สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 93 การจัดการใหม่
บทที่ 93 การจัดการใหม่
บทที่ 93 การจัดการใหม่
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอยิ้มออกมาแล้วถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า? พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่เห็นต้องเกรงใจกันเลย?”
เธอคิดว่าน้องชายคนนี้มีบางอย่างอยากขอความช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา
หวังเซวียนเซวียนไอออกมาเบาๆ เขามีสีหน้าเป็นกังวล “ไม่กี่วันก่อนพี่วางขายขี้ผึ้งพวกนั้นในร้านขายยาแล้วใช่ไหมครับ? ผม…ผมพบว่าพ่อแม่ของเฉียนเฉียนเอาแต่ถามว่าพี่ขายขี้ผึ้งพวกนั้นเท่าไหร่ พวกเขาคาดคั้นเอาคำตอบจากผมตลอด ผมก็เลยรู้สึกแปลก ๆ…”
หวังเซวียนเซวียนเป็นคนแนะนำโรงงานของพ่อแม่แฟนสาวตนเอง ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เขาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ แล้วครอบครัวของพี่สาวก็ดีกับเขามาก หวังเซวียนเซวียนคงรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่งถ้ามีอะไรผิดปกติอย่างที่ไม่ควรเป็น
สอบถามราคาอย่างนั้นเหรอ?
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้วและรู้สึกแปลก ๆ เช่นกัน
พวกเขาเป็นแค่โรงงานรับจ้างผลิต จะอยากรู้เรื่องราคาไปทำไม หรือพวกเขาคิดจะลดต้นทุนจากที่ได้ตกลงกันไว้?
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่เธอก็ไม่กล้าด่วนสรุป เรื่องนี้ต้องสืบดูให้รู้จนแน่ชัดก่อน ดังนั้นเธอจึงยิ้มปลอบใจหวังเซวียนเซวียนไปว่า “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพี่จะตรวจดูเองก็แล้วกัน เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ช่วงเช้าวันต่อมา เธอก็ไปที่โรงงานแห่งนั้น
เธอได้พบกับคนที่คอยดูแลโรงงาน
ลู่ฉิวเยว่จ้างชายวัยกลางคนผู้นี้มาด้วยตนเอง เพื่อคอยควบคุมการผลิตขี้ผึ้งของโรงงานแห่งนี้ เขาแทบไม่มีความรู้เรื่องยาจีนเลย
“คุณลู่มาทำไมหรือครับ?”
เมื่อลู่ฉิวเยว่ไปถึง เขาซึ่งเป็นผู้ดูแลโรงงานก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที แต่สีหน้าไม่ยินดียินร้าย บางทีอาจเป็นเพราะนิสัยของเขาเป็นแบบนี้เอง
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ก่อนจะบอกให้เขาตามเธอไปคุยข้างนอก
พวกเขาเดินไปในมุมที่ไม่มีคน เมื่อหญิงสาวแน่ใจว่าไม่มีใครแล้ว เธอก็พูดออกมาอย่างเคร่งเครียด “ในช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณเป็นคนตรวจสอบโรงงานทั้งหมด พบเจออะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่าคะ? โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุดิบ”
ชายวัยกลางคนมีนามว่าหวงอี้ เขาส่ายศีรษะตอบด้วยความจริงจัง “ไม่มีเลยครับ โรงงานผลิตตามขั้นตอนที่พวกเรากำหนดไว้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่อย่างเดียว”
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ” ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า แต่เธอก็ยังเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองอยู่ดี “นับจากวันนี้ไป คุณต้องเข้มงวดให้มากขึ้นนะคะ โดยเฉพาะในเรื่องของวัตถุดิบ จะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
เธออาจจะพูดเป็นข้อมูลพื้นฐาน เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าภายในโรงงานอาจมีบางอย่างผิดปกติ หวงอี้มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที
“คุณลู่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะไม่ปล่อยให้มีการลดต้นทุนเกิดขึ้นเด็ดขาด!”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า จังหวะที่กำลังจะกลับบ้าน เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงสั่งให้คนไปตามหาผู้ตรวจสอบที่เชี่ยวชาญมาโดยเฉพาะ
หากสิ่งที่เธอสงสัยเป็นความจริง พวกเขาจะได้ติดต่อกับโรงงานใหม่ให้โดยทันทีหลังจากที่กระชากหน้ากากของตระกูลเหอ การผลิตขี้ผึ้งจะได้ไม่ต้องหยุดชะงัก
“มีอะไร? หน้าเครียดเชียว” ตอนแรก ฉินซืออยากจะมาทานอาหารกลางวันกับลู่ฉิวเยว่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเห็นเธอนั่งอยู่ที่มุมร้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนที่เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ลู่ฉิวเยว่ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้ว พลางยกมือขึ้นปัดมือของเขาที่โบกทักทายอยู่ตรงหน้าเธอออกไป
“ยังไม่ถึงเวลามื้อเที่ยงเลย คุณมาทำไมเนี่ย? งานไม่ยุ่งแล้วเหรอ?”
ไม่กี่วันก่อน ฉินซือบอกว่าเขาทำงานล่วงเวลาทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้จึงมีรอยคล้ำใต้ตาทั้งสองข้าง ฉินซือยังไม่มีเวลาได้กลับบ้านด้วยซ้ำ แล้วเขามาที่นี่ทำไม?
“สงสัยผมคงเป็นคนเดียวสินะที่อยากมาที่นี่ทุกวัน” ฉินซือหัวเราะในลำคออย่างเย็นชาเล็กน้อย
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เธอไอแก้เก้อ ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความอับอาย
ในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ เธอเป็นฝ่ายที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เธอจะใช้เวลาอยู่ในร้านอาหารและร้านขายยา
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ได้เรื่องเลย เธอไม่ได้ภูมิใจกับมันสักนิด
ลู่ฉิวเยว่ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น เธอสาบานกับตัวเองในใจว่าจะต้องปรับปรุงตัวหลังจากนี้
ฉินซือมองออกว่าลู่ฉิวเยว่กำลังมีปัญหาบางอย่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำหน้าเครียดถึงขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่มีปัญหากับซูหลิน เธอก็ยังไม่วิตกกังวลถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ สีหน้าของเธอในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กนักเรียนชั้นประถมที่ทำผิด ฉินซือไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
เขารู้สึกขบขันขึ้นมาเล็กน้อย แต่วันนี้เขาไม่ได้มาเพื่อคิดบัญชีกับเธอ ฉินซือไอออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเปิดเผยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาหาเธอ “ผมให้คนช่วยสืบข้อมูลซูหลินดูแล้ว ปรากฏว่าโรงงานของเขามีปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาด”
เมื่อนึกถึงรูปถ่ายที่ตนเองได้เห็นเมื่อตอนเช้า สีหน้าของฉินซือก็แสดงความรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน ภายในโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของซูหลินมีแต่ความเละเทะยุ่งเหยิง แป้งสาลีที่นำมาทำเป็นเส้นบะหมี่วางกองอยู่บนพื้นดิน มีหนูและแมลงสาบวิ่งอยู่เต็มไปหมด
และเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของซูหลินเพราะอยากรู้ว่ามีรสชาติเป็นอย่างไร ใบหน้าของฉินซือก็ซีดขาวขึ้นมาทันที คิดแล้วเขาก็อยากจะอ้วกออกมาจริง ๆ
เมื่อได้ยินคำอธิบายจากฉินซือ ลู่ฉิวเยว่ก็มีสีหน้าไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย สิ่งต้องห้ามที่คนในวงการอาหารไม่ควรทำที่สุดก็คือการไม่รักษาความสะอาดและคุณภาพของวัตถุดิบที่ต่ำมากเกินไป แต่ตอนนี้ซูหลินมีทั้งสองอย่างครบถ้วน เขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายเอาเปรียบผู้บริโภค
“เลวมาก!” ลู่ฉิวเยว่กัดฟันกรอด อยากจะไปอัดเจ้าหมอนั่นให้น่วม “คนแบบนี้แหละที่กำลังทำลายวงการอาหารของพวกเรา!”
“อย่าห่วงเลย” ฉินซือพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมให้คนรวบรวมหลักฐานส่งไปร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว อีกไม่กี่วัน ประชาชนจะต้องได้รู้เรื่องนี้”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามคำพูดของฉินซือ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น โรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของซูหลินก็ถูกปิด สินค้าทุกอย่างที่เขาผลิตถูกเรียกคืนจากท้องตลาด
ซูหลินต้องการจะโต้แย้ง แต่เมื่อมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายและพยาน เขาก็ไม่มีโอกาสอีกต่อไป
“เวรเอ๊ย!”
ในห้องทำงานของซูหลิน
เขาเขวี้ยงแก้วใส่ปากกาบนโต๊ะลงบนพื้น เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของฉินซืออย่างแน่นอน ไอ้หมอนั่นมันไม่เกรงใจความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ของพวกเขาบ้างหรือไง? แค่ผู้หญิงเพียงคนเดียว เขาถึงกับกล้าทำแบบนี้เชียวเหรอ?
พฤติกรรมของซูหลินทำให้ลูกน้องที่เข้ามารายงานตกใจ
“คุณซู…” ลูกน้องคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาตัวสั่นเทา “คือว่าผม…”
ซูหลินโบกมือไล่ลูกน้องออกไป
ในท้องตลาดตอนนี้มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อของเขาเป็นยี่ห้อที่ดังที่สุด ถ้าผลิตภัณฑ์ของเขาถูกถอดออกจากท้องตลาด ฐานลูกค้าก็อาจจะหายไปได้ ซูหลินจำเป็นต้องคิดหาวิธีแก้ไขวิกฤตนี้อย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่แค่ตระกูลซูเท่านั้นที่มีบรรยากาศหมองเศร้า ทางด้านตระกูลจ้าวก็มีบรรยากาศที่หมองเศร้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
หลังจากได้ทราบข่าวว่าโรงงานของซูหลินถูกสั่งปิด จ้าวซูซินก็เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่กินอาหาร ไม่ออกมาพบเจอหน้าผู้ใดแม้แต่แม่ของตนเอง
“ดูลูกสาวคุณทำตัวเข้าสิ!” พ่อของจ้าวซูซินนั่งอยู่บนโซฟาพูดด้วยความโกรธ
แม่ของจ้าวซูซินก็รู้สึกผิดเช่นกัน แต่สามีจะมาโทษว่าเป็นความผิดของเธอได้อย่างไร นั่นก็ลูกสาวของเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?!
แต่เมื่อเห็นสีหน้าของสามี แม่ของจ้าวซูซินก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงเดินขึ้นบันไดไปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!”
จ้าวซูซินอาละวาดอยู่ในห้องนอนของตนเองด้วยการพังข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า เมื่อเธอได้ยินเสียงเคาะประตู เธอก็เขวี้ยงหมอนใส่ประตูอย่างแรง
“ไม่ต้องมายุ่งกับหนู! หนูไม่กิน!”
คนเป็นแม่ขมวดคิ้ว เธอหมุนลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไป “ลูกไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนะ ลูกทำแบบนี้ได้ยังไง ถึงลูกจะโกรธ แต่ก็ไม่ควรทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนี้สิ”
จ้าวซูซินฝังหน้าของตนเองลงไปในหมอนและร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ “ถ้าแม่ไม่ช่วยหนูจัดการลู่ฉิวเยว่ หนูก็จะไม่กินอะไรทั้งนั้น หนูขออดตายดีกว่า!”