สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 82 คุณย่าใหญ่กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง
บทที่ 82 คุณย่าใหญ่กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง
บทที่ 82 คุณย่าใหญ่กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง
การได้รับคำชื่นชมจากชาวบ้านทำให้คุณย่าใหญ่มีความสุข เธอเดินทางไปที่หมู่บ้านเยว่เหลียงในตอนบ่ายวันเดียวกันเพื่อหางานให้กับชาวบ้านพวกนั้น
“คุณย่ากลับมาทำไมอีก?” ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้วพลางจ้องมองไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความไม่พอใจ
ทุกครั้งที่หญิงชรามาที่นี่ มักจะมีปัญหาใหญ่มาด้วย และครั้งนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องดีอีกเช่นกัน
เมื่อคุณย่าใหญ่เห็นสีหน้าของหลานสาวก็รู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมา “เธอพูดอะไรของเธอน่ะ หลานรัก ฉันเป็นย่าของเธอนะ ฉันจะมาหาเธอไม่ได้หรือไง?”
ลู่ฉิวเยว่กลอกตา “ก็ได้ค่ะ คุณย่ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก”
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้มีความประทับใจที่ดีกับหญิงชราสักเท่าไหร่ แค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกรำคาญใจแล้ว
“ฉิวเยว่ ฉันอุ้มเธอมาตั้งแต่เธอยังเด็ก ย่าเลี้ยงดูเธอมา เธอจำได้ไหม?” หญิงชรามีดวงตาเป็นสีแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ หญิงชรากำลังจะแสดงละครแสนเศร้าอีกแล้ว
เมื่อพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมาเต็มใบหน้าของหญิงชรา
ลู่ฉิวเยว่ได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ในใจ การเลี้ยงดูที่หญิงชรากล่าวถึงก็คือการให้เธอได้มีอาหารรับประทานแค่พอประทังชีวิต เคยมีครั้งหนึ่ง ลู่ฉิวเยว่ในวัยเด็กถึงกับจะขโมยกินน้ำเกลือสำหรับแช่อาหารในห้องครัว แต่โชคดีที่แม่ของเธอมาเจอและห้ามเอาไว้ทัน ไม่งั้นเธอก็คงตายไปนานแล้ว
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ หลานรักของคุณย่าใหญ่อย่างลู่เจี๋ยหรงมักจะได้รับประทานโจ๊กคุณภาพดี ในขณะที่ลู่ฉิวเยว่ได้ดื่มแต่น้ำข้าว ลู่เจี๋ยหรงได้กระโปรงชุดใหม่ ลู่ฉิวเยว่ก็จะได้แต่กระโปรงตัวเก่าที่ลู่เจี๋ยหรงไม่ชอบแล้ว และเธอก็ยังต้องขอบคุณคุณย่าใหญ่ด้วย
“คุณย่าก็คงต้องเคยอุ้มหนูล่ะค่ะ แต่ครั้งเดียวที่คุณย่าอุ้มหนูก็คือตอนที่จะเอาหนูไปขายให้กับพวกค้ามนุษย์ที่สถานีรถไฟ”
ลู่ฉิวเยว่พูดตรงเข้าประเด็นโดยทันที หากเจ้าหน้าที่ในสถานีรถไฟไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ทราบชะตากรรมเลยว่าตอนนี้ตนเองจะไปอยู่ที่ใด
“ทำไมเธอถึงต้องไปรื้อฟื้นเรื่องอดีตเหม็นเน่าพวกนั้นขึ้นมาพูดด้วย!” หญิงชราขมวดคิ้ว เธอรีบประกาศเจตนาของตนเองออกมาโดยตรง “ฉันอยากให้เธอหางานให้กับชาวบ้านที่อยู่นอกหมู่บ้านเยว่เหลียง โดยเฉพาะคนในตระกูลของฉัน มันคงไม่มากเกินไปหรอกใช่ไหม”
“มากเกินไปค่ะ” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะตอบกลับไป เธอจำได้ดีว่าญาติพี่น้องของหญิงชราก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังเป็นพวกที่ทำงานไม่ค่อยได้เรื่อง ถ้าเธอจ้างคนพวกนั้น รับรองได้เลยว่าต้องมีปัญหาตามมาแน่
คุณย่าใหญ่คิดอยู่แล้วว่าลู่ฉิวเยว่คงไม่ยอมง่าย ๆ ดังนั้นหญิงชราจึงใช้วิธีที่ตนเองถนัดมากที่สุด…เรียกร้องความสนใจ
หญิงชราทิ้งตัวลงไปนั่งร้องไห้พร้อมกับดิ้นเร่า ๆ อยู่บนพื้น “ถ้าเธอไม่ตกลง งั้นวันนี้ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้นี่แหละ!”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ ก่อนจะหันไปหยิบไม้กวาดมาเพื่อไล่คุณย่าใหญ่
เมื่อหญิงชราเห็นเช่นนั้นก็ต้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “เจ้าข้าเอ้ย ทุกคนมาดูให้ดี ลู่ฉิวเยว่ในหมู่บ้านของพวกคุณกำลังจะเอาไม้กวาดมาตีคนแก่ ขนาดฉันเป็นย่าแท้ ๆ ของเธอ เธอก็ยังจะตีได้ลงคอ…”
“เฮ้อ ยายคนนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย รีบไปตามคนมาดูละครเร็ว” พี่สาวข้างบ้านได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงเดินมาดู เมื่อพบว่าเป็นหญิงชราคนเดิม เธอก็สั่งลูกสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเช่นนั้น
“ไม่ใช่เรื่องของพวกแก! อย่ามายุ่ง…” คุณย่าใหญ่โมโห หญิงชรากำลังจะลุกขึ้นพุ่งเข้าไปหาฝ่ายตรงข้าม
แต่พี่สาวข้างบ้านก็ไม่ได้กลัว เพราะว่าเธอก็มีญาติที่นิสัยร้ายกาจแบบนี้เหมือนกัน เธอพบเห็นจนเป็นเรื่องปกติ จึงทำได้แต่กลอกตาตอบกลับไปว่า “ไม่ว่าคุณยายจะอยู่หรือไป แต่คุณยายรู้ไหมว่าตัวเองมีภาพลักษณ์ยังไงในหมู่บ้านเยว่เหลียง? ต่อให้ยายแหกปากให้ตาย ก็ไม่มีใครเชื่อยายหรอก”
หลังจากพูดจบ พี่สาวข้างบ้านก็ดึงลู่ฉิวเยว่ให้นั่งลง ก่อนจะหยิบเม็ดแตงโมจากจานผลไม้มารับประทานเล่น
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มให้กับพี่สาวข้างบ้านโดยไม่หันไปมองที่คุณย่าใหญ่อีกเลย
เมื่อเห็นลู่ฉิวเยว่ไม่สนใจ แล้วก็ไม่มีใครเชื่อตนเองจริง ๆ คุณย่าใหญ่จึงได้เดินจากไปด้วยความหมดหวัง
“ทำไมพี่ต้องมาช่วยฉันด้วยคะ?” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มให้แล้วพูดด้วยความจริงใจ “ฉันต้องขอบคุณพี่มากเลยนะ ถ้าไม่ได้พี่ ฉันคงแย่”
พี่สาวข้างบ้านส่ายหน้า “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอที่ช่วยให้ฉันมีงานทำ”
หลังจากพูดจบแล้ว พี่สาวข้างบ้านก็ยกถุงในมือขึ้น “ไข่เป็ดจากบ้านฉันเอง ฉันเอามาให้เธอ ไข่เป็ดสด ๆ เลยนะ ลองเอาไปทำอะไรกินดูสิ”
ลู่ฉิวเยว่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ เธอรู้ดีว่าพี่สาวข้างบ้านหวงไข่เป็ดพวกนี้ยิ่งกว่าอะไรดี แต่เมื่อจำเป็นต้องรับเอาไว้ เธอก็อยากจะเดินเข้าไปในบ้านเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อกลับออกมาอีกที พี่สาวข้างบ้านก็กลับบ้านไปแล้วโดยทิ้งถุงใส่ไข่เป็ดเอาไว้บนโต๊ะ พี่สาวข้างบ้านขู่ว่าถ้าเธอเอาไข่ไปคืน จะทุบไข่พวกนี้ทิ้งให้หมดและจะไม่มีใครได้กินมันทั้งนั้น ลู่ฉิวเยว่จึงยิ้มออกมาด้วยความตลกและอบอุ่นหัวใจ
“อะไรน่ะ?” ตกบ่าย เมื่อฉินซือกลับมาจากข้างนอก เขาก็เห็นลู่ฉิวเยว่กำลังนำไข่เป็ดออกมาตั้งไว้บนโต๊ะ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมา “พี่สาวข้างบ้านให้มาค่ะ ฉันไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี ก็เลยเอาไข่ไปล้างแล้วก็นำมาตากให้แห้ง คิดว่าคืนนี้จะลองทำไข่เค็มดู”
เมื่อได้ยินสิ่งแปลกใหม่ที่ตนเองไม่เคยรับประทานมาก่อน ฉินซือก็กลืนน้ำลายทันที เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าไข่เค็มนั้นจะมีรสชาติเป็นอย่างไร แต่อาหารที่ลู่ฉิวเยว่ทำจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน
บรรยากาศยามเย็นในเขตชนบทค่อนข้างเงียบสงบ ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มมืดแล้ว เสียงร้องของจั๊กจั่นและกบดังออกมาผสมกันไม่ต่างจากเสียงดนตรี
นานมากแล้วที่ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้รู้สึกสงบสุขอย่างนี้ นี่คือค่ำคืนอันเงียบสงบในย่านชนบท เธอค่อย ๆ นำไข่เป็ดออกมาจากถังน้ำเกลือที่แช่มาหลายวันแล้ว เธอพร้อมนำไปทำเป็นอาหารแล้ว
“ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!”
ในทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอเดินไปเปิดประตูด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวไม่นึกเลยว่าจะมีคนมาเคาะประตูในเวลานี้ เพราะนี่เป็นเวลารับประทานอาหารค่ำของทุกบ้าน ทุกคนรู้ดีว่าควรหลีกเลี่ยงการรบกวนผู้อื่นในเวลานี้ที่สุด
“ใครคะ?” ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้เปิดประตูโดยทันที คืนนี้คุณลุงกับคุณป้าพาหวังเซวียนเซวียนออกไปข้างนอก ฉินซือก็กลับเข้าไปจัดการธุรกิจในเมือง เธออยู่บ้านแค่คนเดียวจึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
“ผมเอง! คุณลู่! ผมอยากขอแบ่งอาหารหน่อย”
คนที่พูดอยู่หน้าประตูเป็นคนที่ลู่ฉิวเยว่คาดไม่ถึงที่สุด…ชายร่างผอมสูงในกระท่อมไม้นั่นเอง
ลู่ฉิวเยว่กลืนน้ำลายด้วยความหวาดวิตก ขาเริ่มสั่น แต่เธอรู้ว่าถ้าไม่เปิดประตู อีกฝ่ายก็จะยิ่งสงสัยในตัวเธอได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันเปิดประตู แล้วเธอก็ได้เห็นว่าด้านหลังของชายร่างผอมสูง ยังมีชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“พี่ชาย คุณอยากกินอะไรเหรอ?” เธอแสดงรอยยิ้มอย่างมีไมตรี ลู่ฉิวเยว่ไม่เคยจำเป็นต้องใช้ทักษะการแสดงมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต
“ฉันเพิ่งทำไข่เค็มเสร็จพอดีเลย คุณอยากเอาไปลองกินไหม” เธอรีบเดินเข้าไปนำชามกระเบื้องในห้องครัวมายื่นให้เขาอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีเนื้อหมูต้มกับผักต้มอีกด้วย ชายทั้งสองคนนี้รับประทานแต่อาหารกระป๋องและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมานานมากแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นอาหารเหล่านี้ ดวงตาก็เป็นประกาย พวกเขาพยักหน้าและขอบคุณเธอด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ทั้งสองคนเดินกลับไปแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและรีบปิดประตูโดยเร็ว
ในห้องที่เงียบสงบ ดูเหมือนเธอจะได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจเต้น เหงื่อไหลออกมาเต็มคอเสื้อ ลู่ฉิวเยว่รู้สึกหนาวเย็นไปทั่วร่างกาย
โชคดีที่ฉินซือกลับมาในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ลู่ฉิวเยว่รู้สึกว่าตนเองคงเป็นลมเพราะความตื่นกลัวแน่ ๆ
“มีอะไรเหรอ?” ฉินซือเห็นเธอรีบวิ่งมาหาเขาทันทีที่เปิดประตู เข้าใจผิดคิดว่าเธอคิดถึงเขา จึงยิ้มอย่างมีความสุขและกอดเธอแน่น “ไม่ได้เจอกันแค่วันเดียว ไม่เห็นต้องคิดถึงกันขนาดนี้เลย”