สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 27 ฉินซือหึง
บทที่ 27 ฉินซือหึง
บทที่ 27 ฉินซือหึง
วันนี้อากาศดี
ลู่ฉิวเยว่ย้อนเวลามาเกิดใหม่ในยุคนี้ได้หลายเดือนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองรอบตัวด้วยความสงสัย
สองข้างทางมีร้านขายของต่าง ๆ มีเด็กน้อยกำลังรับประทานขนม มีร้านเสื้อผ้าแผงลอยจำนวนมากตั้งร้านอยู่ไม่ไกล
บรรยากาศที่นี่สวยงามเมื่อเปรียบเทียบกับตึกสูงระฟ้าในยุคต่อมา
“แม่หนูมาดูปิ่นปักผมนี่ก่อนสิคะ สาว ๆ ในเมืองชอบมากเลยนะ ตอนนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว!”
ก่อนที่ลู่ฉิวเยว่จะเดินไปดูร้านค้าแผงลอยเหล่านั้น คุณป้าร่างอ้วนคนหนึ่งก็เรียกเธอด้วยความกระตือรือร้น
ปิ่นปักผมที่ร้านหญิงร่างอ้วนขายเป็นปิ่นปักผมพลาสติก มันไม่เคยอยู่ในสายตาลู่ฉิวเยว่มาก่อน แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ลู่ฉิวเยว่ถึงเดินเข้าไปดูด้วยความสนใจ
ปิ่นปักผมสะท้อนประกายระยิบระยับบนผืนผ้าสีแดง พวกมันมีสีสันที่ผู้หญิงในยุคสมัยนี้น่าจะชอบ
ปิ่นปักผมบางอันมีสีใสเหมือนแก้ว ดูเหมือนไม่ใช่ของราคาถูกแม้แต่น้อย
“หนูเอาพวกนี้ก็แล้วกันค่ะ” เธอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“แหม แม่หนูช่างตาถึงจริง ๆ” เจ้าของร้านร่างอ้วนหัวเราะ ก่อจะหยิบกิ๊บติดผมและปิ่นปักผมที่ลู่ฉิวเยว่เลือก
ลู่ฉิวเยว่ยืนรออีกฝ่ายคิดเงิน
ที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ฉินซือกำลังจะเดินกลับ เลขาหวังก็ทักขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เดี๋ยวก่อนนะ? นั่นมันคุณลู่ไม่ใช่เหรอครับ!”
ฉินซือตกใจจนใจสั่น รีบหันหน้าไปดูอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวยืนอยู่หน้าแผงขายของเล็ก ๆ แผงหนึ่ง รอยยิ้มของเธอแจ่มใส ดวงตาเป็นประกายใต้แสงแดด
ฉินซือต้องใช้เวลาตั้งหลักนานทีเดียวหลังจากถูกลู่ฉิวเยว่ปฏิเสธเมื่อครั้งที่แล้ว ความรู้สึกในหัวใจของฉินซือเมื่อได้พบเจอเธออีกครั้งจึงมีทั้งความสุขและความอึดอัดใจ
เขาลังเลก่อนจะตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไปทักทาย
“นั่นมันไอ้คนนั้นนี่!” เลขาหวังอุทานออกมา
“อะไรอีก?” ฉินซือขมวดคิ้ว
เลขาหวังมองกลุ่มคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและชี้มือไปที่คนคนหนึ่ง “สวีหมิงนี่ คนที่เคยพยายามใส่ความคุณลู่ไงครับ!”
ฉินซือมองไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา เขาเห็นชายคนหนึ่งที่มีหน้าตาขี้โกงคอยแอบจับตามองการเคลื่อนไหวของลู่ฉิวเยว่อยู่ตลอดเวลา
ไอ้หมอนี่มีเจตนาไม่ดีอีกแล้ว!
ฉินซือกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น มือของเขากำแน่น
ลู่ฉิวเยว่กำลังจะเดินกลับไปที่ร้านของตัวเอง ตอนนี้ใกล้เข้าช่วงบ่ายแล้ว เป็นช่วงที่ลูกค้าในร้านเยอะมากที่สุด พ่อ แม่ และลูกพี่ลูกน้องที่รับตัวมาเป็นเด็กในร้านคงรับมือไม่ไหว
จังหวะที่เธอกำลังจะเดินออกมาจากซอยอันเงียบสงบ เสียงหนึ่งที่คุ้นหูก็ตะโกนเรียกขึ้นจนเธอสะดุ้ง
“ลู่ฉิวเยว่…”
“โอ๊ย!”
เสียงเรียกชื่อดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ฉินซือกดร่างสวีหมิงลงบนพื้นดิน
ชายหนุ่มมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาต่อยอีกฝ่ายอย่างไร้ปราณี ลู่ฉิวเยว่เหมือนได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก
แต่เธอไม่ได้สงสารคนโดนต่อยเลย
เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอเคยเจอมา อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้ว!
“ฉินซือ หยุดเถอะ” หลังจากนั้นลู่ฉิวเยว่จึงได้ตะโกนเรียก เธอไม่อยากให้เขาฆ่าอีกฝ่าย เพราะมันคงจะเกินเรื่องไปหน่อย
สวีหมิงนอนน้ำตาไหลอยู่บนพื้นดิน ลู่ฉิวเยว่เป็นตัวซวยของเขาจริง ๆ พบผู้หญิงคนนี้ทีไร เขาต้องเดือดร้อนทุกครั้งไป
ขนาดยังไม่ได้ทำอะไรเธอด้วยซ้ำ เขาก็ถูกต่อยปางตายแล้ว
สวีหมิงจ้องมองลู่ฉิวเยว่ด้วยความโกรธแค้น
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของลู่ฉิวเยว่ ฉินซือจึงหยุดมือ แต่เขายังคงโมโหอยู่ เขาแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้สั่งสอนสวีหมิงต่อไป
เลขาหวังจับตัวสวีหมิงไปส่งสถานีตำรวจ
สวีหมิงเคยถูกจับมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงรู้สึกกลัวสถานีตำรวจยิ่งนัก
มีหลายคนที่รับรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
ตำรวจรีบไปที่บ้านของสวีต้าหลิน
ในขณะนี้ สองสามีภรรยากำลังรับประทานอาหารกลางวันอย่างมีความสุข แต่เมื่อได้รับแจ้งข่าว สวีต้าหลินก็ไม่มีอารมณ์รับประทานอาหารอีกต่อไป แม้จะมีตำรวจยืนอยู่ในบ้าน แต่เขาก็คว้าชามน้ำแกงบนโต๊ะขว้างใส่ลู่เจี๋ยหรงทันที
น้ำแกงร้อน ๆ สาดรดไปบนลำตัว ลู่เจี๋ยหรงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจตกใจจนต้องรีบเข้าไปห้าม
ทั้งสองคนถูกควบคุมตัวไปที่โรงพัก
ในขณะเดียวกัน หลังจากให้ปากคำเรียบร้อยแล้ว ลู่ฉิวเยว่กับฉินซือก็เดินออกมาจากสถานีตำรวจ
“ขอบคุณมากนะคะ ฉินซือ” เธอยิ้มอย่างจริงใจ
โชคดีที่เขาอยู่ตรงนั้นพอดี
ฉินซือยกกำปั้นขึ้นปิดปากตนเองและไอออกมา เขาไม่ได้พูดอะไร เลขาหวังรู้หน้าที่ของตัวเองดีจึงเป็นคนพูดแทนว่า “คุณลู่ไม่มีอะไรจะพูดเหรอครับ?”
ลู่ฉิวเยว่หยุดชะงัก “จริงด้วยสิ ฉันยังไม่ได้ไปดูหนังกับคุณเลย เราหาเวลาไปดูด้วยกันดีไหม?”
ฉินซือพูดออกมาทันทีด้วยความดีใจว่า “คืนพรุ่งนี้เลย! เดี๋ยวผมไปรับ”
ฉินซือยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย
เย็นวันต่อมา ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้อยู่เก็บร้าน เธอบอกกับแม่ว่าจะไปดูหนังกับเพื่อน
เธอไม่ได้บอกว่าจะไปดูหนังกับฉินซือเพราะกลัวว่าแม่จะเข้าใจผิด
“ทำไมคุณมาอยู่นี่ได้ล่ะ?” เมื่อเห็นหญิงสาวยืนอยู่ข้างถนน ฉินซือก็ยิ้มอย่างมีความสุขและขับรถเข้าไปจอดเทียบ
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ตอบคำถามแต่ยิ้มตอบ “หนังกำลังจะฉายแล้ว”
ฉินซือพยักหน้าและเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
วันนี้เขาฉีดน้ำหอมมาด้วย
พวกเขาคบค้ากันด้วยผลประโยชน์มาตลอด ฉินซือเป็นคนที่เดาใจยาก ตกลงว่านี่เป็นการเดตหรือเป็นการเจรจาธุรกิจกันแน่?
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจมากกว่า เขาแค่ตอบแทนเธอด้วยความจริงใจเท่านั้น
ฉินซือคงไม่ได้มาสนใจหญิงชาวบ้านอย่างเธอหรอก
พวกเขาไปถึงโรงหนัง
ลู่ฉิวเยว่เลือกดูหนังเกี่ยวกับสงคราม ฉินซือเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภาพยนตร์ในยุค 80 ยังไม่มีความคมชัด แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค ลู่ฉิวเยว่หลงไหลเข้าไปกับตัวภาพยนตร์จนลืมไปด้วยซ้ำว่าเธอไม่ได้มาดูคนเดียว
ฉินซือรู้สึกเศร้ามาก เขานึกว่าตนเองจะได้มีโอกาสสารภาพรักกับเธอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะดูหนังเพลินจนลืมไปเลยว่ามีเขาอยู่ด้วย!
สุดท้ายเขาก็ต้องนั่งหน้าบึ้งจนหนังจบ
“เอ๊ะ? มีร้านหนังสืออยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย ฉันอยากไปดูสักหน่อย” ลู่ฉิวเยว่พูดด้วยความประหลาดใจ
“อืม” ฉินซือพยักหน้า
ร้านหนังสือส่วนใหญ่ค่อนข้างเรียบง่าย มีการจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย
ลู่ฉิวเยว่หยิบนิตยสารชื่อดังมาหลายฉบับ รวมถึงซื้อหนังสือมาอีกหลายเล่ม
“ทั้งหมด 9 เล่มค่ะ”
ฉินซือกำลังจะจ่ายเงินให้ แต่ลู่ฉิวเยว่สังเกตเห็นทันจึงห้ามเอาไว้ก่อน
“ขอบคุณมากนะคะ แต่เดี๋ยวฉันจ่ายเอง” เธอหัวเราะอย่างสุภาพ “ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายมาซื้อของให้หรอกค่ะ”
หลังได้ยินคำพูดนั้นของเธอ ฉินซือก็ชักมือกลับและยอมรับแต่โดยดี
“โทษทีนะ” เขาถอนหายใจ “ตั้งแต่ที่ผมเจอคุณครั้งแรก ผมก็รู้แล้วว่าคุณไม่เหมือนคนอื่น โดยเฉพาะตอนที่คุณอยู่ในครัว คุณเหมือนดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนท้องฟ้า”
นี่คือคำสารภาพรักหรือเปล่า?
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูง แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมาย ก่อนจะยิ้มออกมา “ทำไมถึงพูดแบบนี้คะเนี่ย?”
ยังจะต้องถามอีกเหรอ?
ใบหน้าของฉินซือกลับไปเคร่งเครียดอีกครั้ง หรือว่าเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว!