หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 459 ต่างคนต่างจิตใจ
ตอนที่ 459 – ต่างคนต่างจิตใจ
โม่เทียนเกอจู่ ๆ เงยหน้ามองตีนเขา
“ทำไมหรือ” ฉินซีถาม
“ท่านดู” นางชี้ไปที่ตำแหน่งประตูรอยแยกมิติ “มีคนออกไปใช่หรือเปล่า”
ฉินซีเพ่งสมาธิ พวกเขาอยู่ไกลสักหน่อย จิตหยั่งรู้ส่องไปไม่ถึงตำแหน่งนั้นเป็นอันขาด แต่จากที่เห็นด้วยตา ดูเหมือนว่าที่ประตูมีลำแสงวูบวาบ นอกจากเวลาครึ่งชั่วยามนั้นที่เปิดขึ้น ประตูมีแต่ออกไม่มีเข้า ดูท่าน่าจะมีคนจากไปแล้ว
“จริง ๆ……”
“เพิ่งผ่านไปสามวัน” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว กล่าวช้า ๆ ว่า “ภูเขาวิญญาณลูกนี้ใหญ่ขนาดนี้ พูดตามหลักเหตุผล เวลาสามวันไม่เพียงพอให้พวกเขาเสาะหาสมบัติเลย” ในรอยแยกมิตินี้มีสมบัติวิญญาณเท่าไหร่ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เข้ามาข้างใน ทำไมแค่สามวันก็ยอมจากไปแล้วเล่า
“บางที……พวกเขามีเหตุผลอื่น?” ฉินซีคาดเดา
โม่เทียนเกอคิดอยู่พักหนึ่ง ส่ายหน้า “ไม่รู้” ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไว้ค่อยว่ากันเถอะ ไม่ว่าพวกเขาจะมีแผนการอะไร พวกเรามีจุดประสงค์ของตัวเอง”
“อืม” ฉินซีตอบรับเบา ๆ หันศีรษะมองไปข้างหน้า “ไปเถอะ ถ้าหากไม่มีอุบัติเหตุอะไร พวกเรายังต้องการเวลาอีกหนึ่งวัน”
หลังเดินผ่านหุบเขาที่เผาไหม้ด้วยไฟแท้สุดดิน พวกเขาขึ้นเขามาครึ่งทางแล้ว แค่หนึ่งวันก็เดินทางได้ครึ่งทางแล้ว อีกทั้งตลอดทางไม่ได้พบกับสิ่งที่อันตรายเกินไปเลย กลับกันคือเก็บสมบัติวิญญาณจำนวนหนึ่งอย่างสะดวกสบาย เส้นทางนี้ของพวกเขาราบรื่นจนถึงที่สุดเลย
หลังออกจากหุบเขา ทั้งสองคนอ้อมไปทางไกลหน่อย หลีกเลี่ยงก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มแห่งหนึ่ง จากนั้นเป็นป่าไม้หย่อมหนึ่ง
เรียกว่าป่าไม้ อันที่จริงไม่ใช่ต้นไม้เลย ทว่าเป็นเถาวัลย์อวบหนา เถาของมันเกี่ยวพันกันราวกับเป็นต้นไม้
โม่เทียนเกอเห็นฉากนี้ ขมวดคิ้วครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว นี่……นางคล้ายเคยเห็น
“นี่คือเถาวัลย์สูบโลหิต” จิตสัมผัสของฝูเหยาจื่อกล่าวกับนาง “เถาวัลย์ชนิดนี้กินสิ่งมีชีวิต กลืนกินเลือดเนื้อ ดังนั้นพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม แต่ว่า อสูรวิญญาณก็ชอบกินมัน เพิ่มพูนระดับการฝึกตน หากเลี้ยงดูอสูรวิญญาณ สิ่งนี้เป็นอาหารเสริมที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ หากกินมากพอ การเลื่อนขั้นล้วนจะกลายเป็นเร็ว”
โม่เทียนเกอมองดูสิ่งของนี้ จู่ ๆ คิดได้ว่า ตอนที่ตนเองไปทะเลตะวันออกเคยเห็นเถาวัลย์สูบโลหิตนี้บนเกาะน้อยแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเสี่ยวหั่วยังกินไปจำนวนมาก ภายหลังนางตัดกลับไปส่วนหนึ่ง โยนเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโดยไม่ใส่ใจ เสี่ยวหั่วสะสมเกาวัลย์เหล่านี้ไว้ในรังตนเองดั่งทรัพย์สมบัติ กินทีละนิดเป็นระยะ นานมากถึงกินหมด
คิดถึงตรงนี้ นางชักกระบี่บินออกมา พูดกับฉินซีว่า “พวกเราตัดกลับไปหน่อย”
“หืม?” บทสนทนาของนางกับฝูเหยาจื่อ ฉินซีไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ “ตัดกลับไปทำอะไร หรือว่าสิ่งนี้มีประโยชน์พิเศษเฉพาะอะไร”
โม่เทียนเกอเล่าสิ่งที่ฝูเหยาจื่อเพิ่งพูดให้เขาฟัง ฉินซีก็สนใจขึ้นมา ตอนที่จากไปในปีนั้น โม่เทียนเกอทิ้งโอสถจำนวนมากไว้ที่โรงเรียนเสวียนชิง ด้วยเหตุนี้นกฉงหมิงของเขาจึงเลื่อนขึ้นเป็นขั้นเจ็ด เถาวัลย์สูบโลหิตนี้หากมีประสิทธิภาพเช่นนี้จริง ๆ ไม่แน่ว่าจะสามารถทำให้นกฉงหมิงเลื่อนขึ้นขั้นแปด ถึงเวลานั้น ความแข็งแกร่งจะยกระดับขึ้นมากมาย!
อสูรวิญญาณขั้นแปดมิใช่สิ่งที่เลี้ยงดูง่ายดายขนาดนั้นเป็นอันขาด พอเลื่อนขึ้นขั้นแปด พวกมันจะมีสติปัญญา แม้แต่สัญญาอสูรวิญญาณยังยากจะผูกมัด นอกเสียจากยอมรับนายผ่านไข่อสูรวิญญาณ แต่อสูรวิญญาณอายุขัยยาวนานทว่าเลื่อนขั้นช้า ถึงแม้ผู้ฝึกตนคนหนึ่งจะฝึกตนราบรื่นไปถึงจิตวิญญาณใหม่ ถึงตอนที่เขานั่งละสังขาร อสูรวิญญาณไม่แน่ว่าก็เพียงแค่อยู่ที่ขั้นห้าขั้นหกเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่มีอสูรวิญญาณขั้นแปดข้างกายเท่ากับว่ามีผู้ช่วยระดับจิตวิญญาณใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคนเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนคนอื่น ความแข็งแกร่งแค่คิดก็ทราบแล้ว ผู้ฝึกตนอิสระจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายลาเฒ่าหม่าคนนั้นก็คือตัวอย่าง
กระบี่บินของโม่เทียนเกอพุ่งออกไป ตัดลงบนเถาวัลย์หนา รู้สึกเพียงว่าพลังวิญญาณสั่นไหว เถาวัลย์หนึ่งเส้นกลิ้งมาหานางเสียงดัง “ซู่”
นางเบี่ยงร่างหลบ คุมกระบี่บินตัดลงที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ทำอย่างนี้หลายครั้ง ในที่สุดก็ตัดเถาวัลย์เส้นนี้ลงมา
เถาวัลย์นี้เทียบกับที่นางพบบนเกาะน้อยทะเลตะวันออกยังทนทานกว่า แต่ว่า หลายปีมานี้ระดับการฝึกตนของนางก้าวหน้าไปมาก จัดการได้ไม่ยากเท่ากับตอนนั้น
ฉินซีเห็นแล้วจี้พลังวิญญาณออกไป แสงกระบี่สายหนึ่งแยกตัวออกจากในม่านพลังกระบี่ ตัดใส่เถาวัลย์พร้อมเสียงหวีดหวิว แสงอัคนีไปถึง เถาวัลย์ขาดไปตามเสียง
โม่เทียนเกอเห็นแล้วท้อแท้ “ข้าตัดลำบากขนาดนี้ ท่านฟันฉับเดียวอย่างนี้เลย!”
ฉินซียิ้ม “ทองกับไฟเป็นดาวข่มของธาตุไม้” อีกอย่าง ระดับการฝึกตนของเขาไม่ใช่ของประดับ จากเหมือนกันได้อย่างไร
เขากล่าวอีกว่า “เจ้านี่นะ หรือว่ายังไม่ชิน? เรื่องประเภทนี้ เรียกให้ข้าทำก็ได้ นี่ไม่ใช่การพึ่งพา ทว่าเป็นการใช้คนให้เหมาะกับงาน”
โม่เทียนเกอตะลึงไป มองเขาแวบหนึ่ง เงียบงันไร้วาจา เขาพูดไม่ผิด นางต้องคุ้นชินกับจุดนี้ คนสองคนอยู่ร่วมกัน อันที่จริงเรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องให้ตนเองลงมือด้วยตนเอง เห็นชัด ๆ ว่าเขาทำได้ง่ายดายกว่า ก็ให้เขาไปทำ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ปัจจุบันนี้ความแข็งแกร่งของเขาแกร่งกว่าเป็นความจริง ส่วนนางก็มีจุดแข็งของตนเอง
“เกือบเสร็จแล้ว” ตัดเถาวัลย์สูบโลหิตลงมาเกือบครึ่ง ฉินซีจึงได้ละมือ เก็บเถาวัลย์ทั้งหมดเข้าไปในกระเป๋าเอกภพ
“มีอสูรปีศาจ!” เพิ่งจะเก็บเถาวัลย์สูบโลหิต โม่เทียนเกอราวกับจะสัมผัสอะไรได้ พอหันศีรษะไปก็ต้องตกตะลึง
ฉินซีเงยหน้ามองไป สีหน้าแปรเปลี่ยน เก็บปราณกระบี่กลับมาในพริบตา ห้อมล้อมทั้งสองคน
ในที่ไม่ไกล อสูรปีศาจตัวหนึ่งกางปีกบินมา วนเหนือป่าเถาวัลย์สูบโลหิตหนึ่งรอบ มองมาทางพวกเขา
ที่หน้าผาแห่งหนึ่งของเขาวิญญาณ บัณฑิตอวี๋ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ศึกษาตัวอักษรที่สลักบนผนังผาอย่างละเอียด
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นสองคนของสำนักศึกษาเยว่ซานที่เข้ามิตินี้มาพร้อมกับเขารวมกับหานซื่อจือเป็นสามคนก็ค้นหาหรือว่าจดบันทึกหน้าผาอย่างละเอียด
หานซื่อจือถือบันทึกไร้นามในมือ เทียบเคียงทีละตัว อาวุธเวทพู่กันทองคำในมือเขียนอะไรลงไปช้า ๆ
เขียนไปมากมาย เขาผ่อนลมหายใจ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เหล่าซือ นักเรียนบันทึกครบถ้วนแล้วขอรับ”
“อืม” บัณฑิตอวี๋ตอบรับคำหนึ่ง สายตายังคงไม่ละออกไป เขามองอีกครู่หนึ่ง โบกมือเอ่ยว่า “ซื่อจือ เจ้ามานี่”
“ขอรับ” หานซื่อจือบินไปที่ข้างกายบัณฑิตอวี๋
บัณฑิตอวี๋ชี้ไปที่ตัวอักษรแถวหนึ่งบนหน้าผา “ตัวอักษรชนิดนี้ เจ้ารู้จักไหม”
สายตาของหานซื่อจือตกลงยังตำแหน่งที่บัณฑิตอวี๋ใช้พัดชี้ บนใบหน้าปรากฏแววลังเล คิดอยู่เนิ่นนานจึงได้กล่าวว่า “ตัวอักษรนี้นักเรียนดูแล้วคุ้นตาอยู่หลายส่วน คล้ายกับอักษรจินเยว่ของยุคโบราณกาลมาก แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว”
บัณฑิตอวี๋เผยรอยยิ้มพึงพอใจ “เจ้าช่างรอบรู้หนังสือจริง ๆ ตัวอักษรนี้น่าจะแปลงมาจากอักษรจินเยว่ ถึงขณะนี้พวกเรายังไม่อาจรู้แจ้ง ขอเพียงให้เวลา จะต้องเข้าใจความหมายในนี้” เขาหยุดครู่หนึ่ง พูดว่า “บนหน้าผานี้ไม่รู้ว่าถูกยอดคนผู้ใดร่ายทักษะเวทอันสูงล้ำเอาไว้ ตัวอักษรช่วงนี้ได้แต่อ่าน ไม่อาจจดบันทึก พวกเจ้าทั้งหลายล้วนจำไว้หน่อย หวังว่าหลังจากออกไป พวกเราจะสามารถอาศัยความทรงจำรื้อฟื้นขึ้นมา”
“ขอรับ” ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สองคน รวมทั้งหานซื่อจือ ล้วนตอบรับ
ตอนที่อีกสามคนจดจำตัวอักษรบนหน้าผา สายตาของบัณฑิตอวี๋จับอยู่ที่วังเซียน
บันทึกไร้นาม หนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่โจวฟูจื่อถ่ายทอดมา คนอื่นล้วนนึกว่าสิ่งนี้กับวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกสี่ชิ้นเหมือนกัน เป็นสมบัติวิญาณชั้นยอดชิ้นหนึ่ง อันที่จริงไม่ใช่ มันเป็นเพียงตำราธรรมดาเล่มหนึ่ง เพียงแต่ข้างในจดบันทึกวิชาเวทที่ไม่ธรรมดาเอาไว้
วิชาเวทนี้ ขาดวิ่นและไร้นาม โจวฟูจื่อในอดีตหลังจากกลับมาจากรอยแยกมิติทะเลกุยสวีได้อาศัยความทรงจำบันทึกจนสำเร็จ โจวฟูจื่อเขียนประสบการณ์ในอดีตหลังจากบันทึกไร้นาม วิชาเวทนี้ได้มาจากหน้าผาภูเขาวิญญาณของรอยแยกมิติ แต่วิชาเวทบนหน้าผานั้นถูกยอดคนร่ายทักษะเวทอันเร้นลับเอาไว้ ตอนที่ท่องอ่าน รู้สึกเพียงว่าตัวอักษรทุกตัวชัดเจน แต่พบหันกลับไปจะค้นพบว่าในสมองราวกับว่างเปล่า ไม่อาจบันทึกลงในตำรา มีเพียงการย้ำท่องจำอย่างไม่ขาดตอนจึงสามารถหลงเหลือไว้ในสมอง
ถึงแม้ว่าเป็นเพียงวิชาเวทอันขาดวิ่น ถึงขนาดที่ตัวอักษรในนั้นไม่อาจถอดรหัสได้อย่างสมบูรณ์ แต่ว่าเนื้อหาอันขาดวิ่นเหล่านี้กลับเพียงพอให้พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนที่ฝึกสายขงจื้อบ้าคลั่ง! รอยแยกมิติเปิดขึ้นครั้งนี้ การค้นหาวิชาเวทอันสมบูรณ์เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเขา!
สำหรับวังเซียน นั่นย่อมเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขาด้วย แต่บัณฑิตอวี๋ทราบว่า มีหยวนมู่จิ้งจอกตัวนั้นอยู่ สำนักศึกษาเยว่ซานไม่มีทางได้รับผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ที่สุด แทนที่จะเสียความคิดไปเปล่า ๆ ไม่สู้มุ่งเน้นไปที่การเติมบันทึกไร้นามให้สมบูรณ์ สำหรับวาสนาแปลงเทพ เขาย่อมอยากลองแย่งชิง เพียงแต่ เขาก็ต้องมีแผนสำรอง
กว่าครึ่งวันให้หลัง หานซื่อจือหยุดการท่องจำในที่สุด มองไปทางบัณฑิตอวี๋ “เหล่าซือ นักเรียนจดจำไว้แล้วขอรับ”
“อ้อ?” สายตาของบัณฑิตอวี๋รั้งกลับมาจากวังเซียน เอ่ยอย่างชื่นชมว่า “ซื่อจือ เจ้าเป็นรุ่นหลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักศึกษาจริง ๆ มิน่าเล่าโจวฟูจื่อเลือกเจ้าเป็นคนที่บันทึกไร้นามยอมรับเป็นนาย”
“เหล่าซือชมเกินไปแล้ว” หานซื่อจือในขณะนี้กล่าวถ่อมตัวโดยที่บนใบหน้าไม่มีแววทะนงตนสักครึ่งส่วน
บัณฑิตอวี๋ยิ้มนิด ๆ กางพัด จู่ ๆ ถามว่า “ซื่อจือ ดูสีหน้าของเจ้า ในใจมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการเดินทางนี้หรือไม่”
หานซื่อจือชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยตรง ๆ ว่า “มิผิด นักเรียนมีความไม่เข้าใจในใจจริง ๆ หวังว่าเหล่าซือจะไขข้อข้องใจขอรับ”
“ฮา ๆ” บัณฑิตอวี๋หัวเราะเบา ๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามอะไร อันที่จริง ด้วยสติปัญญาความเฉลียวฉลาดของเจ้า เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นหลังสำนักศึกษาเยว่ซาน แต่ว่าเจ้าคนนี้……” เขาหยุดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากอีกว่า “บางเวลา การเฉลียวฉลาดเกินไปกลับจะละเลยความเป็นไปได้อื่น”
หานซื่อจือชะงัก โค้งกายถามว่า “นักเรียนไม่เข้าใจ เหล่าซือได้โปรดแถลงไขด้วยขอรับ”
บัณฑิตอวี๋ยิ้มทีหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าถามเจ้า พวกเราสายขงจื้อ ใช้ความชอบธรรมอันไพศาลสร้างโลก เหตุใดเจ้าต้องออกนอกลู่นอกทางเล่า”
หานซื่อจือขมวดคิ้ว แต่การแสดงออกยังคงนอบน้อม ตอบว่า “นักเรียนเชื่อว่า สิ่งที่เรียกว่าเต๋าก็คือจิตดั้งเดิม สิ่งที่เรียกว่าถูกผิดก็คือจิตดั้งเดิม หากจิตดั้งเดิมเชื่อว่าไร้ความผิด ก็คือสายธรรมะ ความชอบธรรมอันไพศาลของสายขงขื้อ สิ่งที่ยอมรับคือความถูกผิดของคนรุ่นก่อน ดังนั้นมีแบ่งแยกธรรมะอธรรม ทว่านักเรียนใช้จิตดั้งเดิมเป็นถูกผิด เป็นความขอบธรรมอันไพศาลเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีธรรมะอธรรม”
“……” บัณฑิตอวี๋ยิ้มเอ่ยว่า “สรุปในประโยคเดียว ความถูกผิดของเจ้าเพียงเกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น”
หานซื่อจือพยักหน้าอย่างไม่ลังเลสักเศษเสี้ยว “ถูกต้องขอรับ”
ประโยคก่อนหน้านั้น แทบจะเท่ากับการปฏิเสธหลักศีลธรรมขงจื้อที่ถ่ายทอดมาต่อโบร่ำโบราณ แต่ทว่า บัณฑิตอวี๋กลับไร้เจตนาจะตำหนิ ยังคงกล่าวสุภาพสง่างามว่า “ซื่อจือ เจ้าบรรลุเรื่องเหล่านี้ได้ แสดงว่าเจ้าเป็นคนที่มีอัตตายิ่ง นี่มิใช่ไม่ดี อัตตาอย่างสุดขีดกับความพากเพียรถึงที่สุดไม่ได้แตกต่างกันมากมายเลย และความพากเพียรก็เป็นเงื่อนไขจำเป็นต่อความสำเร็จ แต่ว่า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า อัตตาของเจ้าจะทำให้เจ้าละโมบเกินไป”
หานซื่อจือตะลึง จ้องมองบัณฑิตอวี๋ ไม่พูดไม่จาครึ่งค่อนวัน
บัณฑิตอวี๋จึงยิ้ม “เมื่อเข้ามาที่มิติแห่งนี้ ทุกผู้คนต่างจิตต่างใจ หยวนมู่เป็นเช่นนี้ อู๋หมิงเป็นเช่นนี้ กุ่ยฟางนั่นก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะวางไพ่ทั้งหมดไว้ในสิ่งที่เรียกว่าวังเซียน วาสนาแปลงเทพที่ว่ากันนั้น คุ้มค่าที่พวกเขาจะเอาชีวิตไปเสี่ยงจริง ๆ หรือ เกรงว่า……ไม่แน่นัก”
……………….
ตอนที่ 460 – ชุมนุมวังเซียน