สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 69 ความโอหังของของซูหลิน
บทที่ 69 ความโอหังของของซูหลิน
บทที่ 69 ความโอหังของของซูหลิน
ระหว่างทางกลับ ลู่ฉิวเยว่มีสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นแล้ว เธอหันไปมองฉินซือที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขายังคงมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม เธอถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่ได้โกรธแล้ว ทำไมเขาถึงยังโกรธอยู่นะ
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอยิ้มออกมา “ไม่เห็นต้องไปอารมณ์เสียกับคนแบบนั้นเลย”
“ครับ” ฉินซือพยักหน้า เขาไม่ได้โกรธที่ตัวเองถูกหักหน้า แต่เขาโกรธที่อีกฝ่ายไม่ไว้หน้าลู่ฉิวเยว่เลยต่างหาก
“คุณจะไปไหน?”
“ไปบ้านผม”
เมื่อดูจากทิศทางที่รถกำลังแล่นไป บ้านที่เขาพูดถึงก็น่าจะเป็นที่พักของเขาในตัวอำเภอนั่นเอง
ตอนที่กำลังจะจอดรถ ฉินซือก็หันมายิ้มให้กับเธอและถามว่า “ผมจะเข้าไปโทรศัพท์สักหน่อย คุณอยากเข้าไปจิบน้ำชาสักหน่อยไหม”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า เธอไม่อยากนั่งรออยู่ที่นี่คนเดียว มันน่าเบื่อเกินไป แล้วเธอก็อยากจะเห็นด้วยว่าโทรศัพท์ของเขามีหน้าตาเป็นยังไง
ในยุคสมัยนี้มีแต่ความยากลำบาก เวลาที่เธอจะโทรศัพท์สักที เธอต้องใช้เวลาเดินถึง 10 นาทีกว่าจะถึงตู้โทรศัพท์ในตัวเมือง
เธอก็อยากจะติดตั้งโทรศัพท์บ้านเหมือนกัน แต่ในยุคสมัยนี้ มีเพียงคนหยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถติดโทรศัพท์บ้านได้ นอกจากจะต้องมีเงินแล้ว ที่สำคัญคือยังต้องมีเส้นสายและอำนาจ สุดท้ายเธอก็เลิกล้มความคิดนั้นไป
“เข้ามาสิ”
ประตูบ้านของฉินซือเป็นประตูเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่ มันถูกทาอย่างหยาบ ๆ สามารถเห็นร่องรอยความเก่าแก่ได้จาง ๆ
หลังประตูเป็นชั้นวางรองเท้า มีแต่รองเท้าหนังสีดำเต็มไปหมด ลู่ฉิวเยว่แยกไม่ออกเลยว่าทุกคู่ต่างกันตรงไหน
ฉินซือไม่ได้เปลี่ยนรองเท้าของเขาทันที แต่เขาหยิบรองเท้าคู่หนึ่งมาให้เธอก่อน มันเป็นสีชมพูอ่อนลวดลายดอกทานตะวัน เหมาะสำหรับให้ผู้หญิงใส่มาก
ลู่ฉิวเยว่ประหลาดใจที่มีรองเท้าสีสันอ่อนหวานเช่นนี้อยู่ร่วมกับรองเท้าของเขาด้วย
ฉินซือกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า “ผมเตรียมเอาไว้ให้คุณ”
เขาซื้อรองเท้าคู่นี้มาตั้งแต่ตอนที่ย้ายเข้ามา โดยคิดว่าเธอน่าจะใส่มันได้ตอนที่มานั่งเล่นบ้านของเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดเลยว่าตนเองจะงานยุ่งมากและเธอก็งานยุ่งมากเหมือนกัน กว่าที่เธอจะมาบ้านเขาเป็นครั้งแรกเวลาก็ล่วงเลยมานานขนาดนี้
“อ้อ” หญิงสาวรับคำเบา ๆ เมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าฉินซือกำลังจะก้มเปลี่ยนรองเท้าให้เธอ ลู่ฉิวเยว่ก็ขยับเท้าหนีและพูดว่า “ฉันเปลี่ยนเองได้”
นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าว เธอเองก็มีมือมีเท้า จึงไม่จำเป็นที่เขาต้องเปลี่ยนรองเท้าให้เธอเลย
ฉินซือไม่ควรจะต้องก้มหัวให้กับใคร แม้แต่กับเธอ
หลังจากพูดจบแล้ว เธอก็รีบย่อตัวลงเพื่อเปลี่ยนรองเท้าโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาอีก
ฉินซือหยุดชะงัก เขาพยักหน้า เปลี่ยนรองเท้าของตนเอง และเดินเข้าไปในห้องครัว จากนั้นนำเครื่องดื่มออกมาหลายชนิด “มีน้ำผลไม้ น้ำเปล่า นม เครื่องดื่มอื่น ๆ อยู่ในตู้เย็น คุณไปหยิบได้ตามสบายเลยนะ”
หลังจากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปโทรศัพท์
ชายหนุ่มไม่มีโทรศัพท์ของผู้จัดการโรงงาน และเขาก็ไม่อยากพูดอะไรกับเจ้าทึ่มคนนั้น ดังนั้นเขาจึงโทรไปหาเพื่อนของพ่อเขาแทน
“สวัสดีครับ ผมฉินซือ ต้องการเรียนสายคุณลุงซูครับ”
“ฉันกำลังพูดอยู่” ซูหลิงแปลกใจ แต่ก็รู้ว่าชายหนุ่มโทรมาหาตนเองทำไม
เขาประทับใจลูกชายของเพื่อนรักคนนี้มาก ฉินซือเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นเจ้าของกิจการห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง แล้วก็ยังมีธุรกิจน้อยใหญ่อีกมากมาย ทุกครั้งที่เพื่อนของเขาพูดถึงลูกชายของตัวเอง เพื่อน ๆ อดีตทหารเก่าทุกคนได้แต่ชื่นชมออกมา ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอหน้ากันก็คือเมื่อปีที่แล้ว…
หลังจากที่ฉินซือทักทายพอเป็นพิธี เขาก็บอกเล่าถึงปัญหาในวันนี้ให้ผู้อาวุโสรับฟัง และเขาก็บอกด้วยว่าลู่ฉิวเยว่เป็นแฟนของเขาเอง
“ว่าไงนะ! มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง! รอเดี๋ยวก่อน ฉันจะต้องให้เจ้าเด็กเวรนั่นอธิบายอย่างแน่นอน!”
ซูหลิงโกรธจนควันออกหู เขาดำรงชีวิตด้วยความซื่อสัตย์มาตลอดและไม่เคยสอนให้ลูกชายทำตัวแบบนี้เลย
“ได้ครับ ขอบคุณคุณลุงซูมากครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ฉินซือพูดด้วยความเคารพ
ซูหลิงตอบรับด้วยความขุ่นเคืองใจ ก่อนจะวางสายไป
“เป็นไงบ้างคะ?” เมื่อเห็นว่าฉินซือโทรศัพท์เสร็จแล้ว เธอก็โน้มตัวเข้ามาถามด้วยความเป็นกังวล
ฉินซือยิ้มเพื่อปลอบโยนเธอ “ไม่ต้องห่วง คุณลุงซูเป็นคนยุติธรรม พวกเราจะต้องได้รับคำอธิบายแน่นอน”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า เธอไม่สนใจเรื่องนี้หรอก แต่เธอกลัวว่าเธอจะทำให้เขามีปัญหาเอาได้
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่อีกพักหนึ่งก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น
ฉินซือเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ “สวัสดีครับ ผมฉินซือ”
“ฉินซือ? อ้อ คุณคือคนที่มาหาผมใช่ไหม?” คนที่โทรมาไม่มีหางเสียง น้ำเสียงอวดดีผสมเหยียดหยาม
ฉินซือเลิกคิ้วขึ้นสูง เขาถามกลับไปเบาๆ ว่า “ใช่ คุณคงเป็นซูหลินสินะ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบแต่พูดกลับมาว่า “ตอนนี้ผมอยู่ในโรงงานแล้ว พวกคุณกลับมาได้”
อีกฝ่ายวางสายไปทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ฉินซือพูดคำใด
ช่างอวดดีและเหิมเกริมเหลือเกิน
ฉินซือไม่เคยได้ยินใครพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงหัวเราะเยาะ อยากจะเห็นว่าคนแบบนี้เป็นคนประเภทไหนกันแน่
“มีอะไรเหรอคะ?” ลู่ฉิวเยว่โน้มตัวเข้ามาถามเมื่อเห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยสู้ดี
“ไม่มีอะไรหรอก พวกเราไปกันดีกว่า” ฉินซือรีบเปลี่ยนสีหน้าของตนเอง เขายิ้มออกมา หยิบเสื้อโค้ทจากโซฟา และเปิดประตูให้เธอ
ถ้าเขาเจอคนแบบนี้ในวงการธุรกิจ เขาจะไม่ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับลู่ฉิวเยว่ ฉินซือยินดีอดทนเพื่อเธอ
ลู่ฉิวเยว่เดินตามเขาออกไป
พวกเขาไปถึงโรงงานตอนบ่าย อาจจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากซูหลิน ครั้งนี้ยามที่หน้าประตูก็ไม่ได้หยุดพวกเขาอีก แต่รีบมาเปิดประตูให้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน
“มาแล้วเหรอ?” ประตูห้องทำงานของผู้จัดการโรงงานเปิดไว้อยู่ ลู่ฉิวเยว่ได้ยินเสียงพูดเบาๆ ดังออกมาจากหลังประตูเมื่อเธอเดินเข้าไป ถ้าเธอได้ยินไม่ผิด ในน้ำเสียงนั้นมีความรู้สึกของการดูถูกดูแคลนรวมอยู่ด้วย
ซูหลินจ้องมองเธอด้วยสายตาน่ารังเกียจราวกับว่าเธอเป็นวัตถุสิ่งของอะไรสักอย่าง แต่หญิงสาวก็ไม่ได้โกรธ เธอพยักหน้า “สวัสดีค่ะ ฉันลู่ฉิวเยว่”
เขาเชิดคางขึ้นและบอกให้เธอนั่งลงข้างๆ เขา
ฉินซือมีสีหน้าเย็นชามากกว่าเดิม เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่ขวาของลู่ฉิวเยว่ก่อนจะพาเธอไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามและตนเองก็นั่งลงข้างเธอ
“อยากจะมาคุยเรื่องธุรกิจกับผมใช่ไหม?” ซูหลินพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาข้ามการทักทายฉินซือไปทันที บรรยากาศระหว่างทั้ง 3 คนค่อนข้างน่าอึดอัด
“ใช่ค่ะ” ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า เธอหยิบตลับขี้ผึ้งที่นำมาจากร้านขายยาออกจากกระเป๋า
“อ้อ ไม่ต้องเอาออกมาหรอก ผมเห็นแล้ว” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะนำตลับขี้ผึ้งออกมา ซูหลินก็พูดช้า ๆ ว่า “ผมว่าขี้ผึ้งของคุณมันกระจอกมากเกินไป ของแบบนี้หาซื้อได้ตามข้างถนน โรงงานของเราไม่รับผลิตของคุณภาพต่ำแบบนี้”
ถ้าพ่อของเขาไม่โทรมาบังคับให้รับแขก เขาก็คงไม่มาดูเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว เพราะร้านขายยาเล็ก ๆ ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของเขาเลย
ถึงจะปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือ แต่ซูหลินก็ยังถามเธอพร้อมกับยิ้มกว้าง “คุณเป็นแฟนของฉินซือใช่ไหม?”
หลังจากพูดจบ เขาก็ใช้สายตาสำรวจเรือนร่างของเธออย่างนึกสนุก “ผอมแห้งแรงน้อยอย่างคุณจะทำอะไรบนเตียงได้บ้างเนี่ย”
มือที่กำลังถือตลับขี้ผึ้งของลู่ฉิวเยว่หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเธอเย็นชาขึ้นมาทันที แต่อีกฝ่ายเป็นถึงลูกชายของเพื่อนพ่อฉินซือ ถึงเธอจะรู้สึกโกรธมาก แต่เธอก็ไม่อยากทำให้มันเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นเธอจึงนั่งอยู่ที่เดิม
แต่ในทันใดนั้นเอง หูของเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ เป็นเสียงของฉินซือ เขามีสีหน้าที่โกรธแค้น ชายหนุ่มคว่ำโต๊ะตรงหน้าล้มลงไป ข้าวของที่อยู่บนโต๊ะกระจายเต็มพื้น
ลู่ฉิวเยว่ตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะลงมือ เธอก็รีบห้ามปราม “ฉินซือ!”
เธอรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มข้างกายอารมณ์เย็นลง ก่อนที่เธอจะยิ้มตอบกลับไปด้วยความเหยียดหยาม “คุณซูคะ ไม่คิดว่านี่เป็นการดูถูกผู้หญิงเกินไปหน่อยหรือไง?”
ซูหลินเชิดหน้าขึ้น ไม่แสดงความคิดเห็น