สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 64 ลู่เจี๋ยหรงกลับมาอีกครั้ง
บทที่ 64 ลู่เจี๋ยหรงกลับมาอีกครั้ง
บทที่ 64 ลู่เจี๋ยหรงกลับมาอีกครั้ง
เวลา 5 โมงเย็น ลู่ฉิวเยว่ลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ร้านค้าบางร้านเริ่มเปิดไฟสว่าง
แสงสีส้มทำให้ผู้คนนึกถึงความอบอุ่นเสมอ เมื่อจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ในแสงสีส้มนั้น หัวใจของเธอก็อดรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาไม่ได้
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” ลู่ฉิวเยว่วิ่งเข้าไปหาเขา
ฉินซือยิ้มและช่วยเธอถือกระเป๋าสัมภาระ “ผมได้ยินจากคุณป้าว่าคุณมาที่นี่ ผมก็เลยมาดูหน่อย”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้ม เธอนั่งลงบนเบาะที่นั่งข้างคนขับ “ถ้าคุณไม่มา ฉันคงต้องเดินกลับไปแล้ว”
เธอไม่อยากเดินกลับบ้านตอนมืดค่ำ ถนนนี้มีซอยเปลี่ยวที่มืดมากเกินไปและมันก็ทำให้เธอขนลุกเสมอ
“หวังเซวียนเซวียนมีพรสวรรค์ด้านเครื่องยนต์ ผมอยากจะฝึกสอนเขา”
ระหว่างทาง ลู่ฉิวเยว่ง่วงจนเกือบจะหลับ ตอนที่เธอได้ยินเขาพูดคำนั้นออกมา เธอก็ตาสว่างขึ้นทันที “จริงเหรอคะ?”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ถ้าลูกพี่ลูกน้องของเธอรู้เรื่องนี้ เขาคงดีใจไปทั้งวัน
ฉินซือพยักหน้าและพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “ผมจะโกหกคุณได้ยังไง? เขามีพรสวรรค์และอยากจะทำงานหนัก ผมต้องการจะฝึกสอนเขาให้ดี เพื่อที่เขาจะได้ทำงานอยู่ในแผนกค้นคว้าและพัฒนาให้กับโรงงานของเราในอนาคต”
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโตและยิ้มกว้าง ก่อนถามว่า “แผ่นแปะแก้ปวดที่คุณนำกลับไปให้คุณลุงเมื่อครั้งที่แล้วทำให้อาการปวดขาดีขึ้นไหมคะ?”
ฉินซือยิ้ม พ่อของเขาเป็นคนไม่ยอมเสียหน้า และกลัวว่าคนอื่น ๆ จะได้กลิ่นแผ่นแปะแก้ปวดจากตัวของท่าน ดังนั้นพ่อของเขาจึงไม่ค่อยได้ติดเท่าไหร่ โดยอ้างว่าลูกผู้ชายย่อมไม่กลัวความเจ็บปวดอยู่แล้ว
เขาจ้องมองแฟนสาวของตนเองด้วยดวงตาเป็นประกาย ไม่อยากทำลายความหวังดีของเธอ จึงตอบว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวเจอหน้าคงต้องถามสักหน่อย”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็เปลี่ยนเรื่อง “ครั้งหน้าถ้าคุณจะกลับไปที่หมู่บ้านเก่าอีก ให้ผมพาไปนะ คุณไม่ต้องไปขึ้นรถบัสแบบนั้นเลย คนเยอะเกินไป เดี๋ยวคุณก็โดนเบียดจนตัวแบนหมด”
แล้วรถยนต์ก็หยุดลง ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ให้คำตอบ เธอลากกระเป๋าลงจากรถ บอกลาเขา และรีบวิ่งขึ้นบันไดบ้านไปทันที
เธอรู้ว่าฉินซือยุ่งมาก เธอไม่อยากทำให้งานของเขาล่าช้า แล้วเธอก็ไม่ใช่คุณผู้หญิงผู้สูงศักดิ์มาจากที่ไหน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าขึ้นรถประจำทางไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร
ในวันนี้ ลู่ฉิวเยว่ไปที่หมู่บ้านชนบทเพื่อซื้อสมุนไพรอีกครั้ง เมื่อเธอลงมาจากรถ เธอก็เห็นลุงเซิงเดินเข้ามาหา
เธอเบิกตาโต พูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “มีอะไรเหรอคะ ลุงเซิง?”
“ยาที่คุณจัดไว้ครั้งที่แล้วขายหมดเกลี้ยง ผลตอบรับดีมาก มีคนมาถามหายาชุดใหม่ทุกวัน คุณช่วยไปจัดยาเพิ่มหน่อยได้ไหม?”
ตอนนี้อากาศหนาวเย็นมากขึ้น มีคนต้องเจ็บปวดเพราะโรคปวดตามไขข้อและอาการปวดท้อง ชุดยาจีนที่ลู่ฉิวเยว่จัดขึ้นมานั้นขาดแคลน วางขายเพียง 2 วันขายหมดแล้ว ดังนั้น ลุงเซิงจึงรู้สึกร้อนใจ
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า ยาพวกนั้นจะช่วยจูงใจให้ทุกคนกลายเป็นลูกค้าร้านเธอในระยะยาว ยอดขายภายในร้านจึงสูงขึ้นเป็น 2 เท่า
“รอหน่อยนะคะ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะจัดให้” เธอยิ้ม ก่อนจะหันไปช่วยคนขับรถกระบะยกถุงสมุนไพรลงมา
“สัญญาแล้วห้ามคืนคำนะ” ลุงเซิงยิ้ม เขาต้องการจะช่วยยกสมุนไพร แต่หญิงสาวก็ยกสมุนไพรเหล่านั้นเข้าไปในร้านด้วยตนเอง ถึงชายชราจะยังกระฉับกระเฉงอยู่ แต่เขาก็ไม่ใช่คนหนุ่มอีกแล้ว ถ้าหกล้มไปจะทำอย่างไร?
“ลู่ฉิวเยว่!”
ลู่ฉิวเยว่กำลังยกถุงใส่สมุนไพรใบใหญ่ เธอมองไม่เห็นหน้าคน มองเห็นแต่รองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่งที่ถูกขัดมันอย่างดี
ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายเลย แต่เธอก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครจากเสียงที่คุ้นหู
ลู่ฉิวเยว่ไม่ตอบคำใด เธอยกสมุนไพรเข้าไปเก็บในร้านก่อนจะกลับออกมา
“มีอะไรอีก?” ลู่ฉิวเยว่ขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่คู่แม่ลูกลู่เจี๋ยหรง
พวกเธอแต่งตัวหรูหรามากในวันนี้ ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง กระโปรงของลู่เจี๋ยหรงน่าจะเป็นของนำเข้า ส่วนป้าลู่ก็ใส่สร้อยทองสร้อยข้อมือเต็มตัว เหมือนกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าตนเองรวยแล้ว…
ลู่ฉิวเยว่เบิกตาโต ไม่เข้าใจว่าแม่ลูกคู่นี้จะกลับมาทำอะไรอีก
“ก็ต้องมีเรื่องน่ะสิ” ลู่เจี๋ยหรงยิ้มด้วยความภาคภูมิใจและเชิดหน้าขึ้น “ฉันกำลังจะแต่งงานกับเถาหลินเซินในอีกไม่กี่วัน พวกเราเคยเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันเลยเอาบัตรเชิญมาส่ง”
ทันทีที่เธอพูดจบ ป้าลู่ก็ยัดบัตรเชิญหลายใบเข้ามาในมือของลู่ฉิวเยว่ หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว บัตรเชิญจึงหล่นเต็มพื้น
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกรำคาญสองแม่ลูกจึงไม่ได้ก้มเก็บ เธอเพียงแค่ยกมือกอดอกและรอคอยให้อีกฝ่ายพูดให้จบ
แน่นอนว่าวินาทีต่อมา ลู่เจี๋ยหรงก็พูดออกมาอีกครั้ง
“แหม ดูเธอสิ เนื้อตัวมีแต่ดินโคลน สภาพอย่างกับชาวไร่ชาวนา ไปงานแต่งฉันไม่ต้องไปสภาพนี้นะ ฉันอายคน” พูดจบแล้วลู่เจี๋ยหรงก็ทำเหมือนกับได้พบเจออะไรที่สกปรกมาก เธอยกมือปิดจมูกและก้าวถอยหลัง แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
เหมือนเห็นหนูโสโครกอย่างไรอย่างนั้น
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาด้วยความโกรธแค้น เธอยังไม่ได้มีเวลาล้างเนื้อล้างตัวก็จริง แต่เธอก็ไม่ได้สกปรกขนาดนั้นสักหน่อย แม่ลูกคู่นี้ทำให้เธอโมโหจริง ๆ
“ฉันจะไว้หน้าเธอก็แล้วกัน” หญิงสาวจ้องมองไปที่ลู่เจี๋ยหรงด้วยสายตาเยือกเย็น
ป้าลู่ยิ้มกว้าง ก่อนจะถามเสียงใสว่า “ถึงยังไงพวกเราก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกันมาก่อน เธอกับลู่เจี๋ยหรงถือเป็นสายเลือดตระกูลลู่ ในฐานะที่เป็นญาติสนิทกัน อย่างน้อยก็คงต้องใส่ซองช่วยงานแต่งซักหลักพันไม่ใช่หรือไง? เธอเปิดร้านอาหารใหญ่โต น่าจะมีเงินไม่ใช่เหรอ”
ลู่ฉิวเยว่อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้ สุดท้ายแม่ลูกคู่นี้ก็มาเพราะเรื่องเงินจริง ๆ ไม่รู้เลยว่ายังเหลือจิตสำนึกอยู่อีกหรือไม่?
เงินจำนวนนับพันหยวนสามารถซื้อบ้านได้แล้ว ต่อให้เป็นนักธุรกิจชื่อดังในประเทศ ก็คงไม่ใส่ซองช่วยงานแต่งเยอะขนาดนั้น
“จะเอาเป็นพันหยวนเลยเหรอ? แค่ไปร่วมงานก็ถือว่าให้เกียรติมากพอแล้วไหม” ลู่ฉิวเยว่ยกมือกอดอกเชิดหน้าขึ้น
ลู่เจี๋ยหรงมีสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมาทันที ไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำตัวสูงส่งได้อีกต่อไป เธอเกลียดท่าทางถือดีของลู่ฉิวเยว่เป็นที่สุด เพียงแค่ตัวเองเปิดร้านอาหารได้สำเร็จ ก็ทำตัวข่มเธอได้แล้วงั้นหรอ!
จริงอยู่ที่ลู่ฉิวเยว่น่าจะทำเงินได้เยอะแยะ
แต่ก็คงไม่รวยเท่ากับบ้านของเถาหลินเซินหรอก เขามีรายได้วันละ 10 หยวน นั่นเท่ากับเงินเดือนของคนงานทั่วไปหนึ่งเดือนเชียวนะ! ถ้าไม่ได้คาดหวังให้ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่ใส่ซองช่วยงานแต่งซักพันหยวน ลู่เจี๋ยหรงก็คงไม่เสียเวลามาพูดคุยถึงที่นี่หรอก
ลู่ฉิวเยว่ไม่สมควรได้ไปงานแต่งงานของเธอด้วยซ้ำ!
ลู่เจี๋ยหรงกำลังจะอาละวาดด้วยความโกรธแค้น แต่คนเป็นแม่ก็ห้ามเอาไว้ก่อน “เธอต้องช่วยงานแต่ง 3,000 หยวน ห้ามน้อยไปกว่านั้น”
หลังจากพูดจบแล้ว หญิงวัยกลางคนก็ก้มเก็บบัตรเชิญและยัดใส่มือลู่ฉิวเยว่ คราวนี้ ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ทิ้งพวกมันลงพื้นอีกแล้ว แต่เธอถือพวกมันเอาไว้แน่น
เมื่อได้ยินประโยคนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็รู้สึกประหลาดใจ “ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าจะใส่ซองช่วยงาน?”
หลังจากพูดจบแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็ถือบัตรเชิญหมุนตัวเดินหนี ไม่สนใจเลยว่าสองแม่ลูกจะตะโกนด่าไล่หลังอย่างไรบ้าง
เธอได้แต่แอบบ่นอยู่ในใจว่าแม่ลูกคู่นี้ทำตัวไม่ต่างไปจากขอทาน ไม่ทราบเลยว่าสมองเลอะเลือนกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร ครั้งต่อไปเธอคงต้องให้ลุงเซิงช่วยจัดการหน่อยแล้ว
ตอนแรกเธอไม่อยากรับบัตรเชิญเอาไว้เลย แต่จะไม่รับก็ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาเธอคงต้องไปร่วมงานพร้อมกับพ่อของเธอ
พ่อของเธอเป็นคนอ่อนโยน ในยุคสมัยนี้ เลือดข้นกว่าน้ำ พ่อจะต้องไปร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งอย่างแน่นอน และแม่ของเธอก็คงจะต้องตกตะลึงกับภาพลักษณ์ใหม่ของสองแม่ลูกตัวแสบ ซึ่งก็คงปฏิเสธการไปร่วมงานไม่ได้อีกเช่นกัน