สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 169 ฉินซือฟ้องแม่
บทที่ 169 ฉินซือฟ้องแม่
เมื่อได้รับเงินเรียบร้อย หลังจากนั้นช่างทำกุญแจก็ขอตัวกลับ
“อ้าว? เจ้าหน้าที่สวี?” ลู่ฉิวเยว่เพิ่งจะเก็บกุญแจเข้าใส่กระเป๋า เงยหน้ามาอีกทีก็เห็นสวีซงซิงเดินข้ามถนนเข้ามาแล้ว
“ผมมาแจ้งความคืบหน้าของการสืบสวนน่ะครับ” สวีซงซิงพยักหน้าและพูดต่อไป “ตำรวจพบเจอหลักฐานว่าเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับจ้าวซูซิน ตอนนี้เธอกำลังถูกเรียกตัวมาสอบปากคำอยู่ครับ”
ลู่ฉิวเยว่โค้งคำนับด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณมากเลยค่ะ ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว เข้ามากินอะไรก่อนดีไหมคะ?”
พูดจบ หญิงสาวก็หันหน้าไป กำลังจะสั่งเด็กเสิร์ฟ
“ไม่ต้องหรอกครับ คุณลู่ ผมต้องรีบกลับไปทำงานต่อ คุณไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” สวีซงซิงรีบดึงแขนเธอเพื่อห้ามปราม แม้เขาจะบอกว่านี่เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่เขาก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อเห็นความกระตือรือร้นของเธอ
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มด้วยความเกรงใจ “งั้นถ้าครั้งหน้าคุณมากินอาหารที่ร้านฉัน ฉันจะมอบส่วนลดพิเศษให้เลยค่ะ”
เธอไม่ได้บอกว่าจะให้เขารับประทานฟรี ไม่ใช่ว่าเธอเห็นแก่เงิน แต่คุณตำรวจคงวางตัวไม่ถูกถ้าเธอพูดออกไปอย่างนั้น
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ สวีซงซิงก็ยิ้มด้วยความดีใจ “ได้เลยครับ ได้เลย”
“พี่ครับ ตำรวจมาทำอะไรเหรอ?” หวังเซวียนเซวียนถามขณะยืนมองนายตำรวจเดินกลับไป
“เขามาบอกว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของจ้าวซูซินจริง ๆ ด้วยน่ะ” ลู่ฉิวเยว่เคยเล่าให้น้องชายฟังแล้วถึงข้อสงสัยของตนเอง แต่เธอก็คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นฝีมือของจ้าวซูซิน
หวังเซวียนเซวียนกัดฟันด้วยความโกรธแค้น “ผู้หญิงคนนี้ตามหลอกหลอนเราไม่เลิกราจริง ๆ”
ลู่ฉิวเยว่เอื้อมมือตบไหล่น้องชาย “ไม่เป็นไรหรอก รีบไปยกของต่อเถอะ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ตำรวจต้องจับตัวผู้หญิงคนนั้นได้แน่นอน”
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้า แต่ความโกรธแค้นก็ยังไม่หายไป เขาเดินออกไปขนของลงจากรถสามล้อต่อด้วยความหงุดหงิดอย่างมาก
…
ตกกลางคืน ช่วงเวลาของการรับประทานอาหารค่ำ
ฉินซือหันหน้ามองคนรักของตัวเองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสงสัย “คุณอิ่มแล้วเหรอ?” เธอเพิ่งจะรับประทานข้าวไปได้เพียงครึ่งจานเท่านั้น หรือว่าวันนี้เธอจะไม่อยากอาหาร? หรือเธอคิดว่าอาหารยังอร่อยไม่มากพอ?
ฉินซือขมวดคิ้วและลองหยิบตะเกียบมาคีบอาหารเพื่อรับประทานดู แต่รสชาติก็เป็นปกติดีนี่นา
“เปล่าหรอกค่ะ” ลู่ฉิวเยว่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะวางตะเกียบลง “เกิดเรื่องที่ร้านของฉันน่ะ”
ฉินซือรีบวางตะเกียบลง หน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมา ไม่มีอารมณ์รับประทานอาหารอีกแล้วเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนที่หวังเซวียนเซวียนกับฉันไปเปิดร้านเมื่อเช้านี้ พวกเราพบว่ามีคนบุกเข้าไปทำลายข้าวของภายในร้าน ตำรวจบอกว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นฝีมือของจ้าวซูซินน่ะ”
“เมื่อเช้า? แต่คุณเพิ่งมาบอกผมตอนนี้เนี่ยนะ? ลู่ฉิวเยว่ คุณยังคิดว่าผมเป็นแฟนคุณอยู่หรือเปล่า!” ฉินซือหน้าบึ้งด้วยความโกรธขึ้นมาทันที
แต่เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าร้านอาหารของเธอถูกบุกรุก กอปรกับเห็นสีหน้าที่หม่นหมองของเธอก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มก็ใจอ่อนลงอีกครั้ง เขาใช้มือจับหน้าเธอและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ลู่ฉิวเยว่ คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ประโยชน์สิ้นดี”
ลู่ฉิวเยว่ยกมือขึ้นจับมือของเขาที่อยู่บนใบหน้าของตนอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อนน่ะ เพราะถ้าฉันไปขอความช่วยเหลือจากคุณ คุณอาจจะมีปัญหาเอาได้”
หญิงสาวเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบให้เขาช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น ฉินซือรู้สึกไม่พอใจจริง ๆ แต่เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับร้านอาหารของเธอ เขาก็ไม่มีอารมณ์รับประทานอาหารอีกต่อไป เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น และหยิบโทรศัพท์บ้านโทรไปหาพ่อแม่ทันที
[ฮัลโหล?] แม่ของเขาเป็นคนรับสาย [ฉินซือเหรอ?]
“ใช่ครับ!” ฉินซือรับคำ หลังจากทักทายพอเป็นพิธี เขาก็บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่อย่างชัดเจน
“จากนี้ไปอยู่ให้ห่างจากคนตระกูลจ้าวเลยนะครับ ถ้าพวกเขามาร้องขอความเมตตาจากพ่อกับแม่ ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดเลยนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
พ่อของเขาที่แอบยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ถึงกับชะงักไปไม่น้อย ทั้งเขาและภรรยาต่างก็รู้สึกโกรธไม่ต่างไปจากลูกชาย คนเป็นพ่อให้คำมั่นสัญญาว่า [ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้พ่อกับแม่เข้าใจดี ถ้าพวกเขามาหา พ่อจะไม่ช่วยเหลือเด็ดขาด]
[เป็นผู้หญิงอะไรจิตใจร้ายกาจขนาดนี้!] คุณแม่ฉินพูดด้วยความโกรธเคือง ครั้งที่แล้วเธออุตส่าห์ให้อภัยที่จ้าวซูซินแอบเอาฝิ่นไปใส่ความลู่ฉิวเยว่ แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวซูซินจะเล่นลูกไม้ชั่วร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เลิกรา!
เมื่อคิดถึงลู่ฉิวเยว่ แม่ของชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจและพูดว่า [ฉินซือ ฉิวเยว่เพิ่งย้ายมาเมืองหลวง คงยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตใหม่เท่าไหร่ ยิ่งมาเกิดเรื่องกับร้านอาหารของเธอแบบนี้ พ่อแม่ของเธอคงไม่พอใจแน่ ๆ ลูกต้องดูแลเธอให้ดีนะ]
ถ้าแม่ไม่พูดออกมาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อแม่พูดออกมาแบบนี้ ฉินซือก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากไปกว่าเดิม เขาตอบรับด้วยความฉุนเฉียวว่า “เรื่องนั้นผมจะไม่รู้ได้ยังไงกันครับ? แต่เธอเป็นคนเก่งพึ่งพาตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผมหรอก”
ลู่ฉิวเยว่ได้ยินดังนั้นก็ทั้งรู้สึกรำคาญและเอ็นดูในเวลาเดียวกัน เธอเดินเข้าไปดึงหูเขา “คุณพูดเหลวไหลอะไรให้คุณป้าฟังอีกคะ!”
ฉินซือหัวเราะในลำคอด้วยความเย็นชา เขาคุยกับแม่อีกไม่กี่คำก็วางสาย ปัดมือของเธอออกไปด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปหมุนโทรศัพท์อีกครั้ง
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกคุ้นเคยกับหมายเลขโทรศัพท์ที่เขากำลังหมุนทีละตัว แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ ต้องรีบคว้าจับมือของเขาเอาไว้ทันที แต่ฉินซือเป็นคนตัวสูงแขนขายาว เธอไม่สามารถขัดขวางเขาได้เลยแม้แต่น้อย
เสียงที่อ่อนโยนของแม่ลู่ฉิวเยว่ดังออกมาจากปลายสายโทรศัพท์ [ฉิวเยว่เหรอ?]
“ผมเองครับ” ฉินซือรีบใช้มือดันใบหน้าของลู่ฉิวเยว่ออกไปทันที
[ฉินซือนี่เอง โทรมามีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?]
“คือว่า…” น้ำเสียงของฉินซือปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาในทันใด หลังจากนั้นเขาก็ได้บ่นให้แม่ของลู่ฉิวเยว่ฟังว่าเธอทำกับเขาเหมือนเป็นอากาศ เธอทำกับเขาด้วยความเย็นชา เธอทำกับเขาเหมือนเขาไม่มีตัวตน
ลู่ฉิวเยว่ยืนหัวเราะด้วยความโกรธอยู่ข้าง ๆ ทำไมเขาถึงทำตัวเป็นเด็กแบบนี้เนี่ย! ฟ้องแม่เธอยังไม่พอ เขายังใส่สีตีไข่เพิ่มเติมลงไปอีกด้วย หญิงสาวรู้สึกว่าถ้าฉินซือได้มีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม เขาต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน
“คุณใส่ความฉันได้ยังไง!” เธอบ่นออกมา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ของเธอกลับเชื่อถือคำพูดของฉินซืออย่างสนิทใจ เธอได้ยินเสียงแม่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ด้วยความโกรธเคือง [บอกให้ลู่ฉิวเยว่มาคุยโทรศัพท์เดี๋ยวนี้เลย!] นี่เป็นเพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อกับแม่ของเธอก็เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอปฏิบัติต่อฉินซืออย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านี่จะไม่ใช่คำโกหก
ลู่ฉิวเยว่จ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาดุร้าย ก่อนจะต้องจำใจรับโทรศัพท์ “แม่คะ”
[ทำไมลูกถึงไม่สนใจเขาขนาดนี้! ลู่ฉิวเยว่ ลูกทำแบบนี้ได้ยังไง? ก่อนหน้านี้ลูกเอาแต่คิดถึงเขาอยู่ทุกวัน แล้วทำไมลูกถึงทำกับเขาแบบนี้? อย่าคิดนะว่าแม่จะทำอะไรไม่ได้เมื่อลูกอยู่ในเมืองหลวง…] คนเป็นแม่ตำหนิติเตียนลูกสาวผ่านสายโทรศัพท์ ลู่ฉิวเยว่ไม่มีช่องว่างที่จะโต้แย้งได้เลย เธอจึงทำได้เพียงทนรับฟังอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินซือที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าพึงพอใจมากขึ้น
นั่นทำให้หลังจากวางสายแล้ว ลู่ฉิวเยว่ก็ตรงเข้าไปหยิกแก้มเขาด้วยความโกรธแค้นทันที เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะใช้วิธีนี้!
“พอใจแล้วหรือยัง?”
ฉินซือส่ายหน้าตอบกลับมา “ยัง”
ลู่ฉิวเยว่หันไปมองอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ คิดว่าเขายังรับประทานไม่อิ่ม จึงพยายามติดสินบน “งั้นฉันจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้คุณกิน แต่คุณต้องหายโกรธฉัน ตกลงไหม?”
ฉินซือมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้รับข้อเสนอ “ก็ได้ คุณต้องทำกับข้าวเพิ่มอีกหลายอย่างด้วย ไม่งั้นผมจะฟ้องอีก”
ลู่ฉิวเยว่แน่ใจมากว่าถ้าเขามีหาง หางของฉินซือก็คงกำลังชี้ฟ้าและกวัดแกว่งด้วยความภูมิใจอยู่แน่ ๆ
แต่เมื่อความคิดย้อนกลับไปถึงผู้หญิงที่ชื่อจ้าวซูซิน ฉินซือก็วิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย พ่อแม่ของเธอเป็นคนใหญ่คนโตพอสมควร และพวกเขาก็อาจจะมารังควานร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่อีกอย่างไม่เลิกรา
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ยังไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์ ฉินซือจึงพูดขึ้นมาว่า “วันพรุ่งนี้คุณมีเวลาไหม? ผมจะพาคุณไปทำเรื่องขอติดตั้งโทรศัพท์เอง”