หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 568 ความแค้นเคืองในอดีต
“ประธานอี้พูดมีเหตุผล สำนักฮวงจุ้ยนี้จะมีประสิทธิภาพเหมือนกับที่จั่วเจียจวิ้นพูดไหม ก็ยังไม่รู้ได้ครับ”
หนึ่งคนที่ติดตามมานั้นก็พูดตามน้ำตามคนที่มาก่อนหน้า แล้วก็หัวเราะขึ้นมา แสดงท่าทีที่น่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังคงกลิ่นอายแห่งการปะทะกันออกมาอีกด้วย
“เหอะๆ…”
จั่วเจียจวิ้นกลับไม่ได้โมโห และยังคงทำสีหน้าปกติยิ้ม “พวกเราทำเกี่ยวกับฮวงจุ้ย สำนักฮวงจุ้ยนี้จะมีประสิทธิผลหรือไม่นั้น ไม่ใช่คุณกับผมที่จะพูดได้ แต่สวนสนุกริมทะเลที่ถูกทิ้งร้างมานาน กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งแล้ว…”
“นั้นคือ น้องจั่วเธอออกมือ แน่นอนจึงสัมฤทธิ์ผลทันที”
ผู้นำคนนั้นทำเสียงฮึดฮัดอย่างไร้สีหน้า ดูเหมือนไม่เต็มใจที่จะพูดคุยเรื่องนี้ แล้ววจึงวาดสายตามองไปที่โก่วซินเจียกับเยี่ยเทียน พลางถามว่า “น้องจั่ว สองคนนี้คือ?”
การมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ โก่วซินเจียใส่ชุดนักพรตเฉียนคุณ ส่วนเยี่ยเทียนกลับใส่ชุดสีขาวเหมือนพร้อมฝึกวรยุทธหรือโจมตี ซึ่งแตกต่างจากคนภายในงานเลี้ยง คนในงานจึงสามารถดูออกถึงฐานะของทั้งสองคน
“พวกเขาสองคนคือคนในสำนักเดียวกันกับฉัน”
อีกฝ่ายถามขึ้น จั่วเจียจวิ้นจึงตอบอย่างไม่ค่อยใยดี และได้แต่พูดง่ายๆ หนึ่งประโยค โดยไม่พูดลงลึกต่อ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกัน
“อ้อ? น้องจั่วยังมีคนสำนักเดียวกันอยู่อีกหรือ? ดี สำนักยิ่งใหญ่ก็ควรที่จะเจริญรุ่งเรืองแล้วสินะ พวกเราไว้คุยกันทีหลัง!”
คนนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง และยกมือคำนับเยี่ยเทียนกับโก่วซินเจีย จากนั้นจึงเดินไปตรงที่มีคนชุมนุมกัน
“ศิษย์พี่รอง คนนี้เป็นใคร? วรยุทธของเขาแค่นี้ ยังกล้าอวดดีขนาดนี้เชียว? แกว่งเท้าเข้าหาเสี้ยนจริงๆ!”
หลังจากรอให้คนนั้นเดินออกไป เยี่ยเทียนจึงทำเสียงฮึดฮัด การมาฮ่องกงครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับคนสำนักฉีเหมินจริงๆ ถึงสองคน แต่ว่าผลลัพธ์กลับทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง
จากการบรรยายของพรตเฒ่าหลี่ชั่นหยวน สำนักฉีเหมินได้ผ่านประสบการณ์ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ก่อนถึงช่วงปลดแอก
ถึงแม้ตอนนั้นสำนักฉีเหมินจะสูญเสียวิชาอยู่มาก แต่ผู้มีฝีมือพลังแฝงกลับมีอยู่ทุกที่ทุกแห่งหน มีคนที่บรรลุขั้นหลอมปราณอยู่หลายคน มักจะมีคนจัดงานประชุมใหญ่ของสำนักฉีเหมิน เพื่อทำการแลกเปลี่ยนวรยุทธซึ่งกันและกัน
แต่วันนี้เมื่อได้เจอเถาซานอี้กับคนแซ่อี้นี้ เยี่ยเทียนก็อดผิดหวังอย่างมากไม่ได้ แค่อาศัยวรยุทธและฝีมือของทั้งสองคน
ก็สามารถถูกเรียกเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์แล้ว รู้สึกว่าน่าขันจนฟันร่วงจริงๆ
“ศิษย์พี่รอง พี่กับเขามีอะไรไม่ลงรอยกันหรือเปล่า?”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็เอ่ยปากว่า “ฉันดูจากจังหวะการก้าวเดินของเขา น่าจะมาจากสำนักชีซิง ของมณฑลกวางตุ้งและกว่างซี”
สำนักฮวงจุ้ยในประเทศจีนมีมากมาย แต่ถ้าแบ่งตามภูมิภาค ที่ราบกลางมณฑลเจียงหนานกับมณฑลเจียงซีก็มีสำนักอีกประเภทหนึ่ง ก่อนการปลดปล่อยได้เคารพสำนักเสื้อป่านเป็นใหญ่
แต่ว่ามณฑลกวางตุ้งและกว่างซีเขตฝูเจี้ยน กลับมีสำนักฮวงจุ้ยอื่นๆ อีกบางส่วน แต่ว่าคนของสำนักชีซิงมีจำนวนคนมากกว่า จึงมีอิทธิพลมากที่สุด
ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น โก่วซินเจียอยากร่วมมือสำนักกชีซิงเพื่อทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นด้วย แต่กลับถูกพวกเขาปฏิเสธ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันเล็กน้อย
แต่ว่าสำนักชีซิงไม่ได้ยอมจำนนให้กับคนญี่ปุ่น โก่วซินเจียก็ไม่ได้บังคับอีกฝ่าย ต่อมาตอนหลังโก่วซินเจียได้ทำการศึกษาวิชาของพวกเขาอย่างจริงจัง ดังนั้นเพียงแค่มองก็รู้แล้วมาคนเมื่อครู่มาจากไหน
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่พูดถูกแล้ว เขามาจากสำนักชีซิง”
โก่วซินเจียพยักหน้า “คนนี้ชื่อว่าอี้เวินเม่า มาฮ่องกงก่อนหน้าฉันห้าปี สำนักชีซิงไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการทำนายดวงชะตา แต่เรื่องฮวงจุ้ยดูชัยภูมิของภูเขาหรือสุสานนั้นมีหลายวิธี ไม่ใช่คนทางเดียวกับฉัน เมื่อสิบปีก่อน ฉันเคยมีปัญหากับเขา…”
ที่แท้ ที่อี้เวินเม่าจะมาถึงฮ่องกงก่อนโก่วซินเจีย ก็พอมีชื่อเสียงเล็กน้อยในฮ่องกงแล้ว พวกครอบครัวมหาเศรษฐีในฮ่องกงมักก็จะเชิญเขาไปดูฮวงจุ้ยของภูเขาหรือสุสานอยู่บ่อยครั้ง
แต่หลังจากที่โก่วซินเจียมาถึงฮ่องกง คนสวนใหญ่มักจะใช้สำนักเสื้อป่านในการทำนาย เพื่อช่วยทำนายดวงชะตาให้กับพวกมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และไม่ขัดแย้งกับธุรกิจของอี้เวินเม่า ทำให้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดี
แต่เมื่อช่วงสิบปีก่อน สำนักฮวงจุ้ยแต่ละสำนักในฮ่องกงได้จัดงานเลี้ยงขึ้นมาหนึ่งครั้ง โดยตัดสินใจที่จะจัดตั้งงานสัมนาฮวงจุ้ยในเกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นสมาคมในหมู่ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นทางการ
เกี่ยวกับอาชีพของฮวงจุ้ยแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดี กฎระเบียบต่างๆ ภายในสมาคมถูกร่างออกมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมันถึงเวลาที่จะเลือกประธานของสมาคม กลับเกิดความขัดแย้งขึ้น
ตอนนั้นอี้เวินเม่ากับจั่วเจียจวิ้น มีชื่อเสียงในฮ่องกงพอๆ กัน และแต่ละคนก็มีเพื่อนร่วมงานที่ดี ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทกินกันไม่ลง ฝ่ายหนึ่งเลือกอี้เวินเม่า ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เลือกจั่วเจียจวิ้น
จั่วเจียจวิ้นไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องผลประโยชน์สักเท่าไร แต่กับชื่อเสียงของการแต่งตั้งประธานสมาคมครั้งนี้ เขามีความสนใจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่อยากหลีกทางให้
สำนักฉีเหมินในยุทธภพ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นยุทธภพอยู่ดี เมื่อเกิดปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องสู้กันด้วยวิชาและนรลักษณ์ศาสตร์เพื่อแยกระดับความสูงต่ำของแต่ละคน
ภายใต้การโห่ร้องของคนเหล่านี้ จั่วเจียจวิ้นกับอี้เวินเม่าจึงตัดสินใจประลองฝีมือสักครั้ง ถึงตอนนั้นเก้าอี้ของประธานสมาคมจะตกเป็นของใครจะได้ไม่มีใครมาว่ากันอีก
ครั้งนั้นจั่วเจียจวิ้นได้เสียเปรียบต่ออาจารย์ของชาญทองทวน แต่ว่าโชคดีสามารถได้รับและเข้าถึงขั้นพลังแฝง เพื่อแก้แค้นหมอผีคนไทย เขาจึงได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้จากทั่วทุกสารทิศ
ถึงแม้ว่าอานุภาพของวิชาพวกนี้ไม่ได้มากมายอะไร แต่เมื่อใช้ออกมาอย่างกะทันหัน ก็ยังทำให้อี้เวินเม่าที่ไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้สู้ไม่ไหว ทำให้ชนะการต่อสู้ในครั้งนี้
และไม่ต้องสงสัยว่า ประธานสมาคมฮวงจุ้ยคนแรก ก็ตกเป็นของจั่วเจียจวิ้นเป็นธรรมดา และเขาก็ยังควบตำแหน่งอาจารย์ฮวงจุ้ยคนแรกของฮ่องกงอีกด้วย จั่วเจียจวิ้นในตอนนั้น ก็เพิ่งจะมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา
สุภาษิตกล่าวไว้ว่าชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร เมื่อเป็นเช่นนี้ ระหว่างจั่วเจียนจวิ้นกับอี้เวินเม่า จึงผูกความแค้นที่ยากจะคลายลงได้ ตอนนั้นอี้เวินเม่าจึงออกจากฮ่องกงไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
เมื่อฟังถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนจึงขัดคำพูดของจั่วเจียจวิ้น และถามด้วยความแปลกใจ “ศิษย์พี่ ในเมื่อเขาก็จากไปแล้ว แล้วทำไมถึงกลับมาอีก? อีกทั้งยังได้เป็นประธานอะไรนั่นด้วย หรือว่าตอนหลังพี่ได้แพ้ให้กับเขาใช่ไหมครับ?”
หลังจากเยี่ยเทียนมาถึงฮ่องกงคนที่เขาได้ทำความรู้จัก ล้วนมีแต่คนที่เคารพจั่วเจียจวิ้น ถ้าจะพูดว่าเขาต่อสู้แพ้ให้กับอี้เวินเม่า ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันแบบนี้?
“หึ!” จั่วเจียจวิ้นทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา พูดว่า “อาศัยแค่วรยุทธของเขา ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก แต่เขาได้เชิญอาจารย์ของเขามา…”
อี้เวินเม่ากลับไปที่ฮ่องกงอีกครั้ง พร้อมกับพาชายชราอายุเจ็ดสิบปีคนหนึ่งมาด้วย แล้วก็มุ่งหน้ามาหาจั่วเจียจวิ้นทันที บอกว่าต้องการที่จะประลองวรยุทธกับเขาเสียหน่อย
ในยุทธภพสมัยโบราณ คนที่ยากต่อกรมากที่สุดมีอยู่สามประเภท คือ อย่างแรกคือเด็ก อย่างที่สองคือผู้หญิง และยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง ก็คือคนแก่ ในคนสามประเภทนี้ มีแนวโน้มที่จะเจอคนที่แปลกประหลาดที่สุด
แม้ว่าจั่วเจียจวิ้นจะเข้าใจเหตุผลนี้ แต่เมื่อคนอื่นมาหาถึงที่ เขาจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องถอย ตอนนั้นจึงยอมรับคำขอของชายชรา
แต่เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น จั่วเจียจวิ้นก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล พลังลมปราณของอีกคู่ต่อสู้มีมากเกินไป ไม่เหมือนกับคนแก่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าเลย วรยุทธของเขาสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
จั่วเจียจวิ้นก็เป็นคนที่ฉลาดมาก ตอนนั้นจึงลดการวางมาดและเอ่ยปากว่ายอมแพ้ไปโดยตรง ชายชราคนนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ แค่ขอให้เขาลาออกจากตำแหน่งประธาน
วันที่สามหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น จั่วเจียจวิ้นก็จัดการประชุมภายในสมาคม ลาออกจากตำแหน่งประธานและลาออกจากสมาคม
ส่วนอี้เวินเม่าที่เพิ่งกลับมา ก็ไม่สามารถรับตำแหน่งท่านประธานได้ ดังนั้นแม้ว่าผู้คนในสมาคมจะมีการคาดเดามากมาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นลดลง
หลังจากนั้นอี้เวินเม่าใช้วีการต่างๆ ในที่สุดก็ดำรงตำแหน่งประธานของสมาคมในหมู่ประชาชนทั่วไปแห่งนี้เมื่อแปดปีที่แล้ว อีกทั้งบูรณาการกฎของสายงาน แต่ก็ทำได้สมจริงสมจังกับบทบาทมาก
หลังจากสอบถามมาหลายปี จั่วเจียจวิ้นก็เข้าใจถึงฐานะของชายชราคนนั้น เขาเป็นหัวหน้าคนปัจจุบันของสำนัก ซิงในมณฑลกวางตุ้งและกว่างซี และยังเป็นอาจารย์ของอี้เวินเม่า
การที่คนอื่นชนะโดยไม่ต้องต่อสู้นั้น ทำให้ในใจของจั่วเจียจวิ้นรู้สึกอับอายมาโดยตลอด
ดังนั้นต่อให้หลังจากได้เจอศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคน เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ถ้าเกิดว่าวันนี้ไม่ได้เจออี้เวินเม่าโดยบังเอิญ จั่วเจียจวิ้นก็ยังคงเก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้ในใจของเขา
ความจริงวันนี้จั่วเจียจวิ้นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องมาร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ ที่จริงแล้วก็เหมือนเป็นการเพิ่มอำนาจให้ตัวเองด้วย เขาไม่กลัวอี้เวินเม่า แต่ถ้าต้องเจอกับตาแก่นั่น ในใจของจั่วเจียจวิ้นยังรู้สึกขวัญอ่อนนิดหน่อย
“ตั้งแต่เด็กจนแก่ สำนักชีซิงก็ยังคงไม่ได้มีความก้าวหน้าอะไรมาก!”
โก่วซินเจียทำเสียงฮึดฮัดเย็นชาและถามว่า “ศิษย์น้องจั่ว อาจารย์ของเขาชื่อว่าอะไร เมื่อสิบปีก่อนมีวรยุทธแบบไหน?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์ของเขาชื่อว่าไช่หยางชิว เป็นหัวหน้าสำหนักชีซิงคนที่สามสิบแปด
เมื่อสิบปีที่ก่อนเขาน่าจะมีวรยุทธขั้นพลังแฝงสูงสุดแล้ว ในตอนนั้นฉันเพิ่งขั้นพลังแฝงได้ไม่นาน จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาได้บรรลุถึงขั้นหลอมปราณแล้วหรือยัง?”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ถือว่าเป็นพี่น้องที่สนิทกันจริงๆ จั่วเจียจวิ้นจึงไม่กลัวที่จะเผยจุด่อนของตัวเอง ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมาทั้งหมด
ในความเป็นจริงหลังจากที่เขาเข้าสู่การฝึกฝนพลังชี่ให้เปลี่ยนเป็นเสิน ก็ยังเคยคิดอยากจะไปประมือกับไช่หยางชิวอีกครั้ง
เพียงแต่ไช่หยางชิวกลายเป็นคนแก่อายุแปดสิบปีแล้ว จึงไม่รู้ว่าว่าวรยุทธเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตหรือไม่ ถ้าหากอีกฝ่ายสามารถเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตได้ อย่างนั้นตัวเองก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกดูถูกอีกครั้ง
อีกทั้งสภาพจิตใจของจั่วเจียจวิ้นก็สูงขึ้น จึงไม่สนใจเกี่ยวกับตำแหน่งประธานอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่คิดกระทำการใดๆ
“ไช่หยางชิวชื่อนี้ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน เกรงว่าน่าจะเป็นลูกหลานของสำนักชีซิง”
โก่วซินเจียส่ายหน้าและพูด “ศิษย์น้องรอง นายคิดว่าการหลอมปราณสู่จิตเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยหรือ? ตอนนั้นสำนักฉีเหมินก็มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้ อีกทั้งสำนักชีซิงอย่างเขา จึงยิ่งไม่มี!”
ผู้อาวุโสของสำนักฉีเหมินนับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนั้นมีเพียงยอดฝีมือลัทธิเต๋ากับปราชญ์ชาวพุทธบางคน ที่จะฝึกการหลอมปราณสู่จิตได้ ก็เหมือนกับบุคคลในตำนานอย่างจางซันเฟิงสมัยรางวงศ์หมิงกับสมัยปัจจุบันหลีซูเหวินเจ้าแห่งทวน
ดังนั้นจึงทำให้คนคนที่ฝึกเต๋าเข้าใจว่า ขั้นของการหลอมปราณสู่จิตเป็นเพียงตำนาน เพราะว่าไม่มีตัวอย่างของคนที่ฝึกถึงการหลอมปราณสู่จิตที่มีตัวตนอยู่อย่างแท้จริง
โก่วซินเจีนอยู่อย่างสันโดษในภูเขาเป็นเวลาสี่ห้าสิบปี หลังจากที่บรรลุเขตจิตใจแล้ว กะทันหัน วรยุทธของเขาก็ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่คนนั้นที่ชื่อไช่หยางชิว อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์นี้ จะสามารถก้าวผ่านประตูนี้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?
………………………………………………….