สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 54 การพิสูจน์ความจริง
บทที่ 54 การพิสูจน์ความจริง
บทที่ 54 การพิสูจน์ความจริง
“อ้าว! จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันคะ? ผู้ชายคนนั้นชนคุณจนล้มขาหัก ทำให้คุณเลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้ เขาทำให้ครอบครัวของคุณต้องเดือดร้อน เดี๋ยวร้านของฉันจะช่วยเป็นพยานยืนยันให้คุณเอง!” ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ตอนนี้เธอเหมือนนางเอกในละครคุณธรรมไม่มีผิด
หรือถ้ามีการชิงรางวัลนักแสดงดีเด่นประจำเมือง เธอก็จะต้องได้ตำแหน่งนั้นอย่างแน่นอน
“ใช่! เราต้องทำให้เขาชดใช้ให้หนัก!” ทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับการพาชายคนเจ็บไปตรวจร่างกายเพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานมัดตัวคนกระทำผิด
“เอ่อ ไม่เห็นจำเป็นเลย” ชายวัยกลางคนยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทุกคนไม่สนใจเลยว่าเขาจะพูดอะไร ทุกคนอยากจะพาเขาไปรักษาขาก่อนเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าตนเองจะต้องเข้าไปตรวจในร้านขายยาจีนจริง ๆ ชายวัยกลางคนก็มีใบหน้าซีดขาวด้วยความตื่นกลัว “โอ๊ย…ฉันเจ็บขาจะไม่ไหวแล้ว! ฉันอยากไปโรงพยาบาลมากกว่า ร้านขายยาที่นี่จะมารักษาขาฉันได้ยังไง”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเข้าไปตรวจในร้านขายยาจีน ชายวัยกลางคนพยายามถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด
“โรงพยาบาลอยู่ตั้งไกล ตรวจที่นี่ก่อนเถอะค่ะ ถ้ามีปัญหาใหญ่จริง ๆ เดี๋ยวฉันเรียกรถพยาบาลมารับ ฉันออกค่าใช้จ่ายให้หมดเลย” ลู่ฉิวเยว่ยังคงพูดด้วยความมุ่งมั่นต่อไปและขอร้องให้คนแถวนั้นช่วยยกชายวัยกลางคนเข้าไปในร้านขายยาจีน
ลุงเซิงกำลังจัดยาอยู่ภายในร้าน เมื่อเขาเห็นกลุ่มคนกำลังเดินเข้ามา หมอยาอาวุโสก็ถึงกับหยุดชะงักและรีบเข้าไปดู “คุณลู่ ผู้ชายคนนี้โดนอะไรมาเหรอ?”
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้าและชี้มือไปยังชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนแผ่นไม้กระดาน “เขาบอกว่าพี่ชายคนนี้ทำขาเขาหักค่ะ คุณลุงช่วยตรวจดูหน่อยนะคะ”
ลุงเซิงตกตะลึง ขาหักไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ควรขยับตัวคนเจ็บโดยพละการเช่นนี้ เพราะมีแต่จะทำให้กระดูกเคลื่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น
แต่การที่ลู่ฉิวเยว่พาคนเจ็บเข้ามาในร้านแสดงว่าต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง ลุงเซิงพยักหน้าพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า กำลังจะใช้กรรไกรตัดผ้าที่พันอยู่รอบหัวเข่าของคนเจ็บออก เพื่อตรวจสอบขาของคนเจ็บอย่างละเอียด
ชายวัยกลางคนตื่นตกใจ เขารีบจับผ้าพันหัวเข่าแน่นไม่ให้กรรไกรตัดเข้ามา เขาหันไปร้องบอกกลุ่มคนที่เดินตามเข้ามาดูสถานการณ์ว่า “คนพวกนี้เป็นพวกเดียวกัน พวกมันไม่อยากจ่ายเงินค่าเสียหายให้ฉัน ใครก็ได้รีบพาฉันออกไปที่นี่ที ฉันจะไปโรงพยาบาล!”
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “พี่ชาย มือของคุณกดลงไปบนบาดแผลอย่างนั้น คุณไม่เจ็บเลยหรอ?”
ชายวัยกลางคนสะดุ้งรีบปล่อยมือออกและแสดงสีหน้าเจ็บปวด แต่โชคร้ายที่สายเกินไป ชาวบ้านทุกคนต่างก็เห็นความไม่ชอบมาพากลกันหมดแล้ว
ลู่ฉิวเยว่แกล้งยกขาขึ้นทำท่าเหมือนจะเตะเขา ชายวัยกลางคนตกใจจนต้องกระโดดหลบ
ชาวบ้านที่รวมตัวอยู่โดยรอบมีใบหน้าซีดขาวด้วยความตกใจทันที ผู้ชายคนนี้เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง พวกเขาเกือบจะหลงกลเสียแล้ว!
เมื่อจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่ถูกใส่ร้ายก่อนหน้านี้ กลุ่มชาวบ้านก็รู้สึกละอายแก่ใจ และพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังชายวัยกลางคนมิจฉาชีพผู้นี้มากขึ้น
ชายวัยกลางคนมีใบหน้าซีดขาว
ในจังหวะนั้น นายตำรวจหนุ่มนำบัตรตำรวจออกมาจากกระเป๋าแล้วพูดว่า “ผมสวีชางโจว เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีประจำอำเภอ หวังว่าทุกคนคงจะไม่หลงกลนักต้มตุ๋นง่าย ๆ ในอนาคตนะครับ หรือถ้าใครพบเจอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ก็ขอให้มาแจ้งความที่สถานีตำรวจได้เลย เดี๋ยวทางตำรวจจะค้นหาความจริงให้เอง เราไม่มีทางปล่อยให้คนผิดลอยนวลเด็ดขาด”
สีหน้าของคนที่พูดก่อนหน้านี้ว่าจะจับชายหนุ่มส่งสถานีตำรวจเปลี่ยนแปลงไปในทันที พวกเขาอับอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนี
ส่วนชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ได้แต่พยักหน้ารับปากว่า “พวกเราจะตั้งสติให้ดีในอนาคต พวกเราจะได้ไม่หลงกลคนชั่ว ทำให้คนดีถูกเข้าใจผิดง่าย ๆ แบบนี้อีก”
ชายวัยกลางคนหยุดชะงัก เขาไม่คิดเลยว่าตนเองอยู่ในวงการนี้มาหลายปีแล้วยังมีวันที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้! เขารีบแหวกกลุ่มชาวบ้านวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วโดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
นายตำรวจหนุ่มรีบวิ่งตามไป แต่ด้วยความที่มีชาวบ้านมายืนเกะกะ สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงยืนมองนักต้มตุ๋นวิ่งหนีไปและพยายามจดจำใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ในใจ
ถ้านักต้มตุ๋นคนนี้พยายามจะลงมืออีก เขาจะต้องจับมาสั่งสอนให้ได้!
ลู่ฉิวเยว่ใช้โอกาสนี้รีบโปรโมตร้านขายยาจีนของตัวเองทันที “ขอต้อนรับทุกคนสู่ร้านขายยาจีนน้องใหม่นะคะ ต่อให้เป็นนักต้มตุ๋นแบบนี้ก็มาที่ร้านของเราได้เหมือนกัน! ไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ!”
คำพูดของเธอทำให้ทุกคนหัวเราะลั่น “ได้เลย ถ้าคราวหลังพวกเราเจอนักต้มตุ๋นอีก เราจะรีบพามาที่นี่ทันที!”
ลู่ฉิวเยว่โล่งใจมากที่ไม่นานหลังจากนั้น ร้านขายยาจีนของเธอก็ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งท้องถนน ชาวบ้านเอาไปพูดกันปากต่อปาก ลู่ฉิวเยว่ยิ้มอย่างมีความสุขทั้งบนใบหน้าและในหัวใจ
สวีชางโจวไม่คิดจริง ๆ ว่าลู่ฉิวเยว่จะมีมุมที่ขี้เล่นอย่างนี้ด้วย เธอดูเหมือนนักธุรกิจผู้เย็นชาตอนที่เขาเจอเธอบนสถานีตำรวจครั้งสุดท้าย แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่แค่อยากจะหยอกล้อผู้คนเท่านั้น
“ขอบคุณมากนะครับ คุณลู่” เขายิ้ม
ลู่ฉิวเยว่รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ฉันควรช่วยเหลือตำรวจจับคนร้ายอยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ เธอก็เชิญให้เขานั่งดื่มน้ำชาอยู่ในร้านขายยา
วันนี้เป็นวันลาหยุดของสวีชางโจว เขาคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบรับคำเชิญ
น้ำชาที่ถูกชงในร้านขายยาเป็นชาที่ลู่ฉิวเยว่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าเมื่อครั้งที่แล้ว มันเป็นใบชาที่มีราคา 2 หยวนต่อน้ำหนัก 1 ตำลึง ถึงจะไม่ใช่ชาคุณภาพสูง แต่ก็ไม่เลวร้ายสำหรับการรับแขก
“คุณลู่ไม่ได้ทำร้านอาหารแล้วเหรอครับ?” สวีชางโจวยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาจำได้ดีว่าเจ้าหน้าที่หลินพึ่งจะบอกว่าร้านอาหารของเธอขยายกิจการใหญ่โต แล้วทำไมอยู่ดี ๆ เธอถึงได้เปลี่ยนเป็นร้านขายยาจีน แถมที่นี่ยังเงียบเหงาเป็นอย่างมาก ดูเหมือนจะมีลูกค้าแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า “ร้านอาหารก็ยังทำอยู่ค่ะ แต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมาลูกค้าลดลงไปเยอะ ฉันไม่มีอะไรทำก็เลยลองมาเปิดร้านขายยาจีนที่นี่ดู”
สวีชางโจวพยักหน้า
“คุณตำรวจคงเข้าเวรกลางคืนบ่อย ใต้ตาเป็นรอยคล้ำหมดแล้ว ไม่ลองให้ลุงเซิงตรวจร่างกายดูหน่อยเหรอคะ บางทีอาจจะได้ยากลับไปกินก็ได้นะ?” ลู่ฉิวเยว่พูดพร้อมกับยิ้มกว้างที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจอันอ่อนโยน
ถ้าไม่มีคนพวกนี้ ชีวิตของเธอก็คงไม่ง่ายเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้แน่ ๆ
ก่อนที่สวีชางโจวจะรับคำ ลุงเซิงก็เดินเข้ามาด้วยความกระตือรือร้น เขาอยู่เฝ้าร้านจนเบื่อหน่าย แต่ละวันมีลูกค้าไม่มาก เมื่อได้ยินว่ามีคนต้องการจะตรวจร่างกาย เขาจึงไม่รอช้าที่จะแสดงฝีมือ
สวีชางโจวปล่อยให้คุณหมอชราเดินเข้ามาตรวจดู
“นอนไม่ค่อยหลับสินะครับ เป็นปัญหาเรื้อรังมาได้กว่า 3 ปีแล้ว” ลุงเซิงยังไม่ต้องจับชีพจรเลยด้วยซ้ำเขาก็สามารถวินิจฉัยได้ด้วยตาเปล่า การสังเกต การฟัง และการซักถามคือองค์ประกอบหลักในการตรวจโรคของแพทย์แผนจีน ซึ่งลุงเซิงมีความชำนาญเป็นพิเศษ
สวีชางโจวยืดตัวขึ้นด้วยความสงสัย คุณหมอคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเขานอนไม่ค่อยหลับ แถมเพียงมองด้วยตาเปล่าก็ยังสามารถระบุระยะเวลาได้อย่างแม่นยำอีกด้วย นี่เป็นเพียงการคาดเดาที่ถูกต้องเพราะโชคช่วยหรือเปล่า?
แต่ในวินาทีต่อมา ลุงเซิงก็ทำลายความคิดของนายตำรวจหนุ่มลงไป
“ความจริงไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกครับ คุณแค่กินอาหารไม่เป็นเวลา และเวลากินแต่ละครั้งก็จะกินเป็นจำนวนมาก ๆ คนที่เป็นตำรวจยิ่งทำงานหนักเท่าไหร่ ก็ยิ่งกินเยอะเท่านั้น แต่เมื่อกินเยอะมากเกินไป สุดท้ายก็จะทำให้นอนไม่หลับ”
“เอ๋?” สวีชางโจวอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่การวินิจฉัยของชายชราก็แม่นยำจริง ๆ ครั้งสุดท้ายที่เขาไปให้คุณหมอตรวจที่โรงพยาบาล คุณหมอก็ต้องซักถามอยู่พักใหญ่กว่าจะได้ข้อสรุปว่าอาการของเขาสามารถรักษาได้ง่าย ๆ ด้วยการกินอาหารให้เป็นเวลา รับประทานอาหารในจำนวนที่พอดี แล้วเขาก็จะกลับมานอนหลับได้เป็นปกติอีกครั้ง