สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 98 เฉิงซูรับสินค้า
บทที่ 98 เฉิงซูรับสินค้า
บทที่ 98 เฉิงซูรับสินค้า
ถึงแม้ว่าเฉิงซูจะไม่เต็มใจ แต่เพราะต้องการจะรับเมล็ดแตงโมทอดไปขายให้ได้เร็วมากที่สุด เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับข้อเสนอของลู่ฉิวเยว่ เมื่อลงนามในสัญญาแล้ว ก็ต้องจ่ายเงินทันที
“เรียบร้อยค่ะ คุณนายเฉิง แค่นี้พวกเราก็ร่วมมือกันได้แล้ว” ลู่ฉิวเยว่พูดต่อไปโดยไม่สนใจสีหน้าของอีกฝ่ายสักนิด
“ขอให้พวกเราร่วมมือกันได้อย่างราบรื่นนะคะ” เฉิงซูพูดอย่างอารมณ์เสีย เซ็นสัญญาเสร็จแล้วก็ขอตัวกลับอย่างรีบร้อน
เมื่อลู่ฉิวเยว่กลับบ้าน เธอก็บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้คนในครอบครัวฟัง แม่ของเธอที่นั่งอยู่บนโซฟาถึงกับขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ควรทำธุรกิจกับเฉิงซูคนนี้เลยจริง ๆ”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าเฉิงซูเป็นนางจิ้งจอกพันปีที่เจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม ถ้าไม่ระมัดระวัง เธออาจจะถูกผู้หญิงคนนี้หลอกลวงก็เป็นได้
“ตอนนี้เมล็ดแตงโมของพวกเรามีค่ามาก พวกเราต้องตื่นตัวเข้าไว้ แม่กับพ่อไปคอยดูที่โรงงานให้หน่อยนะคะ จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น” ลู่ฉิวเยว่นั่งหลังตรงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาจ้องมองผู้เป็นแม่
แม่ของเธอย่อมรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องสำคัญเพียงใด ท่านจึงรับปากว่าจะช่วยดูให้
และเพื่อทำเมล็ดแตงโมทอดให้ทันกำหนดการส่งของเฉิงซู ลู่ฉิวเยว่จึงต้องเพิ่มคนงานในการทอดเมล็ดแตงโมเพิ่มอีกคน และในที่สุดเมล็ดแตงโมทอดทั้งหมดก็พร้อมสำหรับการขนส่งในอีกสองวันต่อมา
และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก เธอจึงได้ส่งคนให้ไปแจ้งเฉิงซูว่าสินค้าทั้งหมดพร้อมให้มารับได้แล้ว
“คุณลู่ เมล็ดแตงโมทอดพวกนี้ไม่สวยเลย มันไม่เหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้”
ในโกดัง เฉิงซูหยิบเมล็ดแตงโมทอดขึ้นมาดูกำมือหนึ่ง เธอขมวดคิ้วและพูดด้วยความไม่พอใจ
ลู่ฉิวเยว่รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายอยากจะกดราคา สมแล้วที่เป็นนางจิ้งจอกพันปี เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจริง ๆ
แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ได้เปิดเผยว่าตนเองรู้ทัน เธอยังคงยิ้มแย้มพูดออกไปว่า “คุณเฉิงกำลังพูดถึงอะไรอยู่คะ? คุณก็เห็นเมล็ดแตงโมของเราตั้งแต่แรกแล้ว พวกเราคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ในสัญญาก็ระบุเอาไว้แล้ว ถ้าเมล็ดแตงโมของเราทอดแล้วมีขนาดไม่น้อยไปกว่า 1.0 เซนติเมตร ก็จะถือว่าตรงตามคุณสมบัติทุกอย่าง”
พูดจบ เธอก็หยิบไม้บรรทัดออกมาจากกระเป๋าและตรวจสอบให้ดูต่อหน้าต่อตา เมล็ดแตงโมทอดชุดนี้มีขนาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2 เซนติเมตร บางส่วนถึงกับมีขนาด 1.5 เซนติเมตรเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่อไม่สามารถกดราคาได้ เฉิงซูก็มีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่โชคดีที่ประสบการณ์ทำธุรกิจหลายปีสั่งสอนให้เธอสามารถรับมือได้ด้วยสีหน้าที่เป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้น…ฉันก็คงดูไม่ดีเอง ฉันเข้าใจผิดไป แต่ดูเหมือนเมล็ดแตงโมของคุณจะยังไม่แห้งดีเลยนะ”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ “เป็นไปได้ยังไงกันคะ? เมล็ดแตงโมของพวกเราถูกนำลงไปทอดในกระทะ มันน่าจะแห้งดีแล้วนะ ถ้าคุณไม่เชื่อ ลองกินดูก็ได้ค่ะ”
เฉิงซูหยิบเมล็ดแตงโมขึ้นมาดูเมล็ดหนึ่ง ก่อนจะใช้ฟันกัดเบา ๆ แล้วเปลือกของมันก็แตกออกอย่างง่ายดาย เธอถึงกับรู้สึกว่าลู่ฉิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยินเสียงเมล็ดแตงโมที่ถูกกัดแตกเลยด้วยซ้ำ
เฉิงซูไม่อยากเชื่อว่าเปลือกของเมล็ดแตงโมจะกรอบแบบนี้ทั้งหมด เธอลองกัดต่อไปอีกจำนวนหนึ่ง ก็พบว่านี่เป็นเมล็ดแตงโมทอดที่กรอบที่สุดเท่าที่ชีวิตของเธอเคยเจอมาแล้ว
เอาไงต่อดี?
เฉิงซูไม่อยากเชื่อเลยว่าเมล็ดแตงโมทอดในจำนวนมากมายถึงขนาดนี้จะสินค้าที่ออกมาจะมีคุณภาพทั้งหมด เธอเคยใช้วิธีการนี้กดราคาผู้ผลิตมาได้หลายรายแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเมล็ดแตงโมทอดของลู่ฉิวเยว่จะไม่มีปัญหาให้เธอกดราคาเลยนี่สิ!
“คุณนายเฉิงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันยินดีรับประกันคุณภาพเมล็ดแตงโมทอดของพวกเรา รับรองว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ยังไงก็ช่วยจ่ายเงินก้อนสุดท้ายมาด้วยนะคะ” เมื่อเห็นการตอบรับของเฉิงซู ลู่ฉิวเยว่ก็แอบยิ้มอยู่ในใจ ใช่แล้ว เมล็ดแตงโมทอดของเธอต้องไม่มีปัญหาทางด้านคุณภาพอย่างแน่นอน ถึงแม้เฉิงซูอยากจะหาปัญหาให้เจอ ก็ไม่มีวันหาเจอหรอก!
“ก็ได้ ขนของออกไปซะ” เฉิงซูรู้ดีว่าตนเองมาพบเจอกับคนเจ้าเล่ห์เหมือนกันเข้าให้แล้ว ดังนั้นเฉิงซูจึงได้สั่งให้ลูกน้องเข้ามาขนย้ายเมล็ดแตงโมทอดเหล่านี้ไปขึ้นรถยนต์ทางด้านนอก
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาทันทีและขยับไปยืนขวางทางเอาไว้ “คุณเฉิงนี่ขี้ลืมจังเลยนะคะ คุณยังไม่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายเลย โชคดีนะเนี่ยที่ฉันเตือนคุณก่อน ไม่งั้นคืนนี้คุณคงต้องมาที่บ้านฉันอีกแล้ว”
“เธอจะรีบร้อนไปไหนกัน คุณลู่? ฉันขายได้แล้วเดี๋ยวฉันจะเอาเงินมาจ่ายให้แน่นอน หรือว่าเธอไม่เชื่อฉันหรือไง?” เฉิงซูมีสีหน้าเป็นกังวล
จ่ายเงินหลังจากขายแล้วอย่างนั้นเหรอ? ถ้าเกิดเฉิงซูเบี้ยวไม่ยอมจ่ายขึ้นมา แล้วลู่ฉิวเยว่จะไปเก็บเงินจากใคร?
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะอยู่ในใจและรีบปฏิเสธว่า “คุณเฉิง นี่เป็นกฎของการทำธุรกิจ คุณต้องจ่ายเงินก้อนสุดท้ายมาก่อนถึงจะเอาสินค้าออกไปได้ ในสัญญาก็มีระบุไว้แล้วนะคะ คุณนายเป็นลูกค้ารายใหญ่ ไม่เข้าใจกฎขั้นพื้นฐานแบบนี้ได้ยังไง? พวกเรายังต้องยึดตามกฎในสัญญาอยู่นะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงซูก็มีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาในทันใด เธอจ้องมองไปยังชายฉกรรจ์ที่หน้าประตู เธอรู้ดีว่าถ้าวันนี้ตนเองไม่จ่ายเงิน ก็คงเอาสินค้าออกไปไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอีกแล้ว สุดท้ายเฉิงซูก็ยอมจ่ายเงิน
เมื่อเห็นรถยนต์ของเฉิงซูเคลื่อนที่จากไป ในที่สุดลู่ฉิวเยว่ก็หัวเราะเยาะออกมาได้อย่างเย็นชาเต็มที่
เฉิงซูคนนี้ไม่สมควรทำธุรกิจด้วยจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ว่าหล่อนมีคำสั่งซื้อจำนวนมาก เธอก็คงยกเลิกการร่วมมือไปนานแล้ว!
เย็นวันนี้ เป็นครั้งแรกที่หวังเซวียนเซวียนกลับมาถึงบ้านตอน 5 โมงเย็น ในอดีต เขามักจะหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาเครื่องจักรกล และไม่กลับบ้านจนกระทั่ง 19:00 น. หรือ 20:00 น. บางครั้งเขาก็จะค้างคืนอยู่ที่โรงงาน
“หายากนะเนี่ยที่น้องฉันจะกลับบ้านเร็วขนาดนี้” ลู่ฉิวเยว่หยอกล้อเขาในขณะที่กำลังหั่นผลไม้
หวังเซวียนเซวียนยกมือเกาหัวและยิ้มอย่างจริงใจ “ผมดีใจมากครับที่วันนี้ได้เจอเพื่อนเก่า”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะด้วยความเอ็นดู “เพื่อนเก่าเนี่ยนะ? เธอเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง? เริ่มมีเพื่อนเก่าแล้วหรอ? เธอแก่ขนาดนั้นได้ยังไง?”
เมื่อพูดคุยกันมาถึงตรงนี้ หวังเซวียนเซวียนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงยกมือตบหน้าผากตนเองและหัวเราะออกมา “เป็นอดีตเพื่อนร่วมห้องของผมเองครับ วันนี้เราเจอกันตอนรับประทานอาหารกลางวัน พวกเราคุยกันหลายเรื่อง เขาบอกว่าพ่อเขาอยากเจอพี่ด้วยล่ะ พี่พอจะมีเวลาบ้างไหม?”
“อยากเจอฉันเนี่ยนะ? ฉันรู้จักเขาหรอ?” ลู่ฉิวเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ
“เพื่อนผมชื่อซงซินครับ ผมไม่รู้ว่าพ่อของเขาต้องการอะไรจากพี่ แต่ถ้าพี่ไม่อยากไปเจอ เดี๋ยวผมปฏิเสธให้เอง” หวังเซวียนเซวียนส่ายหน้าตอบกลับมา เขาเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน
หลังจากที่เขาไปทำงานในโรงงานแห่งนั้น เขาก็ได้พบเจอกับซงซินหลายครั้ง หวังเซวียนเซวียนไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ เขาเคยถามซงซินแล้ว แต่ซงซินก็บอกว่านี่เป็นเรื่องดี ให้เขามาบอกพี่สาวเถอะ
แต่หวังเซวียนเซวียนก็จำได้ว่าซงซินมีครอบครัวที่ค่อนข้างรวย น่าจะอยู่ในวงการอาหาร บางทีอาจจะช่วยเหลือพี่สาวของเขาบ้างก็เป็นได้
เมื่อได้ยินคำตอบจากลูกพี่ลูกน้อง ลู่ฉิวเยว่ก็ยกมือจับคางของตัวเองอย่างใช้ความคิด “ก็ใช่ว่าจะไปเจอไม่ได้หรอกนะ แต่เธอช่วยบอกหน่อยสิว่าครอบครัวของเขาเป็นยังไงบ้าง”
ลู่ฉิวเยว่เกิดลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าพ่อของซงซินอาจมีอะไรบางอย่างมาพูดคุยกับเธอ
หวังเซวียนเซวียนบอกทุกอย่างที่ตนเองรู้ให้ลู่ฉิวเยว่รับฟัง แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้อีกครั้ง เด็กหนุ่มยกมือตบหัวตัวเอง “ผมนึกออกแล้ว พ่อของเขาเป็นรองผู้อำนวยการอยู่ในโรงงานผลิตอาหาร พี่ครับ หรือว่าเขาอยากทำธุรกิจกับพี่?”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “วันพรุ่งนี้ฉันมีเวลาพอดี เธอลองไปถามเขาดูก็แล้วกันว่าพอจะนัดเวลาได้ไหม พวกเรานัดพบกันที่ร้านกาแฟซีชานก็แล้วกัน”
เมื่อถึงวันนัดพบ ลู่ฉิวเยว่ก็ไปถึงตามเวลาที่กำหนด
ลู่ฉิวเยว่เปิดประตูเข้าไปในร้านกาแฟ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็นั่งรอเธออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว
เขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างเป็นทางการ แขนเสื้อพับขึ้นมาอย่างเป็นระเบียบ จอนผมเป็นสีขาวเล็กน้อย บริเวณหางตามีรอยตีนกาอยู่พอสมควร แต่เขาก็ยังดูกระฉับกระเฉงเป็นอย่างยิ่ง
“คุณซง ขอโทษที่ให้รอนะคะ” เธอยิ้มอย่างสุภาพก่อนจะค่อย ๆ นั่งลง