สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 162 ยื่นเรื่องขอใบอนุญาต
บทที่ 162 ยื่นเรื่องขอใบอนุญาต
“รองประธานครับ ผมอยากถามว่าทำไมคุณถึงทำอาหารได้อร่อยทุกอย่างเลย?” หนึ่งในสมาชิกนั่งหลังตรง จ้องมองมาที่ลู่ฉิวเยว่ด้วยแววตาจริงจัง มีความกระตือรือร้นที่จะได้เก็บเกี่ยวความรู้
ลู่ฉิวเยว่กำลังใช้ช้อนตักน้ำซุป เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกเธอว่ารองประธาน หญิงสาวก็เกือบจะสำลักน้ำซุปโดยทันที
เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการทำอาหาร ลู่ฉิวเยว่ก็จะมีความเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่ร่วมวงอาหารอยู่ในวันนี้ต่างก็อยากจะได้รับคำแนะนำจากเธอ พวกเขานั่งแผ่นหลังเหยียดตรง รับฟังด้วยความตั้งใจ
“สิ่งที่คนเป็นเชฟควรให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือทักษะการใช้มีด ความรู้เรื่องการควบคุมอุณหภูมิความร้อน และการปรุงรสชาติค่ะ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของความร้อนกับรสชาตินั่นเอง” ลู่ฉิวเยว่พูด “วัตถุดิบแต่ละชนิดจำเป็นต้องใช้ความแรงของไฟไม่เท่ากัน การควบคุมความร้อนจะเป็นตัวกำหนดรสชาติของอาหาร เพราะฉะนั้น ฉันคิดว่าการฝึกควบคุมไฟจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นเรื่องที่คนทำอาหารสมควรให้ความใส่ใจมากที่สุด”
“อีกอย่าง” เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย “ในความคิดเห็นของฉัน นวัตกรรมในการทำอาหารก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน เราไม่ควรยึดติดกับวิธีการที่เก่าแก่โบราณมากเกินไป”
ดวงตาของทุกคนลุกวาว
“คำพูดของท่านรองประธานทำให้ผมตาสว่างจริง ๆ ครับ ในอดีต ผมเข้าใจมาโดยตลอดว่าวิธีการโบราณคือวิธีการที่ดีที่สุด แต่ผมไม่เคยคิดปรับตัวให้เข้ากับการทำอาหารในสมัยใหม่เลย มิน่าล่ะ หลายปีที่ผ่านมา ฝีมือของผมถึงไม่ไปไหนสักที”
“คำสอนของท่านประธานช่วยมอบทางสว่างให้กับพวกเรา…”
ลู่ฉิวเยว่โบกไม้โบกมือด้วยความถ่อมตัว
สมาชิกทุกคนที่อยู่ร่วมวงอาหารในวันนี้ต่างก็เป็นสุดยอดเชฟชื่อดังในวงการ พวกเขาสนใจด้านอาหารอย่างลึกซึ้ง พวกเขาพูดคุยกันได้แบบไม่รู้เบื่อ และเมื่อได้กลับไปที่สมาคม พวกเขาก็ยังได้นำเอาเรื่องนี้ไปบอกเล่าต่อสมาชิกคนอื่น ๆ อีกด้วย
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เหอสยงอิ๋งก็รักษาสัญญาที่ให้เอาไว้และสั่งให้เลขาประจำตัวพาลู่ฉิวเยว่ไปทำเรื่องขอใบอนุญาตเปิดร้านอาหารให้ถูกต้องในวันต่อมา
ผู้ที่รับเรื่องของเธอยังคงเป็นเจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนคนเดิม แต่เมื่อเธอได้รู้ว่าลู่ฉิวเยว่มาพร้อมกับคนที่เป็นตัวแทนของสมาคมนักทำอาหาร เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนก็ไม่ได้หยิ่งผยองเหมือนครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เธอโค้งคำนับและคอยช่วยเหลือเรื่องการขอใบอนุญาตด้วยความจริงใจ
“คุณลู่ ใบอนุญาตได้แล้วค่ะ”
ลู่ฉิวเยว่จ้องมองเจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าและทำได้เพียงหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไร เมื่อได้รับใบอนุญาตเรียบร้อย หญิงสาวก็หมุนตัวเดินออกมา ในช่วงหลังเธอค่อนข้างยุ่ง เธอไม่มีเวลามาสั่งสอนเจ้าหน้าที่หญิงคนนี้อีกแล้ว
ร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ได้รับการตกแต่งใหม่เกือบเสร็จสมบูรณ์ เธอจึงตัดสินใจกำหนดวันเปิดร้าน
“ร้านของคุณกำลังจะเปิดแล้ว ผมยังไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย” ในที่สุด ร้านอาหารของแฟนสาวก็กำลังจะเปิดตัว ฉินซือย่อมดีใจไปกับเธอด้วย แต่เขาก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้เมื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเธอเลย
ชายหนุ่มนั่งเศร้าไม่ต่างจากสุนัขที่ถูกทิ้ง ลู่ฉิวเยว่หัวเราะด้วยความชอบใจและลูบหลังมือของเขา “แค่นี้คุณก็ช่วยฉันได้เยอะแล้วค่ะ ถ้าไม่ใช่คุณ ฉันก็คงยังหาร้านไม่ได้ด้วยซ้ำ อีกอย่าง ฉันเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือตัวเองก่อนเสมอ ฉันไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากคุณ เพราะมันจะทำให้ฉันดูเหมือนคนไม่มีประโยชน์”
“ใครบอกแบบนั้น? แฟนผมเก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว” ฉินซือเอื้อมมือออกมาดึงเธอเข้าไปกอด เธอคือหญิงสาวที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกดีใจไปกับคำชมเชยของเขา เธอยกมือขึ้นจับใบหน้าของเขาด้วยสองมือ และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ฉินซือ ฉันอยากจะเดินเคียงคู่ไปกับคุณ”
ดวงตาของหญิงสาวปรากฏความหนักแน่นจริงจัง ฉินซือลุ่มหลงให้กับสายตาเช่นนี้ยิ่งนัก หน้าอกของเขารู้สึกร้อนผ่าวด้วยความตกตะลึง
“ดีจังเลย!”
แล้วสัมผัสร้อนอุ่นก็บังเกิดขึ้นที่ข้างแก้มของลู่ฉิวเยว่ ฉินซือหอมแก้มเธอ หญิงสาวยิ้มและกอดคอเขา และในอีกหลายปีให้หลัง ฉินซือก็ยังคงคิดถึงความสุขในบ่ายวันนี้ตอนที่หญิงสาวบอกเขาว่า ‘ฉินซือ ฉันอยากจะเดินเคียงคู่ไปกับคุณ’ อย่างไม่เสื่อมคลาย
…
ในขณะที่ร้านอาหารกำลังจะเปิดให้บริการ ลู่ฉิวเยว่ก็ได้นำด้ายแดงมาขึงไว้หน้าประตูร้าน เธอสั่งพิมพ์ใบปลิวและขอให้หวังเซวียนเซวียนช่วยนำไปเดินแจกตามท้องถนน เพียงไม่นาน ข่าวที่ว่าลู่ฉิวเยว่กำลังจะเปิดร้านอาหารใหม่ก็มาถึงหูของจ้าวซูซิน
เธอเคยคิดว่าที่ลู่ฉิวเยว่บอกว่าตนเองจะมาเปิดร้านอาหารในเมืองหลวงนั้น ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่ลู่ฉิวเยว่จะมาอาศัยอยู่กับฉินซือเท่านั้น จ้าวซูซินถึงกับนำเรื่องนี้ไปบอกเล่าให้บรรดาเพื่อนสนิทฟังในเชิงตลกขบขันอยู่หลายครั้ง
ใครจะไปคิดว่าลู่ฉิวเยว่จะกล้ามาเปิดร้านอาหารในเมืองหลวงจริง ๆ จ้าวซูซินรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอย่างซึ่งหน้า
ลู่ฉิวเยว่คิดว่าจะได้อยู่ในเมืองหลวงกับฉินซือไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!
จ้าวซูซินรีบโทรศัพท์ไปหาที่บ้านอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเป็นช่วงอาหารค่ำพอดี พ่อแม่ของเธออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อแม่บ้านบอกว่าลูกสาวโทรมาหา พวกท่านก็รีบวางตะเกียบลงและไปรับโทรศัพท์โดยทันที
“พ่อคะ แม่คะ…” ผู้อาวุโสทั้งสองท่านไม่คิดเลยว่าทันทีที่รับโทรศัพท์ก็จะได้ยินเสียงลูกสาวร้องไห้ พวกเขาจึงตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
แม่ของเธอรีบถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ลูกรัก เกิดอะไรขึ้น? มีใครรังแกลูกหรือเปล่า?”
จ้าวซูซินยกมือปาดน้ำตาและบอกเล่าเรื่องราวที่ลู่ฉิวเยว่กำลังจะมาเปิดร้านอาหารในกรุงปักกิ่ง
“แม่คะ หนูจะไม่ยอมให้มันมาเปิดร้านอาหารในเมืองหลวงแน่ ๆ พี่ฉินซือต้องเป็นของหนู แม่ต้องหาทางไล่มันกลับบ้านนอกไปให้ได้นะ!” เธอพูดออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนเป็นแม่ก็หันไปมองหน้าสามีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยความลำบากใจ “ซินซิน เลิกสร้างปัญหาได้แล้ว พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก”
“ไม่ได้ค่ะ พี่ฉินซือเป็นของหนูคนเดียวเท่านั้น!” จ้าวซูซินกรีดร้องออกมาพลางร้องไห้อย่างบ้าคลั่งจนถึงกับข่มขู่ว่า “ถ้าแม่ไม่ช่วยหนู หนูจะฆ่าตัวตายจริง ๆ ด้วย!”
“เหลวไหล!” แม่ของเธอดุ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าสามีด้วยความตื่นตระหนก พวกเขารู้ดีว่าลูกสาวของตัวเองเป็นคนวู่วาม ถ้าวันนี้ไม่รับปากว่าจะช่วยเหลือ เธอก็คงไม่ยอมกินอาหารไปอีกหลายวัน
คนเป็นพ่อขมวดคิ้ว หลังจากหยุดชะงักอยู่เล็กน้อย ดวงตาของเขาก็เป็นประกายแวววาว “สิ่งสำคัญที่สุดของคนเราคือภาพลักษณ์ เอาไว้ร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่เปิดเมื่อไหร่ พ่อจะส่งคนไปบอกว่าอาหารร้านนี้ไม่อร่อย เมื่อมีคนพูดกันปากต่อปากว่าร้านของเธอไม่อร่อย เดี๋ยวลู่ฉิวเยว่ก็ปิดร้านกลับบ้านนอกไปเองนั่นแหละ”
จ้าวซูซินได้ยินดังนั้นก็มีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
“คุณพ่อใจดีจังเลยค่ะ ถ้าเวลานั้นมาถึง คุณพ่ออย่าลืมเชิญเพื่อนพ่อไปกินอาหารร้านเธอด้วยนะคะ”
“ไม่ได้หรอก” คนเป็นพ่อขมวดคิ้ว เพื่อนนักธุรกิจของเขาแต่ละคนล้วนมีงานยุ่งรัดตัว แล้วเขาจะไปเชิญเพื่อน ๆ ให้มาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไร?
“คุณพ่อขา…” จ้าวซูซินใช้น้ำเสียงออดอ้อน “คุณพ่อไม่อยากได้ลูกเขยที่สมบูรณ์แบบอย่างพี่ฉินซือเหรอคะ?”
พ่อของเธอค่อนข้างชื่นชมในตัวของฉินซือ ในกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าลูกสาวของเขาแต่งงานกับฉินซือได้จริง ๆ เขาก็จะกลายเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่ดีมากขึ้น แล้วก็ยังจะได้เงินอีกมหาศาลด้วย
หลังจากทบทวนดูแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่สามารถทนการร้องขอจากลูกสาวได้จริง ๆ สุดท้าย เขาก็ต้องรับปาก
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว” เขากำชับกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่จ้าวซูซินกำลังดีใจที่พ่อแม่จะช่วยเหลือเธอขับไล่ลู่ฉิวเยว่กลับไปบ้านนอก เธอจึงไม่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ หญิงสาวเพียงรับคำไปแบบไม่สนใจและวางสายไปอย่างมีความสุข
…
ในไม่ช้าก็ถึงวันเปิดร้านอาหารของลู่ฉิวเยว่ เมื่อไม่มีพ่อแม่ของเธอมาคอยช่วยเหลือ การเปิดร้านจึงกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก โชคดีที่มีสมาชิกจากสมาคมนักทำอาหารอาสามาช่วยงาน ไม่อย่างนั้นแล้ว การเปิดร้านของลู่ฉิวเยว่กับหวังเซวียนเซวียนก็คงไม่มีทางราบรื่นอย่างแน่นอน