สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 73 พบพ่อแม่ของฉินซือ
บทที่ 73 พบพ่อแม่ของฉินซือ
บทที่ 73 พบพ่อแม่ของฉินซือ
ลู่ฉิวเยว่ยังต้องหาโอกาสคุยเรื่องนี้กับฉินซือว่าเขาพอจะมอบโอกาสให้หวังเซวียนเซวียนได้เรียนหนังสือเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างรากฐานความรู้ให้แน่นมากกว่านี้ได้ไหม
บ้านตระกูลฉิน
ฉินซือกลับมาถึงบ้านแล้วและกำลังอธิบายทุกอย่างให้พ่อฟัง
“ตระกูลซูนี่ใช้ไม่ได้จริง ๆ!” พ่อของเขาไม่นึกเลยว่าลูกชายของเพื่อนสนิทจะมีนิสัยเป็นคนอย่างนี้ เขารู้จักนิสัยของลูกชายตัวเองดี ฉินซือไม่มีทางใส่ร้ายคนอื่นเด็ดขาด
แม่ของฉินซือที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินพฤติกรรมอันเลวร้ายของซูหลินทั้งหมดแล้ว เธอรู้สึกโกรธจนควันออกหู ไม่มีอารมณ์รับประทานแอปเปิลอีกต่อไป “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเราละเลยกันมากเกินไป” เธอส่ายหัวและพูดออกมาว่า “ฉันทำให้ลู่ฉิวเยว่ต้องมีปัญหา”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่ซูหลินพูดกับลู่ฉิวเยว่ แม่ของฉินซือก็รู้สึกโกรธจนตัวสั่น ยิ่งนึกภาพตามตอนเกิดเหตุมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกสงสารลู่ฉิวเยว่มากเท่านั้น
ฉินซือส่ายหน้ายิ้ม ๆ และปลอบโยนว่า “แฟนผมเก่งจะตาย เธอด่าเขาจนเจ็บแสบ เอาซะเจ้าหมอนั่นตั้งตัวไม่ทันเลยครับ”
เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจอย่างผู้ชนะ เหมือนลู่ฉิวเยว่ไม่ใช่คนที่ได้รับชัยชนะ แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก
“จริงเหรอ?” หลังจากได้รับฟังคำอธิบายจากลูกชาย คนเป็นแม่ก็รู้สึกประทับใจมากและยิ่งอยากเจอว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตมากกว่าเดิม “เรื่องนี้เป็นความผิดของครอบครัวเรา แทนที่พวกเราจะช่วยเหลือเธอ กลับกลายเป็นสร้างปัญหาให้เธอไปเสียได้ ถ้าเราทำให้เธอต้องเสียใจ เราก็ต้องขอโทษ…ฉินซือ เชิญเธอมาที่บ้านของเราเถอะ แม่จะทำอาหารให้เธอได้กินด้วยมือของแม่เอง”
พ่อของชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หลังจากที่ได้พบเจอกันเมื่อครั้งที่แล้ว นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่พวกเขายังไม่ได้พบเจอลู่ฉิวเยว่อีกเลย และการเชิญให้หญิงสาวมารับประทานอาหารที่บ้านของพวกเขาก็ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน
ฉินซือไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่ของตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็อยากชวนลู่ฉิวเยว่มากินข้าวที่บ้านของเขาเหมือนกัน เธอเป็นแฟนเขามานานแล้ว เขาไปกินอาหารเย็นที่บ้านเธอทุกวัน แต่เธอยังไม่เคยมาที่บ้านเขาเลย
ถ้าลู่ฉิวเยว่มารับประทานอาหารค่ำที่บ้านพร้อมกับพ่อแม่ของเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะต้องใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้น ฉินซือไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านเรื่องนี้
บ่ายวันต่อมา ร้านอาหารกำลังยุ่ง แต่ตัวของลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ยุ่งมากนัก ในร้านมีเด็กเสิร์ฟคอยช่วยงานอย่างเพียงพอ ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่มีอะไรให้เป็นกังวล
เธอเดินไปนั่งที่มุมร้านและนำบัญชีออกมาดูอย่างช้า ๆ สลับกับจิบน้ำผลไม้ไปด้วย เธอดูผ่อนคลาย ทันใดนั้นก็มีเงาของใครบางคนเดินมาบดบังแสงสว่างจนเธอมองบัญชีไม่ชัด จึงขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น
ฉินซือ
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโตและยิ้มกว้าง “คุณมาที่นี่ทำไม วันนี้งานไม่ยุ่งเหรอคะ?”
ฉินซือส่ายหน้าและยิ้มกว้าง เขาดึงสมุดบัญชีออกไปจากมือของเธอแล้วปิดมัน “ไม่ใช่ไม่ยุ่ง ผมแค่ผ่านทางมาแถวนี้ ก็เลยอยากมาหาคุณสักหน่อย”
ความจริงเขาไม่ได้ผ่านทางมา แต่เขาตั้งใจมาหาเธอเลยต่างหาก
“จริงด้วยสิ เมื่อวานฉันเพิ่งคิดเมนูใหม่ขึ้นมา คุณเป็นคนที่มีรสนิยมทางอาหารดีมาก ช่วยฉันชิมหน่อยได้ไหม?” หลังจากพูดแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็ดึงสมุดบัญชีไปเก็บในกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว ก่อนจะนำมะเขือม่วงตุ๋นออกมา นี่เป็นสิ่งที่เธอได้มาจากระบบ จึงนำมาคิดค้นเมนูอาหารสูตรใหม่
นอกจากมีรสชาติอร่อยมากกว่าร้านอื่นแล้ว หน้าตามะเขือม่วงของลู่ฉิวเยว่ยังมันวาวน่ารับประทานอีกด้วย
ฉินซือพยักหน้า เขาเดินไปที่ก๊อกน้ำข้าง ๆ เพื่อล้างมือ ก่อนจะลองชิมมะเขือม่วงตุ๋นอย่างทนไม่ไหว กลิ่นของมะเขือม่วงที่ผสมกับเครื่องเทศมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้รสอร่อยที่โดดเด่น
เขาเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ แล้วก็พบว่าลู่ฉิวเยว่กำลังเดินยิ้มเข้ามาพอดี
ลู่ฉิวเยว่มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าฉินซือจ้องมองเธอด้วยสายตาอันอ่อนโยน และในเวลาเดียวกันนี้ ในสายตาของฉินซือ เขาก็คิดว่าสายตาของเธอมีความอ่อนโยนไม่แพ้กัน
“อร่อยไหมคะ?” เธอยิ้มพร้อมกับนำเมนูที่สองออกมา นี่คือเมนูข้าวผัดที่เพิ่งนำลงจากกระทะ ฉินซือกลัวว่ามือของเธอจะร้อนจึงรีบเข้าไปรับมาถือไว้เอง
หลังจากที่พวกเขารับประทานอาหารกลางวันกันอย่างอบอุ่น ชายหนุ่มก็เปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เขาแวะมาหาเธอ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของตระกูลฉินเลย ตอนแรกเธอไม่อยากไป แต่เมื่อคิดถึงความสุภาพและใจดีของพ่อแม่ฉินซือ บวกกับสายตาเว้าวอนของฉินซือ เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้จริง ๆ
“พูดจริงนะ? คุณว่างเมื่อไหร่?” ชายหนุ่มผู้เย็นชาในอดีตตอนนี้กำลังยิ้มเหมือนคนโง่ ซึ่งทำให้ลู่ฉิวเยว่หลุดหัวเราะออกมาด้วยความอบอุ่นจากหัวใจ “คุณกำหนดวันเวลามาแล้วกัน คุณสะดวกตอนไหน ฉันก็สะดวกตอนนั้นแหละ”
เมื่อฉินซือได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “งั้นเราไปกันตอนนี้เลยดีไหม”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่ฉิวเยว่หายไปในทันที “ต้องรีบขนาดนี้เลยหรือไง…”
เธอบอกว่าตอนไหนก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความถึงตอนนี้ ลู่ฉิวเยว่ยังไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นชุดธรรมดา แล้วจะให้เธอไปพบเจอพ่อแม่ของเขาในสภาพนี้เนี่ยนะ?
“อ้อ” ฉินซือขมวดคิ้ว แต่เขาก็รู้แล้วว่าถ้าจะไปวันนี้ ลู่ฉิวเยว่คงไม่ยินยอมเด็ดขาด “วันพรุ่งนี้ดีไหม?”
ลู่ฉิวเยว่นิ่งคิดก่อนจะพยักหน้า “ตกลงค่ะ”
…
เมื่อกลับบ้านไปในคืนนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็นำเรื่องนี้ไปบอกพ่อแม่ของเธอ พวกท่านรู้สึกเป็นกังวล
ถึงพวกท่านจะได้ยินจากปากของฉินซือและลูกสาวของตนเองแล้วว่าพ่อแม่ของเขาค่อนข้างใจดี แต่พ่อแม่ของเธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ครอบครัวที่ร่ำรวยแบบนั้นมักจะมีกฎระเบียบมากมาย พวกท่านไม่ทราบเลยว่าครอบครัวของฉินซือจะเป็นเหมือนครอบครัวคนรวยอื่น ๆ ไหม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ไปทานข้าวกันธรรมดา ไม่เห็นต้องเป็นห่วงเลย” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมา “ฉินซือกับหนูยังไม่ได้ถึงขั้นที่จะแต่งงานกันสักหน่อย พ่อกับแม่เป็นห่วงมากเกินไปแล้วนะ อีกอย่าง หนูก็เคยเจอพ่อแม่ของเขาแล้ว พวกท่านเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ มากค่ะ”
แม่ของเธอยังคงพูดขึ้นมาด้วยความวิตกกังวล “ยังไงก็เถอะ ลูกอย่าทรมานตัวเองก็แล้วกัน”
สองสามีภรรยามีลูกสาวแค่คนเดียว ลู่ฉิวเยว่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขามาตั้งแต่เด็ก ถ้าการแต่งงานจะทำให้ชีวิตของลู่ฉิวเยว่ต้องทุกข์ทรมาน พวกเขาก็ยินดีให้ลูกสาวของตนเองอยู่เป็นโสดไปจนแก่เฒ่าดีกว่า
“หนูจะไปทรมานตัวเองทำไมล่ะคะ” ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมา ก่อนจะบอกให้พ่อแม่รีบไปนอน
รุ่งเช้าวันต่อมา หญิงสาวลุกขึ้นมาแต่งหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอแทบไม่สนใจจะแต่งหน้าเลย แต่วันนี้เป็นโอกาสพิเศษ เธอจึงต้องแต่งหน้าเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส
ในเมื่อเธอจะไปพบกับพ่อแม่ของฉินซือ ลู่ฉิวเยว่ก็เลือกที่จะแต่งหน้าแบบเบา ๆ
หลังจากนั้นเธอก็ทาลิปสติกอย่างพอเหมาะ สวมใส่กระโปรงยาวสีเทาอ่อน เข้าคู่กับเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลอ่อน ทำให้เธอดูน่ารักและอ่อนหวาน เป็นเหมือนเด็กสาวผู้อ่อนโยนในสายตาของผู้อาวุโส
ลู่ฉิวเยว่มองเงาสะท้อนในกระจกและยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ขัดจังหวะการส่องกระจก ลู่ฉิวเยว่หันหน้ากลับไปแล้วมองออกไปนอกประตู “เข้ามาสิ”
ฉินซือมาถึงแล้ว เขานั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว เขากล้าขึ้นมาเคาะประตูห้องเธอเพราะได้ยินแม่ของเธอบอกว่าเธอขึ้นมาอยู่บนนี้นานแล้ว
เมื่อหญิงสาวด้านหลังประตูเดินเข้ามาอยู่ในสายตาของเขา เธอยังคงมีใบหน้าสวยงามเหมือนเดิม แต่เธอก็ดูแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ลู่ฉิวเยว่กลายเป็นหญิงสาวที่ดูเรียบร้อยและอ่อนหวาน
แสงโคมไฟในห้องสาดส่องลงมากระทบใบหน้าของเธอ ริมฝีปากกลีบกุหลาบของเธอเป็นประกายด้วยความชุ่มฉ่ำ ฉินซือกลืนน้ำลาย ไม่สามารถละสายตาได้ หัวใจเต้นรัวเร็ว
เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยว่าทำไมกษัตริย์มากมายถึงยินดีเสียเงินและผู้คนเป็นจำนวนมากเพื่อทำให้หญิงคนรักของตนเองยิ้มได้ แต่เมื่อเขาได้มาพบเห็นลู่ฉิวเยว่ในวันนี้ ฉินซือก็รู้สึกเหมือนตนเองจะกลายเป็นกษัตริย์โง่ ๆ ในประวัติศาสตร์พวกนั้นขึ้นมาทันที