๆ
เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเจียงหวายเย่ที่เป็นเทพสงครามนั้น ได้ป่วยหนักมากจึงมีน้อยคนนักที่จะมารบกวน แต่เมื่อวานนี้องค์ชายสองก็ได้มาหา
ถึงแม้ว่าแผนร้ายของเด็กๆเช่นนี้จะไม่มีอันตรายอะไรสำหรับเขา แต่เจียงหวายเย่ก็ได้ตัดสินใจที่จะมาดูว่าองค์ชายสองนั้นมีความคิดจะทำอะไรกับเขากันแน่?
ทันทีที่เจียงหวายเย่ได้กลับมาถึงได้ไม่ทันไร องค์ชายสองก็ได้มาหา ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาไม่อยู่นี้เป็นความลับสุดยอด เจียงหวายเย่ก็คงสงสัยว่าเขากำลังจับตาดูเขาอยู่เป็นแน่
ณ ศาลาริมน้ำของพระราชวังรัตติกาล เจียงหวายเย่ได้สวมหน้ากากสีขาวที่ดูอบอุ่นไว้บนใบหน้า และนั่งรถเข็นที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี แล้วมองอย่างสงบไปที่องค์ชายสองที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยคิ้วและดวงตาที่ดุดัน
“ไม่ทราบว่าท่านอาเป็นอย่างไรบ้าง?” องค์ชายสองก็ได้มองกลับไปโดยไม่สนใจสายตาของเจียงหวายเย่
ริมฝีปากบางๆของเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวอย่างคนไร้เรี่ยวแรง “เปิ่นหวางนั้นยังคงแข็งแรงดี ไม่ทราบว่าที่องค์ชายสองมาหาเปิ่นหวางในวันนี้มีธุระอันใดอย่างนั้นเหรอ?”
“ฟังจากที่ท่านอากล่าว เหมือนกับองค์ชายจะมาหาท่านอาไม่ได้ถ้าไม่มีธุระอะไรอย่างนั้นแหละ?” องค์ชายสองก็ได้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตัวเพียงพอนมาทักทายตรุษจีนกับไก่ มันจะไม่มีอะไรได้อย่างไร?
ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้ปรากฏแววตาที่มืดดำและเย็นชาออกมา หลานชายของเขามาหาเขาทั้งที จะยอมเล่นด้วยกับเขาหน่อยก็ได้ “องค์ชายสองมาหาเปิ่นหวางเช่นนี้ ตัวเราช่างรู้สึกยินดีจริงๆ”
“ข้าขอถามอะไรท่านอาหน่อย และอยากให้ท่านอาตอบมาตามตรงขอรับ” หลังจากที่พูดคุยกันไปได้สักพัก องค์ชายสองก็ได้เริ่มเผยหางจิ้งจอกออกมา
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวแล้วมองด้วยสีหน้าคนป่วย “องค์ชายสองว่ามาได้เลย”
“ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ท่านอาโปรดคนไหนมากที่สุดเหรอขอรับ?”
คำพูดเหล่านี้เหมือนไม่มีอะไร แต่เจียงหวายเย่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าองค์ชายสองนั้นหวังให้สนับสนุนเขา เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสองนั้นไม่ธรรมดาอยู่ แต่ถึงเขาจะมีความสามารถมาก แต่ เจียงหวายเย่ก็ไม่คิดจะสนับสนุนเขา อย่างไรเสียคนเช่นนี้มักจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองสำเร็จตามเป้าและจะแว้งกัดเขาจากข้างหลังอย่างแน่นอน
เจียงหวายเย่ก็ได้แสร้งทำเป็นเหนื่อยอ่อน แล้วจากนั้นก็ได้บิดริมฝีปากของเขาทำเป็นยุ่งยากใจแล้วตอบ “องค์ชายทุกคนล้วนสุดยอดด้วยกันทั้งนั้น”
ในขณะที่องค์ชายสองกำลังคิดที่จะถามต่อนั้นเอง เขาก็ได้ไอออกหนสองหน “เปิ่นหวางรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้ว เปิ่นหวางคงจะอยู่กับองค์ชายสองต่อไม่ได้แล้ว”
องค์ชายสองก็ได้จ้องไปที่หลังของเจียงหวายเย่อย่างตั้งใจและปรากฏแววตาที่โหดร้ายในดวงตาของเขา ดูเหมือน องค์ชายรัตติกาลเลือกที่จะเฝ้าดูจากวงนอก จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้แย่สำหรับเขานัก อย่างน้อยถึงจะไม่ได้เป็นพวกเดียวกันแต่ก็ยังดีกว่าเป็นศัตรู
อย่างไรก็ดีจากการพบปะไร้ความหมายครั้งนี้ ก็ได้ตกอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว และมีแววตาที่ราวกับเป็นการเตือนออกมา
องค์ชายสี่เจียงซ่างเฉิน ก็ได้กระทืบพื้นแล้วเดินไปมาทั่วตำหนักของเขา เขานั้นไม่อาจปล่อยให้องค์ชายสองนำหน้าแบบนี้ไปไม่ได้ เพราะหากองค์ชายสองได้ขึ้นบัลลังก์เมื่อไร เขาคงได้เป็นคนแรกที่ถูกทำลายเป็นแน่แท้
“ไม่ต้องกังวลขอรับองค์ชายสี่ องค์ชายรัตติกาลนั้นเป็นคนที่ระวังตัวมากอยู่แล้ว เขาไม่ตัดสินใจเลือกข้างโดยเร็วแน่ขอรับ” ข้ารับใช้ข้างกายขององค์ชายสี่ก็ได้ปลอบเขา
องค์ชายสี่ก็รู้สึกได้ว่าที่เขากล่าวมานั้นก็มีเหตุผล ทำให้เขาสงบใจลงมาได้บ้าง แล้วจากนั้นก็ได้นึกถึงคุณหนูห้าบ้าน มหาเสนาบดีขึ้นมา
ในช่วงนี้องค์ชายสี่นั้นไม่ได้ทำอะไรมากนัก เขานั้นพยายามที่จะเอาใจคุณหนูห้า เพื่อที่จะให้นางมาคอยช่วยเขาและเป็นที่ปรึกษาให้ ดังนั้นเขาจึงได้ส่งคนออกไปเพื่อไปพบกับคุณหนูห้า
ณ จวนมหาเสนาบดี มหาเสนาบดีหลินเองก็เป็นถึงคนใหญ่คนโต เขาย่อมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ เขาจึงได้ถามหลินรั่วจิ่งเพื่อขอคำแนะนำจากนาง
“ท่านพ่อขออย่าได้เป็นกังวลไป รั่วจิ่งนั้นหาใช่เด็กที่ไม่รู้ประสีประสาอีกต่อไปแล้ว”
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่ลูกสาวของเขาด้วยสีหน้าที่ยินดี และคิดว่าหลินรั่วจริงนั้นคือคนที่สวรรค์เมตตาส่งนางมาคอยช่วยเหลือเขา