สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 158 ประกาศสงคราม
บทที่ 158 ประกาศสงคราม
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง “ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณท่านประธานมากนะคะ”
ฉินซือก็ยิ้มและขอบคุณเช่นกัน
หลังจากนั้น กลุ่มคนทั้งหกก็ไปถึงร้านอาหารที่เหอสยงอิ๋งเลือก
“ร้านนี้คนเยอะมากเลยเนอะ” ลู่ฉิวเยว่หันหน้ามองออกไปนอกกระจก ตอนนี้เลยเวลารับประทานอาหารมาแล้ว แต่ก็ยังมีคนเดินเข้าร้านไม่ขาดสาย บรรยากาศค่อนข้างมีชีวิตชีวา
ฉินซือเอื้อมมือไปช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัย “ถึงร้านนี้จะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่อาหารอร่อยมาก เห็นว่าบางวันขนาดสามทุ่มแล้วยังมีคนนั่งเต็มร้านอยู่เลยนะ”
ลู่ฉิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ “ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
นับว่าประธานเหอมีรสนิยมในการเลือกร้านจริง ๆ
หญิงสาวรีบลงจากรถอย่างรวดเร็วและเดินตามฉินซือเข้าไปในร้านอาหาร รถยนต์ของท่านประธานนำมาข้างหน้า ในขณะนี้ พวกเขาจึงไปรอพวกเธออยู่หน้าทางเข้าร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนั้นเอง ลู่ฉิวเยว่เดินเข้าไปภายในร้านแล้วจึงได้รู้ว่าต้องเป็นลูกค้าที่จองโต๊ะล่วงหน้าเท่านั้นถึงจะได้นั่งรับประทานอาหารร้านนี้ แต่โชคดีที่วันนี้พวกเขามากับท่านประธาน ทางร้านจึงจัดเตรียมโต๊ะพิเศษเอาไว้ให้
หลังจากนั้น มื้ออาหารก็ผ่านไปด้วยความราบรื่น ทุกคนรับประทานอาหารกันเกือบหมดแล้ว เหอสยงอิ๋งพูดคุยไม่หยุด แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะคุยแค่กับลู่ฉิวเยว่เท่านั้น
เป็นไปตามคาด ประธานเหอสยงอิ๋งมีวิสัยทัศน์ในเรื่องราวของวงการอาหารล้ำหน้าคนในรุ่นเดียวกันไปไกลหลายเท่า ซึ่งมักจะทำให้ดวงตาของลู่ฉิวเยว่เป็นประกายระยิบระยับเสมอ
ยิ่งเธอพูดคุยกับเขามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น ชายชราเองก็เช่นกัน
“ฉิวเยว่อายุยังน้อยมาก แต่ฝีมือทำอาหารไม่ธรรมดาเลยนะ” เหอสยงอิ๋งชมเชยลู่ฉิวเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า “ถ้าเธอเข้าร่วมสมาคมนักทำอาหารของฉัน พวกเราก็จะมียอดฝีมือเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนเชียว”
ลู่ฉิวเยว่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เธอเพียงยิ้มตอบกลับไปว่า “ท่านประธานชมเชยกันเกินไปแล้วค่ะ”
ในสายตาของเหลียงซิง คำพูดของหญิงสาวคือการปฏิเสธโดยไม่ไว้หน้าเหอสยงอิ๋ง นับว่าเธอเป็นคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ
แต่เนื่องจากมีท่านประธานนั่งอยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวาย ทำได้เพียงพูดออกไปว่า “ดูเหมือนคุณลู่จะไม่ชอบสมาคมของเราเอาเสียเลยนะครับ ท่านประธานครับ ผมว่าเราอย่าไปบังคับเธอเลย” แต่น้ำเสียงของเขานั้นไม่ได้มีความเป็นมิตรแม้แต่นิดเดียว
เหอสยงอิ๋งถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมหญิงสาวอีก ชายชราหันกลับมามองหน้าเหลียงซิ เขางรู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้กับลู่ฉิวเยว่คงมีเรื่องบาดหมางกันเป็นแน่แท้ ดังนั้นเขาจึงพยายามทำหน้าที่ขจัดความขัดแย้ง
“เหลียงซิงก็ทำอาหารเก่งมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง หลายครั้งอาจจะดูหยิ่งผยองเกินไปบ้าง หวังว่าคุณลู่จะไม่ถือสา”
ลู่ฉิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พยายามไว้หน้าชายชรา “ท่านประธานล้อเล่นแล้ว คุณเหลียงเป็นคนอ่อนไหวง่าย ฉันจะไปโทษเขาได้ยังไงกันคะ”
“คุณลู่ก็เก่งมากเลยนะครับ” เหลียงซิงยิ้มออกมา แววตาแสดงออกว่าไม่พอใจ “ตอนที่ผมได้พบกับคุณระหว่างแข่งขันทำอาหาร ผมก็ได้รู้แล้วว่าในโลกนี้ยังมีคนที่เก่งมากกว่าตัวเองอยู่ด้วย ผมชื่นชมฝีมือการทำอาหารของคุณมาก ไม่ทราบว่าพวกเราจะได้ประลองกันอีกเมื่อไหร่ดีครับ?”
ลู่ฉิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย นี่คือการประกาศสงครามใช่ไหม?
แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกไป สายตาของเหอสยงอิ๋งก็เป็นประกายแวววาวขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะเกิดความคิดอะไรบางอย่างจากคำพูดของเหลียงซิง ชายชรายิ้มและกล่าวว่า “ข้อเสนอนี้ไม่เลวเลยนะ คุณลู่ให้โอกาสเขาแสดงฝีมือหน่อยสิ หลังจากนั้น คุณจะได้เตรียมตัวแข่งอย่างสบายใจ ไม่ต้องมาเป็นกังวลเรื่องอื่นอีกแล้ว และผมจะหาทางช่วยเหลือคุณอีกทางหนึ่งด้วย”
เมื่อท่านประธานประกาศออกมาเช่นนี้ ลู่ฉิวเยว่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ในเมื่ออีกฝ่ายประกาศสงครามมาก่อน เธอก็ไม่ควรทำตัวเป็นเต่าหดหัวปฏิเสธการต่อสู้หรอกใช่ไหม?
“ได้เลยค่ะ!” ลู่ฉิวเยว่รับคำเสียงดัง
เหลียงซิงได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจึงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ครั้งนี้แหละ เขาจะไม่ปล่อยให้ลู่ฉิวเยว่ได้กลายเป็นผู้ชนะอีกแล้ว เขาจะทำให้เธอได้รู้ว่าการที่ต้องพ่ายแพ้คนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่นนั้นมันรู้สึกเช่นไร!
หลังจากนั้น พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะทำการประลองฝีมือกันในวันมะรืนนี้ ส่วนสถานที่จัดการประลอง ท่านประธานจะเป็นคนดูแลเอง
เมื่อเห็นว่าร้านอาหารกำลังจะปิด พวกเขาก็รีบกลับออกมาและแยกย้ายกันไปที่บ้านของตนเอง
นี่คือวันแห่งความวุ่นวายอย่างแท้จริง ลู่ฉิวเยว่จึงเข้านอนโดยทันที เธอวางแผนที่จะเตรียมวัตถุดิบสำหรับการแข่งขันในอีกสองวันข้างหน้า
แต่หญิงสาวคิดไม่ถึงเลยว่ารุ่งเช้าวันต่อมา เหอสยงอิ๋งจะมาหาเธอที่บ้านอีกครั้ง
“ท่านประธานเหอ มาทำอะไรที่นี่คะ?” เธอจ้องมองชายชราที่หน้าประตูด้วยความประหลาดใจและรีบเปิดประตูออกกว้างให้เขาเดินเข้ามา
เหอสยงอิ๋งนั่งลงและรับถ้วยน้ำชาที่เธอยื่นส่งให้ พูดอย่างใจดีว่า “พรุ่งนี้ก็เป็นวันประลองฝีมือแล้ว ไม่ทราบว่าคุณลู่เตรียมวัตถุดิบพร้อมแล้วหรือยัง?”
ลู่ฉิวเยว่ส่ายหน้า ตอบกลับไปยิ้มๆ ว่า “ยังเลยค่ะ ฉันกำลังจะออกไปซื้อพอดี แต่ท่านประธานก็มาซะก่อน”
“ไม่เป็นไร” เหอสยงอิ๋งหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “แต่ถ้ามีวัตถุดิบชนิดใดที่คุณหาซื้อไม่ได้ คุณบอกผมได้นะ เดี๋ยวผมจะช่วยเอง” เขาได้ยินว่าเด็กคนนี้มาจากชนบท เธออาจจะไม่คุ้นเคยที่ทางในเมืองหลวงและอาจจะไม่รู้ว่าจะไปซื้อหาวัตถุดิบจากที่ไหน เขาอยากช่วยเหลือเธอจึงเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่เช้า
ลู่ฉิวเยว่ย่อมเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเมืองหลวง วัตถุดิบที่เธอจะใช้ในการทำอาหารวันพรุ่งนี้ประกอบไปด้วยดีปลีและสมุนไพรที่ชื่อว่าเกาโค่ว แต่พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ปลูกได้ในเมืองหลวง ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อได้จากที่ไหน
ถ้าวัตถุดิบที่ถูกนำมาใช้ทำอาหารเป็นของคุณภาพต่ำ ไม่ว่าแม่ครัวจะมีฝีมือดีเลิศเพียงใด แต่ก็คงไม่สามารถรังสรรค์ความอร่อยออกมาได้อย่างเต็มที่ ลู่ฉิวเยว่ตั้งใจจะเดินออกไปเสี่ยงโชคตามตลาดต่าง ๆ เธอไม่คิดเลยว่าท่านประธานจะมาช่วยเหลือถึงที่บ้านอย่างนี้
ในเมื่อท่านประธานใจดีมากพอที่จะช่วยเหลือ เธอก็ไม่คิดปฏิเสธเช่นกัน ลู่ฉิวเยว่ตอบตกลงโดยทันทีว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ ฉันกำลังปวดหัวอยู่พอดีว่าจะไปหาซื้อจากที่ไหน ขอบคุณท่านประธานมากเลยนะคะ”
หลังจากพูดจบแล้ว เธอก็จดรายชื่อวัตถุดิบที่ต้องการลงบนกระดาษด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่มีปัญหา ผมจะสั่งให้เลขาเอาของมาให้คุณในตอนบ่ายนะ” เหอสยงอิ๋งพูดหลังจากจิบน้ำชา
ลู่ฉิวเยว่ไม่อยากจะฉวยโอกาสเอาเปรียบชายชรา เธอจึงรีบพูดด้วยความกระตือรือร้น “ฉันกำลังจะทำเครื่องปรุงพอดี เดี๋ยวฉันจะทำเผื่อท่านประธานนะคะ”
เครื่องปรุง?
เหอสยงอิ๋งมีดวงตาเป็นประกายแวววาว หญิงสาวผู้นี้ทำเครื่องปรุงหม้อไฟส่งร้านอาหารให้ผู้อื่น เขาเองก็เคยชิมความอร่อยของมันมาแล้วเช่นกัน
ชายชราพยักหน้าและตอบว่า “ดีเลย”
“งั้นผมจะไม่รบกวนคุณแล้ว คุณลู่ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการประลองวันพรุ่งนี้ด้วยนะ” เหอสยงอิ๋งพูดหลังจากก้มมองนาฬิกาข้อมือ
ลู่ฉิวเยว่รีบลุกขึ้นเดินออกไปส่งแขก
ในเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากท่านประธาน เธอก็ไม่ต้องออกไปข้างนอกอีกแล้ว วัตถุดิบขั้นพื้นฐานส่วนอื่น ๆ ล้วนมีอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว
ลู่ฉิวเยว่เริ่มต้นเตรียมวัตถุดิบสำหรับใช้ในการประลองวันพรุ่งนี้ด้วยจิตใจที่สงบ
รุ่งเช้าวันต่อมา เธอก็ออกเดินทางด้วยรถยนต์ของฉินซือ ในเมื่อวันนี้เธอกำลังจะต้องทำอาหาร หญิงสาวจึงรวบผมเป็นหางม้าอยู่ทางด้านหลัง หน้าตาสดชื่นแจ่มใส
“สู้ ๆ นะ” ก่อนที่จะลงจากรถ ฉินซือหันมองรอบข้าง เมื่อพบว่าไม่มีใครเห็น เขาก็หอมแก้มเธออย่างรวดเร็ว
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกร้อนผ่าวที่ข้างแก้ม หยุดชะงักเล็กน้อย รู้สึกชาไปทั้งใบหน้า เธออดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ แกล้งทำเป็นหันไปมองเขาด้วยความโกรธ ก่อนจะเปิดประตูรีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว
และเพื่อไม่ให้ตนเองอยู่เป็นก้างขวางคอ หวังเซวียนเซวียนจึงรีบลงมาจากรถก่อนหน้านั้น ตอนนี้เขากำลังอยู่ข้างถนน ยืนพิงต้นไม้ จ้องมองทิวทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย
ลู่ฉิวเยว่เดินไปพร้อมกับกระเป๋าคู่ใจ ฉินซือมีงานต้องกลับไปทำจึงอยู่ให้กำลังใจไม่ได้ เขาจึงขอให้หวังเซวียนเซวียนช่วยมาเป็นตัวแทนให้กำลังใจลู่ฉิวเยว่
“เข้าไปกันเถอะ” เธอยิ้มกว้าง
หวังเซวียนเซวียนพยักหน้า รีบเดินตามเธอไปอย่างรวดเร็ว เขาช่วยเธอถือกระเป๋าที่ใส่เครื่องปรุงสำหรับทำอาหารทั้งหมด
ทั้งสองคนมองเห็นได้ตั้งแต่ไกลว่าท่านประธานมารออยู่ก่อนแล้ว ลู่ฉิวเยว่ตกตะลึงไม่น้อย เธอต้องรีบเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้างท่านประธาน เธอก็ต้องหรี่ตาลงด้วยความไม่พอใจ