สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 53 ขู่กรรโชกตบทรัพย์
บทที่ 53 ขู่กรรโชกตบทรัพย์
บทที่ 53 ขู่กรรโชกตบทรัพย์
“อืม”
ลู่ฉิวเยว่ซื้อร้านที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ มาได้สักพักหนึ่งแล้ว มันเคยเป็นร้านขายติ่มซำและคงถูกปรับปรุงใหม่เมื่อไม่กี่ปีก่อน สภาพจึงยังดูดีอยู่พอสมควร
ตอนนี้หมอยาจีนอาวุโสของเธอกำลังจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับวางขาย เมื่อไปยังหมู่บ้านสมุนไพรจีนแห่งนั้นครั้งที่แล้ว เธอได้สมุนไพรกลับมาไม่น้อย
ลู่ฉิวเยว่หาลูกจ้างเพิ่มอีกสองคนมาช่วยทำความสะอาดร้านใหม่ คาดการณ์ว่าอีกเพียงไม่กี่วันเธอก็น่าจะเปิดร้านขายยาแห่งนี้ได้แล้ว
และในเมื่อมันเป็นร้านขายยาจีน ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ลืมที่จะเปิดตัวให้ยิ่งใหญ่อลังการ เธอนำป้ายแดงมาแขวนไว้หน้าร้าน ตกแต่งหน้าร้านอย่างสวยงาม และมีการจุดประทัดในวันที่เปิดร้านด้วยเช่นกัน
ร้านขายยาของเธอตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรหนาแน่น ต่อให้เป็นช่วงที่ไม่มีคน แต่ก็จะมีผู้ที่ให้ความสนใจแวะเวียนมาดูที่หน้าร้านเสมอ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาและก้าวเดินออกไป “พี่ชายพี่สาวทุกท่าน วันนี้ร้านเปิดแล้ว พวกเราจะไม่คิดค่าปรึกษาเป็นกรณีพิเศษ แถมราคายาจีนยังลดมากถึง 40% สนใจเข้ามาดูก่อนได้นะคะ”
“จริงเหรอ?” กลุ่มคนที่เดินมาดูหน้าร้านด้วยความสงสัยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น นี่ก็ผ่านมาได้หลายชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลยสักคน
สุดท้ายก็ไม่มีใครเข้ามา
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกหมดหวัง เธอถอนหายใจออกมาขณะจ้องมองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาที่หน้าร้าน เธอเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเปิดร้านวันแรกกิจการคงเงียบเหงา แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเงียบเหงาถึงขนาดนี้
“ลู่ฉิวเยว่!”
แต่ทันทีที่ลู่ฉิวเยว่เดินกลับไปถึงร้านอาหาร เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นก่อนที่จะมีเวลาได้นั่งลงบนเก้าอี้เสียอีก
เฉินซุนเหยียนเดินเข้ามาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะมาก่อกวนเธออีกแล้ว
แน่นอนว่าในวินาทีต่อมา เฉินซุนเหยียนก็พูดด้วยความโกรธแค้น “ร้านของเธอขายดีเหลือเกินนะ”
เมื่อเห็นร้านของหญิงสาวมีลูกค้าหนาแน่น เฉินซุนเหยียนก็ยิ่งอารมณ์เสียและอิจฉาริษยาจนแทบบ้า
เพราะหลังจากที่เธอได้ร้านของตัวเองกลับคืนไปแล้ว เฉินซุนเหยียนก็เดินตามรอยลู่ฉิวเยว่ เธอนำร้านนั้นมาเปิดเป็นร้านติ่มซำและขายโร่วเจียโม๋ด้วยเช่นกัน
ด้วยความที่ไม่มีการประกาศล่วงหน้า ลูกค้าจึงยังเข้าใจว่าร้านนั้นยังคงเป็นร้านของลู่ฉิวเยว่ ในช่วงไม่กี่วันแรกของการเปิดร้าน กิจการก็เป็นไปด้วยดี เฉินซุนเหยียนมีรายได้เกือบวันละ 200 หยวน
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทุกคนก็พบเห็นความผิดปกติ รสชาติของติ่มซำเปลี่ยนไปมาก มันไม่อร่อยเหมือนเคย ไม่สามารถเทียบกับร้านขายอาหารเช้าที่ตั้งอยู่ใกล้กันได้เลย รายได้ของร้านติ่มซำจึงลดฮวบ บางวันได้กำไรไม่ถึง 5 หยวน และบางวันก็ต้องขาดทุนย่อยยับ
เฉินซุนเหยียนหาคำตอบไม่ได้ เธอทำโร่วเจียโม๋แบบเดียวกับที่ลู่ฉิวเยว่ทำ ดังนั้นรสชาติจึงไม่น่าแตกต่างกัน หรือว่าลู่ฉิวเยว่จะรู้เจตนาของเธอ จึงตั้งใจทำให้เธอดูแบบผิด ๆ?
เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา เฉินซุนเหยียนก็ยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น เธอปรารถนาจะฉีกร่างของลู่ฉิวเยว่ให้ขาดออกจากกันเป็นชิ้น ๆ
ยัยเด็กคนนี้ ในเมื่อตัวเองไม่ได้จะขายโร่วเจียโม๋อีกแล้ว ทำไมถึงไม่สอนวิธีการทำให้เธอดี ๆ ลู่ฉิวเยว่เห็นเธอเป็นตัวอะไร!
“ลู่ฉิวเยว่! เธอตั้งใจหลอกลวงฉันมาตั้งแต่แรก!”
เฉินซุนเหยียนยกขาเตะเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างตัวล้มลงเสียงดังโครม ทำให้ลูกค้าที่รับประทานอาหารอยู่ในร้านแตกตื่นตกใจจนต้องหันมามองด้วยความตื่นเต้น
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะเยาะและจ้องมองอย่างเหยียดหยาม “ฉันเนี่ยนะหลอกลวงคุณ? ฉันหลอกลวงคุณตรงไหน? บอกมาให้ชัดเจนสิ”
“เธอให้สูตรฉันมาผิด ทำให้ร้านติ่มซำของฉันต้องเจ๊งยับ! เธอต้องชดใช้เงินคืนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
รอยยิ้มเหยียดหยามของลู่ฉิวเยว่ปรากฏบนใบหน้าชัดเจนมากขึ้น “ฉันให้สูตรคุณไปเนี่ยนะ? ฉันให้ตอนไหนไม่ทราบ? คุณเป็นคนแอบมาจดสูตรของฉันเองตอนที่พวกเราเปิดร้านไม่ใช่หรือไง แล้วคุณก็พยายามจะยกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อไล่ฉันออกมาจากร้านนั้นก่อน! คุณทำผิดพลาดเองแล้วจะมาบอกว่าเป็นความผิดของฉันเนี่ยนะ? ฉันไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อไหมแต่ฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้ว่าคุณขโมยสูตรทำอาหารของฉัน แล้วก็ยังพยายามทำให้ภาพลักษณ์ของฉันเสื่อมเสียอีกด้วย!”
หลังจากพูดจบแล้ว เธอก็ชี้มือสั่งหวังเซวียนเซวียนให้เขาวิ่งไปแจ้งตำรวจ
เด็กหนุ่มพยักหน้าและวิ่งออกไปข้างนอก ทำให้เฉินซุนเหยียนต้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้นมากกว่าเดิม “ลู่ฉิวเยว่! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเฉินซุนเหยียนวิ่งหายไปจากสายตาแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็หัวเราะในลำคออย่างเย็นชาและยิ้มเย้ยหยัน
“พี่ครับ ผมออกมาได้หรือยัง?” หวังเซวียนเซวียนกระพริบตาถามด้วยความสงสัย
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะ “ออกมาได้แล้ว รีบไปดูแลแขกเร็วเข้า แขกจะหนีหมดแล้วเนี่ย เราแค่ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจแค่ให้เฉินซุนเหยียนตกใจหนีไปเท่านั้น”
“ครับ”
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ธุรกิจร้านขายยาจีนก็ยังคงเงียบเหงา อาจเป็นเพราะว่ามันเป็นร้านใหม่ คนยังไม่เชื่อใจ จำเป็นต้องใช้เงินในการโปรโมตร้านให้มากกว่านี้และจำเป็นต้องใช้เวลาอีกมากกว่าลูกค้าจะเชื่อใจ
ลู่ฉิวเยว่ไม่รู้สึกเป็นกังวล แต่พ่อแม่ของเธอทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ วันทั้งวันเอาแต่เดินไปเดินมา ส่ายหัวด้วยความวิตกกังวล
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หยุดเดินกันได้แล้ว” ลู่ฉิวเยว่ต้องตะโกนบอกอย่างช่วยไม่ได้
แม่ของเธอเดินไปเดินมาทั้งคืนแล้ว
“เยว่เยว่ ลูกปิดร้านขายยาไปดีไหม เปิดแค่ร้านขายอาหารต่อไปก็พอแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ แค่ต้องใช้เวลาอีกหน่อย แม่ไม่เชื่อใจในความสามารถของหนูเหรอคะ? ร้านขายติ่มซำของเราตอนแรกก็ขายไม่ค่อยดี แต่ตอนหลังหนูก็ทำให้มันดีจนได้” ลู่ฉิวเยว่พยายามเกลี้ยกล่อมแม่อย่างช่วยไม่ได้
หลังจากแม่ของเธอคิดดูดี ๆ เธอก็รู้สึกว่าลูกสาวของตนเองมีความสามารถจริง ๆ ดังนั้นเธอจึงเป็นห่วงน้อยลง
แต่ถึงแม้ว่ากิจการร้านขายยาจะไม่ดีนัก ในแต่ละวันมีลูกค้าไม่มาก แต่ลู่ฉิวเยว่ก็ยังไปดูแลร้านด้วยตนเองทุกวัน
ยาจีนในร้านของเธอเป็นของคุณภาพดี คุณหมอที่มาประจำการก็มีฝีมือ เธอเชื่อว่าร้านของเธอแค่ต้องการโอกาสเท่านั้น ตราบใดที่มีโอกาส ร้านของเธอจะต้องโด่งดังอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ลู่ฉิวเยว่ไม่รู้เลยก็คือโอกาสได้มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
“ฉันไม่สน แกต้องจ่ายเงินมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันจะขาหักได้ยังไง? ให้ตายเถอะ ฉันยังต้องเลี้ยงดูครอบครัวนะ…”
ประโยคที่คุ้นหูลอยเข้ามาถึงหูของลู่ฉิวเยว่ เธอพบว่ามันตลกมาก นี่คือการข่มขู่ตบทรัพย์ใช่ไหม? คิดไม่ถึงเลยว่าในยุค 1980 จะมีการข่มขู่ตบทรัพย์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นคนที่กำลังโวยวาย เธอยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อพบว่าคนที่กำลังโวยวายอยู่นั้นกำลังแหกปากตะโกนใส่นายตำรวจที่เคยช่วยจับตัวสวีต้าหลินไปจากร้านอาหารของเธอเมื่อครั้งที่แล้วนั่นเอง
ผู้ที่โวยวายเป็นชายวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งดิ้นเร่า ๆ อยู่บนพื้นดิน เมื่อเห็นว่ามีชาวบ้านเดินมามุงดูด้วยความสนใจมากขึ้น ลู่ฉิวเยว่ก็รีบเดินออกไปพูดด้วยความห่วงใยว่า “พี่ชาย ขาคุณหักใช่ไหม? งั้นเข้าไปในร้านขายยาจีนให้หมอของเราตรวจดูก่อน ฉันรับปากว่าจะไม่คิดเงิน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถ้าขาคุณเป็นอะไร เดี๋ยวร้านของฉันจะช่วยรักษาให้เอง คุณต้องคอยเลี้ยงดูครอบครัว ร้านของฉันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวร้านของฉันจะจัดการให้ทุกอย่าง”
กลุ่มชาวบ้านอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“จริงด้วยสิ คุณไปตรวจดูขาของคุณก่อนเถอะ เดี๋ยวเราจะจับตัวคนคนนี้เอาไว้ก่อน รับรองว่าเขาหนีไปไหนไม่ได้แน่”
“ถ้าเขาไม่ยอมจ่ายค่าเสียหาย เดี๋ยวเราจะจับเขาไปส่งสถานีตำรวจเอง!”
…
เมื่อได้ยินชาวบ้านที่อยู่รอบตัวบอกว่าจะจับตัวนายตำรวจหนุ่มคนนั้นส่งไปที่สถานีตำรวจ ลู่ฉิวเยว่ก็อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้
เธอแทบรอจะเห็นชาวบ้านพวกนั้นทำสีหน้าละอายใจไม่ไหวแล้วเมื่อพวกเขาได้ค้นพบความจริง
การกระทำของเธอย่อมอยู่ในสายตาของนายตำรวจหนุ่ม เขาจ้องมองเธออย่างหมดหวังและพูดแผ่วเบาว่า “ขอบคุณมากนะครับ คุณลู่”
และเขาก็ยังหันไปยืนยันกับกลุ่มชาวบ้านว่า “ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ ผมจะจ่ายค่าเสียหายให้เขาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้พาเขาเข้าไปตรวจในร้านขายยาก่อนเถอะ ทุกคนช่วยผมเป็นพยานด้วยนะ”
เมื่อได้ยินว่าต้องเข้าไปตรวจในร้านขายยาจีน ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนพื้นก็มีสีหน้าตื่นตระหนกและรีบพูดออกมาอย่างร้อนรนว่า “ไม่ต้องหรอก ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ แค่จ่ายเงินให้ผมมาก็พอแล้ว”