สูตรลับแม่ครัวมือทองในยุค80 - บทที่ 14 คำสารภาพของผู้อำนวยการสวี (รีไรท์)
บทที่ 14 คำสารภาพของผู้อำนวยการสวี (รีไรท์)
บทที่ 14 คำสารภาพของผู้อำนวยการสวี (รีไรท์)
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็รู้สึกประทับใจหน่อย ๆ ไม่เคยคิดว่าฉินซือจะเชื่อเธอโดยไม่ลังเล
“เยว่เยว่ เกิดอะไรขึ้น?”
ทันทีที่ลู่ฉิวเยว่นั่งลงในห้องนั่งเล่น ทั้งแม่ คุณลุง และป้าสะใภ้ของเธอก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก
พวกเขารีบกลับมาทันทีที่ทราบข่าว รีบเข้ามาทั้งที่ยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าลุยน้ำที่เปื้อนโคลนออกเลยด้วยซ้ำ
พ่อของหญิงสาวเดินโขยกเขยกตามมาข้างหลัง
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ผู้เป็นแม่มองดูเธออย่างระมัดระวัง
คนที่เหลือก็จ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกอุ่นใจ หลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตในชาติที่แล้ว เธอไม่เคยรู้สึกถึงความรักแบบนี้มาก่อน
ชีวิตนี้เป็นเพียงของขวัญจากสวรรค์ที่มอบให้เธอ ทำให้เธอได้พบกับญาติมิตรที่ปฏิบัติต่อเธอดีงามอย่างสุดหัวใจ
“หนูไม่ได้รับบาดเจ็บ คุณฉินซือมาช่วยหนูเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี ดูสิ หนูไม่เป็นอะไรสักหน่อย” เธอยิ้มปลอบพลางลุกขึ้นยืนและกระโดดให้ทุกคนได้เห็น
ดวงตาของผู้เป็นแม่เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที “ดีจังเลยนะ… ดีจัง”
คู่สามีภรรยามีลูกสาวคนเดียว เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ…
แม่ลู่ตัวสั่น ไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้
เธอกอดลูกสาวของเธอแน่น พูดด้วยความกลัวว่า “แม่จะไม่ออกไปข้างนอกตอนบ่าย ลูกเองก็ไม่ต้องไปไหนเหมือนกัน”
“ใช่ พ่อกับแม่จะคอยดูแลลูกเอง” ผู้เป็นพ่อเดินยันไม้ค้ำเข้ามาทางประตู
คุณลุงและภรรยาของเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเคร่งขรึม พวกเขายังบอกอีกว่าจะเชิญคนในหมู่บ้านมาเฝ้ายามด้วยเช่นกัน
“คนพวกนั้นออกไปแล้ว อย่ากังวลไปเลยค่ะ เดี๋ยวคุณฉินจะจัดการให้เอง”
ลู่ฉิวเยว่รู้สึกหมดหนทางจริง ๆ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบปรากฏขึ้นบนหลังฝ่ามือ เธอเองก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
แต่ไม่ว่าเธอจะเกลี้ยกล่อมมากแค่ไหน พ่อแม่ คุณลุง และป้าสะใภ้ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจอยู่ดี
ลู่ฉิวเยว่ยกมือขึ้นกุมหน้าผากของเธอ เธอยิ้มอย่างร่าเริงและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตกลง
คนของฉินซือรีบเรียกคืนผลไม้กระป๋องทั้งหมดกลับมาและขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบส่วนผสมทันที
ผลตรวจเป็นไปตามที่เธอคาดเดา มีคนใส่ยาถ่ายลงไปในผลไม้กระป๋องเหล่านั้น
ปริมาณของยาถ่ายที่ใส่ลงไปมากพอจะทำให้ผู้ใหญ่สุขภาพแข็งแรงมีอาการท้องร่วง ส่นผู้ที่อ่อนแอกว่า โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กที่มีกระเพาะอาหารอ่อนแอ ก็มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงมากกว่ากันหลายเท่า
“มีคนงานจำนวนมากในโรงงาน คงยากที่จะค้นหาว่าใครเป็นคนทำ” ฉินซือพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อน หลังจากเกิดความวุ่นวายโกลาหลในครั้งนี้ คนร้ายต้องระวังตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน
ลู่ฉิวเยว่กังวลใจเพราะยุคสมัยนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด
ผลไม้กระป๋องเหล่านั้นผ่านมือคนงานเป็นจำนวนมาก ย่อมไม่สามารถตรวจลายนิ้วมือได้เช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง ผมส่งคนไปเฝ้าที่โรงงานเอาไว้แล้ว ถ้าคนร้ายเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ รับรองว่าเขาต้องถูกจับได้แน่นอน”
ลู่ฉิวเยว่เอาแต่ขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ฉินซือจึงอดไม่ได้ที่จะปลอบโยนเธอ
ลู่ฉิวเยว่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “นี่คงเป็นทางเดียวแล้วสินะคะ”
ไม่กี่วันต่อมา ฉินซือก็สามารถจับคนร้ายได้จริง ๆ คนร้ายเป็นคนงานในโรงงาน ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหนเลย
ทุกคนต่างโกรธและขู่ว่าจะส่งเขาไปที่สถานีตำรวจ
ฉินซือรู้สึกว่าถึงเวลาต้องเชือดไก่ให้ลิงดูสักที แต่ลู่ฉิวเยว่หยุดเขาไว้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอพูดอย่างจริงจัง “เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ภาพลักษณ์โรงงานผลไม้กระป๋องของพวกเราต้องเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องกอบกู้ภาพลักษณ์กลับคืนมา”
ฉินซือพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นผมจะทำตามที่คุณบอก”
เช้าวันรุ่งขึ้น มีข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่าลู่ฉิวเยว่กำลังจะถูกฉินซือส่งตัวไปที่สถานีตำรวจ ข่าวลือนี้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านเยว่เหลียง
กลุ่มคนจึงรวมตัวกันที่หน้าประตูบ้านคุณลุงของลู่ฉิวเยว่เพื่อดูความบันเทิง
“เฮ้อ ฉันคิดว่าในที่สุดหมู่บ้านของเราจะมีโอกาสพัฒนา แต่ตอนนี้… ” คนคนหนึ่งส่ายหัวด้วยความผิดหวังและถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า? ฉันเองก็กินของที่เธอทำไปตั้งเยอะ ทำไมฉันไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“หุบปากซะ! คุณยังจะปกป้องนังนั่นอยู่อีกเหรอ!”
“หยุดพูดได้แล้ว ตำรวจมาแล้ว!”
คนหนึ่งตะโกนขึ้น ผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานประตูบ้านคุณลุงของลู่ฉิวเยว่ก็แออัดขึ้นมาในทันที
ลู่ฉิวเยว่และฉินซือยืนเคียงข้างกันในห้องใต้หลังคาขนาดเล็ก
“มาแล้ว” ลู่ฉิวเยว่เงยหน้าขึ้นราวกับจิ้งจอกตัวน้อยผู้เจ้าเล่ห์
เธอเห็นชายคนหนึ่งท่าทางกระฉับกระเฉงเป็นพิเศษในฝูงชน
ผู้อำนวยการสวีจะไม่มาในเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เงียบ!” ตำรวจคำรามและฝูงชนก็เงียบเสียงลงทันที
เขาถามว่า “นี่คือบ้านของลู่ฉิวเยว่ใช่ไหม”
“ใช่ นี่คือบ้านของลู่ฉิวเยว่ เธออยู่ข้างใน” ผู้อำนวยการสวีตะโกนออกมาด้วยความดีใจท่ามกลางฝูงชน
นังตัวแสบ เธอกำลังจะได้ลิ้มรสชาติของการมาเป็นศัตรูกับเขา!
ตำรวจไม่รีบร้อนที่จะพังประตูเข้าไป แต่หันศีรษะไปถามสวีหมิงว่า “คุณเป็นใคร”
“คุณตำรวจ ผมชื่อสวีหมิง เป็นผู้อำนวยการสหกรณ์จำหน่ายสินค้าในเมือง”
“โอ้ ~” ตำรวจเบิกตาโตเหมือนนึกอะไรได้ ก่อนจะนำกุญแจมือออกมาและใส่กุญแจมือสวีหมิง
“คุณตำรวจ คุณกำลังทำอะไร?” พอมือถูกกุญแจมือเย็น ๆ ผู้อำนวยการสวีก็ตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ตำรวจพูดอย่างจริงจัง “พวกเรามาที่นี่เพื่อจับตัวคุณนี่แหละ”
“สหายสวีหมิง คุณเป็นคนบงการให้คนร้ายใส่ยาเบื่อหนูลงไปในผลไม้กระป๋อง ที่ผลิตโดยโรงงานในหมู่บ้านเยว่เหลียง ส่งผลให้มีเด็กสองคนต้องเสียชีวิต!”
ผู้อำนวยการสวีตกใจกับคำพูดเย็นชานั่น
ยาเบื่อหนู… มีคนเสียชีวิต…
“ผมไม่ได้ทำนะ!” เขาดิ้นรนอย่างสิ้นหวังและตะโกนด้วยความไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร ผมขอให้เขาใส่ยาถ่ายลงไปเท่านั้น ไม่ได้ให้ใส่ยาเบื่อหนูสักหน่อย! สหายตำรวจ ผมไม่รู้อะไรเลย คุณเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ผมนะ… พวกเขาต่างหาก พวกเขาเปลี่ยนยาตามอำเภอใจต่างหาก ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย…”
“จริงเหรอ? จากการสอบสวนของผม ถ้าคุณไม่ได้มีเจตนาร้ายจริง ๆ แล้วคุณจะจ้างให้คนไปใส่ยาถ่ายทำไม”
จิตใจของผู้อำนวยการสวีตื่นตระหนกมากจนคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป เขาแค่ต้องการอธิบายตัวเอง “ถ้าเขาและลู่ฉิวเยว่ไม่ตั้งโรงงาน ชาวบ้านจะมาขายสาลี่ให้พวกเขาแบบนี้เหรอ? มีใครรู้บ้างว่าฉันเกือบโดนไล่ออก! ใส่ยาถ่ายลงไปแค่นิดหน่อยจะเป็นอะไรไป ไม่ได้ทำให้ใครตายสักหน่อย!”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง!” ลู่ฉิวเยว่เปิดประตู เดินออกมาพร้อมยิ้มให้สวีหมิง “ผู้อำนวยการสวี แสดงว่าคุณยอมสารภาพแล้วใช่ไหม?”
ผู้อำนวยการสวีสับสน เอาแต่จ้องมองที่ลู่ฉิวเยว่ เขาไม่รู้อีกแล้วว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่านี่คือการจัดฉากของลู่ฉิวเยว่ ไม่มีการใส่ยาเบื่อหนูอะไรทั้งนั้น เขาสบถด้วยความโกรธออกมาว่า “ลู่ฉิวเยว่ กล้าดียังไงมาจัดฉากฉัน! ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปแน่! คอยดูให้ดีเถอะ!”
“ผู้อำนวยการสวี ถ้าคุณไม่ได้ทำเรื่องเลว ๆ ตั้งแต่แรก คุณจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย!” ลู่ฉิวเยว่พูดอย่างเย็นชา
ไฟสว่างวาบปรากฏขึ้นไม่ไกล มันคือกล้องวิดีโอและนักข่าวกลุ่มใหญ่กำลังบันทึกภาพอยู่ไม่ห่างออกไป
ตามที่คาดไว้ มันจะอยู่ในข่าววันพรุ่งนี้
สวีหมิงรู้ว่าอนาคตของเขาจบลงแล้ว
อย่าพูดถึงการกลับไปทำงานที่สหกรณ์จำหน่ายสินค้าประจำอำเภอเลย เกรงว่าแม้แต่การออกไปสู้หน้าคนก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขาก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก ท่าทางประหนึ่งหมาหงอยตัวหนึ่งเท่านั้น