สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 71 ไม่อยากเป็นเด็กฝาก
บทที่ 71 ไม่อยากเป็นเด็กฝาก
บทที่ 71 ไม่อยากเป็นเด็กฝาก
“เรื่องการตั้งโรงงานอะไรแบบนี้ผมถนัดอยู่แล้ว ให้ผมจัดการเถอะ” ฉินซือพูดออกมาอย่างจริงจัง “เหมือนที่สร้างโรงงานผลไม้กระป๋องครั้งก่อนไง ผมจะให้ส่วนแบ่งกับคุณอีกเหมือนกัน ครั้งนี้คุณจะรับส่วนแบ่งไป 50% ดีไหม?”
ลู่ฉิวเยว่พูดอะไรไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจให้เงินเธอ
“แค่ 15% ก็พอค่ะ ฉันคงไม่ได้ไปร่วมบริหารธุรกิจกับคุณอยู่แล้ว” ลู่ฉิวเยว่พูดเสียงเข้ม
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเธออยากแก้แค้น มีคนธรรมดาที่ไหนบ้างเมื่อได้ฟังสิ่งที่เธอพูดแล้วก็จะไปเปิดโรงงานจริง ๆ? ถือว่าฉินซือยอมเสี่ยงเพื่อเธอมากทีเดียว
ลู่ฉิวเยว่ทั้งรู้สึกโกรธและตื้นตันใจในเวลาเดียวกัน
ฉินซืออยากจะเกลี้ยกล่อมเธออีกครั้ง แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร ไม่ฟังเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
เมื่อรับประทานอิ่มแล้ว พวกเขาก็มาพูดคุยเรื่องธุรกิจกันต่อ ลู่ฉิวเยว่เดินออกมาจากร้านอาหารอย่างมีความสุข แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะต้องผิดหวังทันทีที่ออกมาจากร้าน
“พี่ฉินซือ”
เสียงอ่อนหวานของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้เธอขนลุก ลู่ฉิวเยว่เกือบจะยกมือลูบขนแขนของตัวเองแล้ว
เธอรู้ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือใคร จ้าวซูซิน หญิงสาวที่เคยสั่งให้สวีต้าหลินเอาฝิ่นไปซ่อนไว้ในร้านอาหารของเธอนั่นเอง
ฉินซือเย็นชาขึ้นมาในทันใด
เขาไม่ได้ตั้งตัวว่าจะต้องมาแก้ไขปัญหานี้อีก ชายหนุ่มจึงยืนเงียบ เรื่องของเขา เขาต้องจัดการเองเท่านั้น
“ครั้งต่อไปอย่าเรียกฉันแบบนั้นอีก เรียกชื่อฉันฉินซือเฉยๆ ก็พอ” เขาขมวดคิ้ว แสดงความไม่พอใจ
เธอเคยเรียกเขาแบบนั้นตั้งแต่ตอนยังเด็ก แต่ตอนนี้จ้าวซูซินไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว และนั่นอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ
โดยเฉพาะเมื่อเขามีแฟนอยู่แล้ว ฉินซือก็จำเป็นต้องแบ่งระยะห่างระหว่างตนเองกับผู้หญิงคนอื่น ซึ่งคำที่จ้าวซูซินเรียกหาเขานั้นเป็นคำที่ข้ามเส้นมากเกินไปหน่อย
เมื่อได้ยินเสียงเย็นชาตอบกลับมาจากชายหนุ่ม จ้าวซูซินก็มีใบหน้าซีดขาวทันที “ทำไมคะ? ฉันเคยเรียกพี่แบบนั้นมาตลอดนี่นา? พี่ทำกับฉันแบบนี้เพราะผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม? เธอไม่มีค่าพอสำหรับพี่หรอก! พี่ฉินซือ พี่ตั้งสติหน่อยสิ!”
เมื่อได้ยินว่าเธอกำลังดูถูกลู่ฉิวเยว่ สีหน้าของฉินซือก็ยิ่งแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนมากขึ้น เขาถึงกับรู้สึกโมโหขึ้นมา “เรียกมาตลอด? นั่นมันตอนเธออายุไม่ถึง 10 ขวบด้วยซ้ำ แล้วก็ช่วยให้ความเคารพลู่ฉิวเยว่ด้วย ลู่ฉิวเยว่เป็นคนที่ฉันรัก และจะเป็นภรรยาในอนาคตของฉัน เธอต้องเรียกว่าคุณลู่ถึงจะถูก”
ยิ่งเห็นฉินซือปกป้องลู่ฉิวเยว่ ยิ่งทำให้ใบหน้าของจ้าวซูซินซีดขาวมากไปกว่าเดิม แต่เธอก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ลู่ฉิวเยว่เห็น ดังนั้นเธอจึงแกล้งยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “คุณลู่ คุณเป็นผู้หญิงที่โชคดีจริง ๆ”
ลู่ฉิวเยว่กำลังจ้องมองไปยังร้านขายน้ำตาลปั้นที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนอย่างจริงจัง เธอไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดกับเธอ ดังนั้นลู่ฉิวเยว่จึงเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ
“คุณจ้าวเป็นผู้หญิงใจกล้ามากเลยค่ะ” หลังจากพูดจบแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างร้ายกาจ “เจอคุณทีไร ฉันเหมือนจะต้องเดือดร้อนทุกครั้งเลย”
เห็นได้ชัดว่านี่คือคำตอบที่ไม่ไว้หน้าจ้าวซูซิน เธอรู้สึกเหมือนโดนดูถูก เธอโมโหจนอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกกระชากปากของลู่ฉิวเยว่เสียเดี๋ยวนี้
แต่เมื่อมีฉินซือยืนขวางอยู่ตรงนี้ทั้งคน จ้าวซูซินก็ทำได้เพียงรักษาภาพลักษณ์คุณหนูผู้อ่อนโยน เธอจะจำบัญชีแค้นครั้งนี้เอาไว้ในใจ ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ เธอจะต้องเล่นงานลู่ฉิวเยว่อย่างแน่นอน!
เมื่อคิดได้ดังนี้ จ้าวซูซินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ได้ข่าวว่าคุณลู่ไปคุยธุรกิจกับคุณซูหลิน ไม่ทราบว่าเรียบร้อยดีแล้วเหรอคะ?”
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโต ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือบางทีการเลื่อนนัดพบของซูหลินเมื่อเช้านี้อาจจะเป็นแผนการของจ้าวซูซินก็เป็นได้
แน่นอนว่าฉินซือก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
ใบหน้าของเขาเย็นชาปานน้ำแข็ง ถ้าจ้าวซูซินไม่ใช่ลูกสาวตระกูลจ้าว เขาก็คงสั่งสอนเธออย่างหนักหน่วงไปแล้ว
เขาโกรธแค้นเธอตั้งแต่เรื่องฝิ่นเมื่อครั้งที่แล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจ้าวซูซินจะยังคงตามติดเขาไม่เลิกราเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม จ้าวซูซินไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย เธอแกล้งทำเป็นพูดด้วยความเสียใจว่า “ไม่สำเร็จสินะคะ น่าสงสารจัง”
เธอยกมือป้องปากยิ้มโดยไม่สนใจลู่ฉิวเยว่และหันกลับไปมองหน้าฉินซือ “พี่ฉินซือคะ มหาวิทยาลัยของเราจะจัดงานเต้นรำในอีกไม่กี่วันแล้ว ฉันยังไม่มีคู่เต้นเลย พี่ไปเป็นคู่เต้นให้ฉันหน่อยได้ไหม? พี่ก็รู้ พ่อฉันไม่อยากให้ฉันไปเต้นกับผู้ชายคนอื่นหรอก”
จ้าวซูซินตั้งใจพูดออกมาเพื่อข่มลู่ฉิวเยว่ว่าตนเองเป็นหญิงสาวชนชั้นสูง ไม่ใช่ชนชั้นแรงงานอย่างเธอ
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่ใคร ๆ ก็เรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ง่าย ๆ คนที่จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยได้นั้นต้องมีเส้นสาย อำนาจ และเงินทอง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจากครอบครัวตระกูลดังทั้งนั้น จ้าวซูซินมั่นใจว่าลู่ฉิวเยว่คงไม่มีทางได้จับแม้แต่ประตูมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ…
ฉินซือไม่พูดอะไรออกมา เขาเอาแต่จ้องมองไปที่ใบหน้าของลู่ฉิวเยว่ กลัวว่าเธอจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
แต่ไม่ใช่เลย ลู่ฉิวเยว่กำลังให้ความสนใจอยู่ที่ร้านขายน้ำตาลปั้นอีกฝั่งของฟากถนน เธออยากจะเดินไปดูแทบแย่แล้ว ซึ่งทำให้เขาอดรู้สึกโกรธขึ้นมาไม่ได้
ที่แท้ในใจของเธอ ร้านขายน้ำตาลปั้นสำคัญมากกว่าเขาอีกเหรอเนี่ย!
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด จ้าวซูซินก็คิดว่าเขาเกิดความลังเลจึงพยายามโน้มน้าวต่อไปว่า “พวกเราโตมาด้วยกันนะคะ พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พี่ก็คงไม่อยากให้ฉันไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นจนถูกนินทาหรอกใช่ไหม?”
จ้าวซูซินกำลังจะจับแขนเสื้อของฉินซือ แต่ก็ถูกเขาสะบัดออกไป
เขาไม่ชอบให้คนอื่นมาจับตัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่เขาไม่ชอบหน้า จ้าวซูซินเอาแต่พูดจาข่มเหงลู่ฉิวเยว่อยู่ตลอดเวลา เธอไปเอาความกล้าหาญมาจากที่ไหนกัน?
“กลัวถูกคนนินทางั้นเหรอ? เธอจะกลัวทำไม ภาพลักษณ์ของเธอก็ไม่ได้ขาวสะอาดอยู่แล้วนี่”
ฉินซือพูดออกมาอย่างเย็นชาไม่มีเยื่อใย ไม่ใช่แค่จ้าวซูซินจะหน้าซีดเท่านั้น แม้แต่ลู่ฉิวเยว่ที่กำลังยืนมองร้านค้าฝั่งตรงข้ามด้วยความตื่นเต้นก็ยังตกตะลึงเช่นกัน
คำพูดอันเย็นชาของฉินซือกรีดแทงเข้าไปในหัวใจของจ้าวซูซิน
แต่เธอก็ยังไม่หยุด เธอไม่ใช่แม่ชีสักหน่อย เธอไม่ผิดที่จะพยายามครอบครองคนที่เธอรักมาตั้งแต่แรก ถ้าการสืบสวนไม่ถูกแทรกแซง ป่านนี้ลู่ฉิวเยว่ก็คงต้องเข้าไปอยู่ในคุกแล้วด้วยซ้ำ
“พี่!” จ้าวซูซินโกรธแค้นจนน้ำตาแทบไหล เธอจ้องมองฉินซือโดยหวังว่าเขาจะใจอ่อนลง
แต่เธอไม่รู้เลยว่ายิ่งเธอทำแบบนี้ เขาก็ยิ่งรำคาญใจมากขึ้น เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอดูแลตัวเองให้ดีเถอะ!” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ดึงลู่ฉิวเยว่ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม
เขากางแขนขึ้นเพื่อปกป้องเธอ กลัวว่าเธอจะถูกคนที่เดินสวนมาบนถนนชนเข้า จ้าวซูซินจ้องมองภาพนี้ด้วยดวงตาแดงก่ำ เธอรู้สึกอิจฉาริษยา ปรารถนาให้ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเป็นตัวเธอเอง
ในตอนนี้ จ้าวซูซินยิ่งรู้สึกเกลียดชังลู่ฉิวเยว่มากขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ ฉินซือก็คงไม่ทำกับเธอแบบนี้ ลู่ฉิวเยว่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เธอมีทั้งเงินและอำนาจ แล้วแม่ครัวที่ทำเป็นแต่หั่นผักแล่ปลามีค่าอะไรที่จะเป็นเจ้าของหัวใจของฉินซือ?
เมื่อรถยนต์ของฉินซือเคลื่อนที่ออกจากลานจอด ลู่ฉิวเยว่ก็กำลังรับประทานน้ำตาลปั้นด้วยความกระฟัดกระเฟียด
“เป็นอะไร? คุณอารมณ์ไม่ดีเหรอ?” ฉินซือขับรถพร้อมกับหันไปชำเลืองมองเธอตลอดเวลา ลู่ฉิวเยว่เป็นแบบนี้ตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนรถ เขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
หรือว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจกับการปรากฏตัวของจ้าวซูซิน? ฉินซือยิ่งโทษตนเองมากขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอก็คงไม่ต้องมาพบเจอปัญหาแบบนี้
ในจังหวะที่เขากำลังจะขอโทษ ลู่ฉิวเยว่ก็พูดออกมาว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่กำลังคิดถึงเรื่องมหาวิทยาลัย”
รถยนต์แล่นเข้าสู่ถนนเส้นใหญ่ ฉินซือหันหน้ากลับไปและพูดอย่างจริงจัง “ถ้าคุณอยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมหาคนช่วยแนะนำให้คุณได้นะ”
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าขึ้นมาทันที “ฉันอยากจะสอบเข้าด้วยตัวเองค่ะ”
ในชาติที่แล้ว ลู่ฉิวเยว่เป็นนักศึกษาระดับแนวหน้าของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับประเทศ เธอไม่เคยขอให้ใครใช้เส้นสายช่วยเหลือเลยแม้แต่ครั้งเดียว และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำเร็จด้วยความสามารถของตนเองนั้นมีค่ามากกว่าการเป็นเด็กฝากของใครหลายเท่า