สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 173 ตระกูลจ้าวล่มสลาย
บทที่ 173 ตระกูลจ้าวล่มสลาย
“คุณน้ามาทำอะไรที่นี่ครับ?”
คุณนายจ้าวมีสีหน้าอับอาย เธอลังเลเล็กน้อยก่อนพูดว่า “ฉัน…ฉันแค่อยากมาคุยดี ๆ กับแฟนเธอเท่านั้น”
“คุยดี ๆ เหรอครับ?” ฉินซือหัวเราะเยาะ
คุณนายจ้าวกล้าข่มขู่ลู่ฉิวเยว่ แต่ไม่กล้าทำอะไรฉินซือ เธอเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
คุณนายจ้าวต้องการจะพาตัวชายฉกรรจ์ทั้งสองคนกลับไป แต่ฉินซือจะปล่อยให้พวกเขาหลบหนีไปง่าย ๆ ได้อย่างไร? เขาหันไปส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่เลขาหวัง ก่อนที่ตนเองจะพุ่งเข้าไปเตะชายฉกรรจ์เหล่านั้นจนล้มลงอีกครั้ง
เพียงไม่นาน นายตำรวจก็ปรากฏตัวขึ้น เขาใช้สายตาชำเลืองมองสถานที่เกิดเหตุ ก่อนถามว่า “ใครคือฉินซือ?”
“ผมเป็นคนแจ้งตำรวจเองครับ” ฉินซือลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่คุณนายจ้าว “ผู้หญิงคนนี้มาก่อกวนร้านอาหารของแฟนผม ช่วยจัดการด้วยนะครับ”
เมื่อตำรวจปรากฏตัว คุณนายจ้าวก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เธอรีบเข้ามาจับมือฉินซือและขอร้องว่า “ฉันเป็นเพื่อนสนิทของแม่เธอนะ ฉันเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก ๆ เธออย่าทำกับฉันแบบนี้เลย ฉันรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว”
ถ้าเธอถูกตำรวจจับกุมตัวไป และถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูเพื่อน ๆ ในสังคมชนชั้นสูงของเธอ คุณนายจ้าวก็คงจะต้องอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง และสามีก็คงโกรธเธอไม่น้อยที่ทำให้เขาเสียหน้า
สีหน้าของฉินซือยังไม่มีเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เขาสะบัดมือของหญิงวัยกลางคนออกไป “คุณน้ามาขอโทษผมก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ถ้าผมมาช้าไปกว่านี้ คุณน้าก็คงจับตัวฉิวเยว่ไปแล้วใช่ไหม? คุณน้ารังแกผู้คนมากเกินไปแล้ว”
ส่วนลู่ฉิวเยว่ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังไม่ได้พูดอะไรเลย
ตำรวจยืนหน้าตาถมึงทึง ปล่อยให้คุณนายจ้าวร้องไห้ต่อไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็ควบคุมตัวเธอและชายฉกรรจ์ทั้งสองคนไปที่สถานีตำรวจอยู่ดี
“ไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะดูแลเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดี”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย โค้งตัวคำนับคุณตำรวจ “งั้นฉันคงต้องรบกวนแล้วนะคะ”
เมื่อเห็นกลุ่มคนผู้ก่อกวนถูกควบคุมตัวจากไป ในที่สุดลู่ฉิวเยว่ก็ถอนหายใจออกมาได้ด้วยความโล่งอก
“คุณมาได้ทันเวลาพอดีเลย” เธอหันไปยิ้มขอบคุณฉินซือ
ฉินซือส่ายหน้าและดึงเธอเข้ามากอดในอ้อมแขน “นี่แหละสิ่งที่ผมควรทำ ในที่สุด ผมก็ช่วยเหลือคุณได้สักที ผมมีความสุขจริง ๆ” โชคดีที่เธอโทรไปหาเขาได้ทันเวลา ไม่งั้นเขาคงต้องเสียใจแน่ ๆ
บางครั้งการที่มีหญิงคนรักเป็นคนที่เก่งเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ฉินซือรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนไร้ประโยชน์ เขาได้แต่ถอนหายใจเงียบ ๆ โชคดีที่เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ เขายังต่อสู้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้เลยว่าลู่ฉิวเยว่จะมาชอบเขาได้จากเรื่องไหนอีก
ลู่ฉิวเยว่หัวเราะในลำคอ ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เธอวางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของเขาและกอดเขาอย่างแนบแน่น
…
หลายวันที่ผ่านมา ด้วยความที่จ้าวซูซินถูกจับขังอยู่ในสถานีตำรวจ พ่อของเธอได้วิ่งเต้นหาทางช่วยเหลือทุกวิถีทาง เรื่องนี้ล่วงรู้ไปทั่ววงเพื่อนสนิทของตระกูลจ้าว และเมื่อคุณนายจ้าวถูกตำรวจจับตัวไปอีกคน นี่ก็ยิ่งเป็นข่าวใหญ่มากกว่าเดิม ทุกคนได้รับทราบข่าวอย่างรวดเร็ว
เถ้าแก่จ้าวเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนเห็นเขาเป็นเพียงตัวตลก
เมื่อนึกได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีลู่ฉิวเยว่กับฉินซือเป็นต้นเหตุ เถ้าแก่จ้าวก็รู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก เขาสาบานกับตัวเองว่าจะต้องหาทางสั่งสอนบทเรียนเด็กพวกนี้ให้ได้ ลู่ฉิวเยว่กับฉินซือเป็นคนที่ทำให้ไม่มีใครยอมช่วยเหลือลูกสาวของเขา อีกทั้งยังทำให้ภาพลักษณ์ของตระกูลจ้าวเสียหายย่อยยับอีกด้วย
แม้แต่บรรดามิตรสหายที่รู้จักกันมานานแล้วในตอนนี้ก็ยังจ้องมองเถ้าแก่จ้าวด้วยสายตาแห่งความเหยียดหยามมากกว่าเดิม
“เถ้าแก่จ้าว ค่อยๆ กินนะ ผมมีเรื่องต้องกลับไปทำอีก ขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน”
“วันหลังเราค่อยคุยกันต่อนะ วันนี้ฉันไม่สะดวกคุยแล้ว…”
แต่ละคนต่างก็หัวเราะด้วยความชอบใจ ก่อนจะหาข้ออ้างหลบหน้าเขา
อันที่จริง เมื่อภาพลักษณ์ของตระกูลจ้าวดูไม่ใช่คนดี ก็ไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมกับเถ้าแก่จ้าวอีกต่อไป เพราะพวกเขาไม่ทราบเลยว่าตระกูลจ้าวจะทำให้ตนเองต้องเดือดร้อนเมื่อไหร่
เถ้าแก่จ้าวยืนมองเพื่อนแต่ละคนขอตัวกลับไปทีละคนสองคน หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่บรรดาเพื่อนจ้องมองมาก่อนจะกลับไป เถ้าแก่จ้าวก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
ในไม่ช้า ข่าวลือก็ได้รับการบอกเล่าแบบปากต่อปาก ในแวดวงธุรกิจต่างก็รับทราบเรื่องนี้กันอย่างทั่วถึง ไม่มีใครอยากทำธุรกิจกับเถ้าแก่จ้าวอีกต่อไป ไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมกับผู้ที่มีภาพลักษณ์ชั่วร้าย บางคนถึงกับทำเป็นไม่รู้จักเถ้าแก่จ้าวอีกต่อไปแล้ว
ส่วนคนที่เคยมีปัญหากับเถ้าแก่จ้าวมาก่อนหน้านี้ก็รู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขารอคอยวันนี้มานานแล้ว พวกเขาปรารถนาที่จะได้เหยียบย่ำซ้ำเติมเถ้าแก่จ้าวอีกหลายต่อหลายครั้ง เพราะว่าเถ้าแก่จ้าวสมควรเจอแบบนี้แล้ว!
ทางด้านคนที่เคยทำธุรกิจร่วมกับเถ้าแก่จ้าวก็ไม่อยากต่อสัญญาอีกต่อไป ไม่มีใครอยากร่วมธุรกิจกับเขาอีก เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ตระกูลจ้าวก็อยู่ในสถานะล่มสลายโดยสมบูรณ์
ข่าวนี้รู้มาถึงหูหวังเซวียนเซวียนอย่างรวดเร็ว เขารีบวิ่งไปบอกลู่ฉิวเยว่อย่างมีความสุข
“เป็นความผิดของพวกเขาเองนั่นแหละนะ” ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกเรียบเฉย เหมือนไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
เธอแค่อยากจะดูแลร้านอาหารของตัวเองให้ดี เธอไม่อยากยุ่งเรื่องของใครอีกแล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจมาหาเรื่องเธอก่อน ถ้าจะมีจุดจบอย่างน่าอนาถใจเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ!
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้า “ใช่แล้วครับ พวกเขามารังควานเราไม่เลิกรา ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากคุณตำรวจกับพี่ฉินซือ พวกเราก็คงถูกใส่ร้ายไปแล้ว” หวังเซวียนเซวียนไม่มีทางลืมเด็ดขาดว่าจ้าวซูซินเคยพยายามเอาฝิ่นมาใส่ร้ายร้านอาหารของพวกเขามาแล้ว
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ รีบกลับไปช่วยที่ร้านขายยาก่อนดีกว่า!” เธอตบไหล่น้องชายเบา ๆ
ในช่วงหลัง กิจการร้านอาหารของเธอดีขึ้นเรื่อย ๆ เด็กเสิร์ฟมีงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา
แต่หญิงสาวยังได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของร้านอาหารเปิดเป็นร้านขายยาเล็ก ๆ สำหรับจำหน่ายแผ่นแปะแก้ปวด บรรดาคุณลุงคุณป้าที่เคยใช้งานก็นำข่าวคราวนี้ไปบอกต่อบรรดาเพื่อน ๆ ผู้สูงอายุ ลูกค้าที่มาซื้อแผ่นแปะแก้ปวดจึงมีเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้แผ่นแปะแก้ปวดแทบไม่พอขายแล้วด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้น ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่ได้ถือโอกาสขึ้นราคาเหมือนร้านขายยาอื่น ๆ เธอยังคงขายในราคาเดียวกับเมื่อก่อน ด้วยเหตุผลนี้ ลูกค้าจึงชื่นชอบร้านของเธอมากและยิ่งนำไปบอกต่อกันปากต่อปากมากขึ้น
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้ารับคำ “ได้เลยครับ!” รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า เมื่อเขาเห็นว่าธุรกิจของพี่สาวเจริญเติบโตอย่างสวยงาม เด็กหนุ่มก็มีความสุขมากกว่าใคร
ถึงแม้จะเรียกว่าร้านขายยา แต่ตอนนี้สินค้าที่ทางร้านขายก็มีเพียงแผ่นแปะแก้ปวดอย่างเดียวเท่านั้น ลู่ฉิวเยว่คิดอยู่เหมือนกันว่าเธอจะขายสินค้าแค่อย่างเดียวไม่ได้ เธอจำเป็นต้องหาหมอจีนสักคนมาประจำการอยู่ในร้านของเธอ
เธอรู้จักหมอจีนอยู่หลายคน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครมีฝีมือเข้าตาเลย
อย่างไรก็ตาม ลู่ฉิวเยว่ก็จำเป็นต้องหามาให้ได้สักคนอยู่ดี
หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง หญิงสาวก็เดินไปที่ห้องเก็บของทางหลังร้าน และหยิบกระดาษสีแดงแผ่นใหญ่ออกมา จัดการติดป้ายประกาศรับสมัครหมอจีนหน้าร้านขายยา
คงเป็นเพราะเงินเดือนที่เธอประกาศออกไปค่อนข้างสูง วันต่อมาจึงมีคนให้ความสนใจในทันที
“สวัสดีครับ คุณคือลู่ฉิวเยว่ใช่ไหมครับ?” มีคนเดินมาสอบถามสองคน คนหนึ่งแก่แล้ว อีกคนยังหนุ่มแน่น พวกเขามายืนรออยู่หน้าประตูร้าน
ลู่ฉิวเยว่พยักหน้า “ถ้ามาสมัครงานตำแหน่งหมอจีนประจำร้าน งั้นก็เชิญเข้ามาพูดคุยกันก่อนค่ะ” เธอยิ้มเล็กน้อย ชี้มือไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งมีถาดน้ำชามาวางรอเอาไว้อยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ” ผู้สมัครทั้งสองคนนั่งลงตามเธอ
ลู่ฉิวเยว่ไม่เสียเวลาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ เธอตรงเข้าประเด็นโดยทันที เธอทดสอบความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนของทั้งสองคน ปรากฏว่าผลลัพธ์เป็นที่ไม่น่าพอใจเลยสักนิด เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินกลับออกไป เธอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
อย่างไรก็ตาม ในอีกหลายวันต่อจากนั้น ยังคงมีหมอจีนเข้ามาสมัครงานอีกหลายคน แต่ก็ไม่มีใครน่าพอใจเลย
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกหมดหวังขึ้นมาในทันใด ถ้าไม่ใช่ว่าลุงเซิงไม่อยากเดินทางไกล เธอก็อยากจะรับตัวเขามาอยู่ที่นี่จริง ๆ