สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 22 ลูกไม้ของเฉินซุนเหยียน
บทที่ 22 ลูกไม้ของเฉินซุนเหยียน
บทที่ 22 ลูกไม้ของเฉินซุนเหยียน
การค้าขายดำเนินไปตลอดทั้งวัน กว่าพวกเขาจะปิดร้านก็เป็นเวลา 2 ทุ่มแล้ว
ทั้งครอบครัวนั่งรับประทานอาหารค่ำด้วยกันและคำนวณรายได้ประจำวันนี้
230 หยวน
ลู่ฉิวเยว่ไม่คิดเลยว่าเปิดร้านวันแรกกิจการจะดีถึงเพียงนี้
ในยุค 1970 ต่อให้เป็นคนงานที่ทำงานในโรงงานก็จะได้รับเงินเดือนเพียงเดือนละ 70 หรือ 80 หยวนเท่านั้น ซึ่งก็ถือเป็นเงินก้อนใหญ่แล้วเมื่อมาเทียบกับเงิน 200 หยวน
แต่วันนี้เธอทำเงินได้ 230 หยวน! “ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการสร้างบ้านอีกแล้ว” มารดาของหญิงสาวพูดด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้วค่ะ” ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “พวกเราต้องซื้อบ้านที่อยู่ในตัวเมืองด้วยนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่ฉิวเยว่ทำให้พ่อแม่และคุณลุงของเธอยิ้มออกมาด้วย นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน
วันรุ่งขึ้น ครอบครัวของลู่ฉิวเยว่ยังคงมาเตรียมตัวเปิดร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ทุกคนต้องตื่นก่อนฟ้าสาง หญิงสาวรู้สึกว่านี่เป็นชีวิตที่ยากลำบากมากเกินไป เธอกำลังปรึกษากับพ่อแม่ว่าจะหาเช่าบ้านพักอยู่ในเขตอำเภอสักหลังหนึ่ง
ตอนที่ลู่ฉิวเยว่กำลังหั่นเนื้ออยู่ในร้าน เธอก็ได้ยินมารดาของตนเองอุทานออกมาด้วยความโกรธแค้นว่า “เอาอีกแล้วไง”
ลู่ฉิวเยว่จ้องมองไปทางเสียงอุทานของมารดา และเห็นเฉินซุนเหยียนเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ฉันอยากได้โร่วเจียโม๋ 10 ชิ้น!” เธอออกคำสั่ง ยกมือชี้หน้าลู่ฉิวเยว่
“นี่ คุณจะแซงคิวได้ยังไง!” หญิงชราที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างหลังไม่พอใจ เธออุตส่าห์มาเข้าแถวตั้งแต่เช้า พอผู้หญิงคนนี้แซงคิว นั่นหมายความว่าเธอไม่เห็นคนอื่นๆ อยู่ในสายตาเลย
คนอื่น ๆ ก็โกรธแค้นขึ้นมาเช่นกัน “ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ ไม่มีจิตสำนึกบ้างหรือไง”
“กลับไปเข้าแถว!”
“อายุก็เยอะแล้ว อย่ามาทำตัวขายหน้าที่นี่!”
……
“พวกแกปากดีนะเหรอ ร้านของฉัน ฉันอยากทำอะไรก็ได้ พวกแกมาเกี่ยวอะไรด้วย” เฉินซุนเหยียนกลอกตาและผลักหญิงชราอย่างแรง ทำให้เธอโกรธมาก
“เคล้ง!”
ลู่ฉิวเยว่ทนไม่ไหว โยนมีดลงบนเขียงอย่างแรง พูดเสียงเย็นชาว่า “ร้านของฉันเป็นของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ แซงคิวเหรอ คุณจะมาอวดเบ่งที่ร้านฉันไม่ได้เด็ดขาด”
“เธอหมายความว่าอะไร!” เฉินซุนเหยียนถูกฉีกหน้าจึงโกรธจัด
“ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากมั้ง ตั้งแต่เปิดร้านคุณมาที่นี่ทุกวันเพื่อกินข้าวและห่อกลับบ้านโดยที่ไม่เคยจ่ายเงินเลย ฉันเคยได้ยินเรื่องที่คนชอบเอาเปรียบคนอื่นแบบนี้มามากมายแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะต้องมาพบเจอเข้าจริงๆ อย่างนี้”
“ลู่ฉิวเยว่ ถ้าไม่ใช่ฉันเช่าร้านนี้ เธอจะมาเปิดร้านที่นี่ได้หรือ” เฉินซุนเหยียนกัดฟัน
เกิดอะไรขึ้นกับการกินโร่วเจียโม๋ของเธอ? ที่นี่เป็นอาณาเขตของเธอ เธอจะทำอะไรก็ได้ที่ตนเองต้องการ
อีกอย่างโร่วเจียโม๋ของลู่ฉิวเยว่ได้รับความนิยมขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะทำเลที่ตั้งของร้านหรือยังไง?
เมื่อนึกถึงเงินที่ลู่ฉิวเยว่ได้รับอย่างต่อเนื่องในทุกๆ วัน หญิงวัยกลางคนร่างอ้วนก็รู้สึกอิจฉาจนบ้าคลั่ง เธอคิดค่าเช่าแปดสิบหยวนกับเธอ ทำไมลู่ฉิวเยว่ถึงทำเงินได้มากขนาดนั้น
“แล้วฉันไม่ได้จ่ายค่าเช่าเหรอ” ลู่ฉิวเยว่รู้สึกตลกนิดหน่อย ไม่คิดว่าหญิงร่างอ้วนคนนี้จะไร้ยางอายขนาดนี้ “เฉินซุนเหยียน ฉันจำได้ว่าคุณติดค่าอาหารฉันมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เมื่อไหร่จะจ่ายเงินไม่ทราบ”
สายตาของทุกคนกลายเป็นดูถูกทันที คนที่ไร้ยางอายแบบนี้หายากมาก นอกจากติดเงินค่าอาหารของผู้เช่าร้านแล้ว ตอนนี้ยังอยากทำลายภาพลักษณ์ของผู้เช่าร้านอีก
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่แซงคิว!” มีคนประชดประชันขึ้นมาทันที
“จ่าย…จ่ายเงินอะไร!” พอได้ยินว่าต้องจ่ายเงิน เฉินซุนเหยียนก็ลนลาน หันหลังแล้วก็จากไป โร่วเจียโม๋ก็ไม่เอาแล้ว
ถ้าอยากได้เงินของเธอ ก็ฝันไปเถอะ!
พอเธอกลับถึงบ้าน สามีก็มองมา “คุณไม่ได้ออกไปซื้อโร่วเจียโม๋หรือ”
คำพูดนี้ทำให้เฉินซุนเหยียนยิ่งโกรธมากขึ้น ทุบประตูอย่างแรง “โร่วเจียโม๋บ้าบออะไร ตอนนี้ คนเช่าร้านเรารวยเละไปแล้ว วันนี้มันยังทวงเงินค่าอาหารฉันอยู่เลย”
“คุณก็ควรจ่ายอยู่แล้วนี่นา” ชายคนนั้นบ่นพึมพำ
“หลี่เต๋อกุ้ย คุณหมายความว่ายังไง โร่วเจียโม๋ที่ฉันเอากลับมา คุณไม่เคยกินงั้นเหรอ ตอนนี้แกล้งทำเป็นคนดีอะไร!” เฉินซุนเหยียนโกรธอยู่แล้ว ไม่คิดว่าผู้ชายที่ขี้ขลาดอย่างสามีของตัวเองยังกล้าทำตัวสั่งสอนเธอเสียอีก หญิงร่างอ้วนจึงระเบิดอารมณ์ออกมาทันที
“ไม่ได้การ ฉันต้องสั่งสอนผู้หญิงคนนี้” เธอพึมพำกับตัวเอง “คุณคิดว่าจะเป็นยังไงถ้าเราเอาร้านกลับมาขายโร่วเจียโม๋ของพวกเราเองล่ะ ฉันเห็นลู่ฉิวเยว่ขายแบบนี้ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 200-300 หยวน ไม่ดีกว่าการเก็บค่าเช่าของเราหรือ”
“สองร้อย? มากขนาดนั้นเลยเหรอ พวกเราเก็บค่าเช่าร้านรวมกันสามหรือสี่เดือนก็ไม่มากขนาดนี้ด้วยซ้ำ” หลี่เต๋อกุ้ยกลืนน้ำลายและเห็นได้ชัดว่าหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาเล็กน้อย
แต่สุดท้าย เขาก็หยุดความคิดนี้และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “แต่แบบนั้นจะโดนชาวบ้านด่าเอาได้ ให้พวกเขาเช่าเถอะ พวกเราเก็บค่าเช่าก็พอแล้ว”
“ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว!”
หญิงร่างอ้วนกลอกตาและขี้เกียจเกินไปที่จะรับมือกับความไร้ประโยชน์ของสามี
อย่างไรก็ตาม เธอได้เรียนรู้สูตรลับของลู่ฉิวเยว่ในการทำโร่วเจียโม๋แล้ว ร้านนี้เธอต้องทวงคืนกลับมาให้ได้
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ววิ่งกลับไปที่ร้านทันที
“ลู่ฉิวเยว่!”
ลู่ฉิวเยว่หันไปจ้องมองผู้คนด้วยความประหลาดใจ
เธอไม่เข้าใจว่าหญิงร่างอ้วนจะกลับมาทำไมอีก
เธอหัวเราะเยาะ “จะกลับมาจ่ายเงินเหรอคะ”
“ใช่!”
เฉินซุนเหยียนตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ลู่ฉิวเยว่กลับลังเล เฉินซุนเหยียนเป็นคนเจ้าเล่ห์ เธอมองไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
แต่เธอก็ยังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อ้อ งั้นก็ขอบคุณมากนะคะ”
“ฮึ่ม!” เฉินซุนเหยียนโยนเงินสามร้อยหยวนลงบนโต๊ะ “ฉันไม่ให้เช่าร้านนี้แล้ว เธอเก็บของออกไปจากที่นี่ซะเถอะ”
มารดาของลู่ฉิวเยว่โต้แย้งด้วยความร้อนใจว่า “นี่ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ อยู่ดีๆ จะมาไม่ให้เช่าได้ยังไง”
“ต่อไปนี้ ฉันจะเปิดร้านขายโร่วเจียโม๋ด้วยตัวเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้พวกเธออีกต่อไป!” เฉินซุนเหยียนหัวเราะเยาะ “คงคิดไม่ถึงสินะว่าฉันได้เรียนรู้สูตรการทำโร่วเจียโม๋ของพวกเธอหมดแล้ว”
“คุณ!” มารดาของลู่ฉิวเยว่โกรธจนควันออกหู ในที่สุด เธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเฉินซุนเหยียนถึงมาแอบมองอยู่รอบ ๆ ร้านทุกวัน ที่แท้มันเป็นเพราะเหตุนี้เอง
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มให้มารดาของตนเองอย่างปลอบประโลม การทำอาหารของเธอนั้นไม่ใช่แค่วิธีหั่นเนื้อสักหน่อย เฉินซุนเหยียนไม่มีทางรู้หรอกว่าสูตรลับของหมูพะโล้ที่นำมาใช้ทำไส้ของโร่วเจียโม๋นั้น มีกรรมวิธีอย่างไรบ้าง
“นี่คุณจะผิดสัญญาเหรอ” เธอเลิกคิ้วแล้วพูดกับเฉินซุนเหยียน “คุณรู้ไหมว่าค่าฉีกสัญญาคือเท่าไหร่ ถึงกล้ามาพูดอย่างนี้”
“ค่าฉีกสัญญาอะไร ร้านนี้เป็นของฉัน ฉันบอกว่าไม่ให้เช่าแล้วก็ไม่ให้เช่าแล้ว” เฉินซุนเหยียนหยิ่งผยอง
เมื่อคิดว่าต่อไปตัวเองจะมีเงินวันละ 200-300 หยวนเข้ากระเป๋า เธอก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายกับคนดวงตามืดบอด ลู่ฉิวเยว่ขี้เกียจที่จะอธิบายให้เธอฟัง พูดเบา ๆ ว่า “คุณกลับไปดูสัญญาที่เราเซ็นด้วยกันเถอะ ถ้าผิดสัญญาก็ต้องจ่าย ไม่งั้นฉันจะไปฟ้องคุณที่ศาล!”
อะไรนะ? ศาล!
เฉินซุนเหยียนตกใจกับคำพูดของเธอ
ยุคนี้ การขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าสุดขีด เสียหน้าไม่น้อยไปกว่าการขึ้นโรงพักเลย
“เธอ…ฝากไว้ก่อนเถอะ!” เฉินซุนเหยียนมีสีหน้าซีดและรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน
เธอต้องรีบกลับไปให้สามีหยิบสัญญาเช่ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เฉินซุนเหยียนนึกสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมลู่ฉิวเยว่ถึงยืนการให้เซ็นสัญญาการเช่าอาคารอย่างรัดกุม ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง
“ฮึ่ม!” ในขณะที่มองดูแผ่นหลังของหญิงร่างอ้วนวิ่งหนีไป ลู่ฉิวเยว่ก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
ในชาติที่แล้ว เธอเคยเป็นถึงเจ้าของร้านอาหารในเครือหลายสิบแห่งมาก่อน แล้วจะมาทำผิดพลาดง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร