สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย - บทที่ 557 งานแต่งที่ร่วงลงมาจากฟ้า
บทที่ 557 งานแต่งที่ร่วงลงมาจากฟ้า
บทที่ 557 งานแต่งที่ร่วงลงมาจากฟ้า
ฟ่านเหยี่ยนรุดเข้าไปในพระตำหนักจินเหลียนด้วยความโกรธ
ฉู่กู้เฟยกำลังหยอกล้อกับพระธิดาอายุหนึ่งขวบปีของอวี้ผิน เมื่อเห็นเขารุดเข้ามาด้วยความโกรธ จึงพยายามกดรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้
อวี้ผินตระหนักได้ว่าเกิดอันใดขึ้นจึงจากไปพร้อมกับองค์หญิงน้อยในอ้อมแขนนาง
“มีอันใดหรือ? ถึงได้มาหาเสด็จแม่เช้าตรู่ถึงเพียงนี้” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ย
“เสด็จแม่ วันนี้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสลงมาแล้ว” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ย “เรื่องนี้ท่านรู้หรือไม่?”
“สมรส? กับแม่นางสกุลใดหรือ?” ฉู่กุ้ยเฟยดูนิ่งสงบยามกล่าวออกมาเช่นนั้น
นางต้องการให้ฟ่านเหยี่ยนแต่งงานโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จริง ๆ หากมีอำนาจของสกุลเยว่สนับสนุน เช่นนั้นจะทำสิ่งใดย่อมง่ายขึ้น ทว่าฟ่านเหยี่ยนกลับมุ่งมั่นที่จะรอแม่นางจากสกุลลู่ผู้นั้น ประหนึ่งว่าเขาถูกผีร้ายเข้าสิง ไม่ว่าฉู่กุ้ยเฟยจะโกรธเพียงใดก็รู้ว่าตนไม่อาจโน้มน้าวใจพระโอรสของตนได้ ดังนั้นเมื่อใคร่ครวญไตร่ตรองกลับไปกลับมาแล้ว นางจึงคิดจะหาวิธี ‘ไล่’ แม่นางสกุลลู่ผู้นั้นออกไปก่อน แล้วค่อยจัดการกับงานแต่งงานของฟ่านเหยี่ยน
ฮ่องเต้เฒ่าหมู่นี้ยิ่งทำเรื่องที่แปลกขึ้นทุกที ๆ เหตุใดจึงตัดสินใจเรื่องงานแต่งโดยไม่แม้แต่ปรึกษาหารือกับนาง?
“ท่านไม่รู้หรือ?” ฟ่านเหยี่ยนมองฉู่กุ้ยเฟยด้วยสายตาจับพิรุธ
“เหตุใดแม่ต้องโกหกเจ้า? เหยี่ยนเอ๋อร์ เสด็จพ่อของเจ้าพระราชทานงานแต่งเช่นใดให้เจ้าหรือ?” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยถาม
“แม่นางสามสกุลหยาง น้องสาวแท้ ๆ ของพระชายาองค์รัชทายาท” ฟ่านเหยี่ยนหัวเราะเยาะ
“อันใดนะ?” ฉู่กุ้ยเฟยตลึงงัน “เหตุใดต้องเป็นสกุลหยาง?”
นางคิดถึงความเป็นไปได้ทุกทางแล้ว ทว่านางนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสกุลหยาง สกุลหยางมีพระชายารัชทายาทคนหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีทางวางเดิมพันกับองค์ชายพระองค์อื่น
“แม่นางสามสกุลหยาง ข้าจำได้ว่านางเป็นบุตรสาวของอนุ” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ผิด นางเป็นบุตรสาวอนุ” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม “เสด็จแม่ ท่านพยายามใช้ลูกไม้มากมาย ทว่าท้ายที่สุดแล้วท่านกลับพลาดไปหนึ่งก้าว”
“ที่แท้เป็นผู้ใดคิดจะทำร้ายโอรสของข้า?” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยความโมโห “ตอนนี้ยังไม่แต่งงาน ยังพอหวนกลับได้ งานแต่งกับสกุลหยางนี้ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นพวกเราจะเสียหายอย่างหนัก”
“ความหมายของเสด็จพ่อ ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? เขากำลังเตือนพวกเราให้สงบเสงี่ยม หยุดคิดเรื่องที่ไม่ควรคิด” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น “หากเราไม่ทำตามการจัดการของเขา เช่นนั้นจะเป็นการขัดคำสั่ง ด้วยนิสัยหวาดระแวงของเสด็จพ่อ ท่านคิดว่าเขาจะจัดการกับเราอย่างไร?”
“หรือว่าเจ้าต้องแต่งงานไปเช่นนี้…” ฉู่กุ้ยเฟยคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง
ฟ่านเหยี่ยนหาที่นั่งลง หลุบตาอย่างสิ้นท่า
“งานแต่งนี้ยังไม่สู้แต่งกับสกุลลู่ด้วยซ้ำ ถึงแม้ตำแหน่งขุนนางของลู่อี้จะไม่สูง พวกเราก็ช่วยส่งเสริมเขาให้ปีนขึ้นไปได้ ทว่าสกุลหยาง…”
ฉู่กุ้ยเฟยกำลังครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้มองเห็นแววตาทดท้อใจในสายตาบุตรชายของตนแม้แต่น้อย
เขาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมานานหลายปี ใช้ชีวิตอิสระเสรี คิดว่าตนเป็นนกที่โผบินได้อย่างอิสระ ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ เขาถึงได้ตระหนักว่าตนเป็นนก แต่เป็นนกขมิ้นที่อยู่ในกรง
“ข้าไปก่อนแล้ว” ฟ่านเหยี่ยนลุกขึ้น
“เหยี่ยนเอ๋อร์ พวกเรามาคิดหาวิธีอื่นเถิด” ฉู่กุ้ยเฟยเห็นบุตรชายเป็นเช่นนี้พลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“เสด็จแม่ ช่างเถิด ราชโองการถ่ายทอดลงมาแล้ว ไม่มีทางหวนกลับ” ฟ่านเหยี่ยนมองนาง “ท่านก็ล้มเลิกความคิดเสียเถิด พวกเราไม่มีโชคชะตานี้”
“เหยี่ยนเอ๋อร์…” ฉู่กุ้ยเฟยมองเขา “โชคชะตาอยู่ในมือผู้แข็งแกร่ง ในตอนนั้นเสด็จพ่อของเจ้าเป็นเพียงองค์ชายที่ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาผู้หนึ่ง หากเขาปีนป่ายขึ้นไปได้ เจ้าก็ปีนป่ายขึ้นไปได้เช่นกัน เจ้าไม่ได้ชอบแม่นางสกุลลู่หรือ? ตอนนี้นางยังเล็ก ยามนี้เจ้าเพียงตระเตรียมไว้ก่อน เมื่อเจ้าได้อำนาจมาอยู่ในมือเมื่อไหร่ หากต้องการสตรีผู้หนึ่งจะยังไม่ง่ายดายได้อย่างไร?”
“ข้าอยากอยู่ลำพังสักพัก” ฟ่านเหยี่ยนเดินจากไป
ตอนนี้สมองของเขาว่างเปล่า ไม่อาจคิดสิ่งใดได้ทั้งสิ้น เมื่อเขารู้สึกตัว จึงพบว่าตนมาโผล่อยู่ในสถานที่ซึ่งห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง
“เจ้าเด็กคนนี้ ให้เจ้าทำอะไรก็ทำไม่ได้เรื่องสักอย่าง” เสียงตะคอกดังขึ้น
จากนั้นจึงมีเสียงหวดแส้ตามมา
ฟ่านเหยี่ยนตามเสียงนั้นไป เห็นเพียงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยอ่างน้ำ ถังน้ำ และเสื้อผ้า นางกำนัลเล็กถูกขันทีผู้หนึ่งรังแก
นางกำนัลเล็กแสดงความหัวแข็งของนางออกมา แม้จะถูกเฆี่ยนตีเพียงใดก็ไม่ปริปาก
ฟ่านเหยี่ยนมองหน้าของนางกำนัลเล็กคนนั้นพลันต้องตะลึงงัน
“หยุดนะ!”
ในลานมีคนมากมาย กลับไม่มีผู้ใดสนใจเมื่อขันทีเฆี่ยนตีนางกำนัลแม้แต่น้อย บัดนี้เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะโกน สายตาหลายคู่พลันมองตามเสียงมา
เมื่อเห็นฟ่านเหยี่ยนที่แต่งกายด้วยชุดคลุมหรูหรา พวกเขาจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นถวายความเคารพทันที
“คารวะท่านอ๋อง”
ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ขันทีผู้ดูแลที่นี่อยู่ที่ใด?”
ขันทีผู้ดูแลนั่งดื่มชาอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์อยู่ข้างใน เมื่อได้ยินเสียงอึกทึกข้างนอก เขาจึงเร่งร้อนออกมาคุกเข่าลงตรงหน้าฟ่านเหยี่ยน “บ่าวคารวะท่านอ๋อง”
“นำตัวบ่าวต่ำช้าคนนี้ไปขัดส้วม” เขาชี้ไปยังขันทีที่เฆี่ยนตีคนเมื่อครู่นี้
“พ่ะย่ะค่ะ ๆๆๆ”
คนอื่น ๆ ล้วนคุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงนั้น
ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยกับนางกำนัลเล็ก “เจ้าเงยหน้าขึ้น”
นางกำนัลเล็กเงยหน้าขึ้น เผยใบหน้าพริ้มเพราประณีตเปี่ยมเสน่ห์ให้เห็น
เมื่อเห็นใบหน้านั้น ดวงตาของฟ่านเหยี่ยนปรากฏความผิดหวังออกมาแวบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากนาง
จากตำแหน่งนี้ ช่างเหมือนกับ…
ดวงหน้ายังคล้ายคลึงกันนัก
“เจ้านามว่าอันใด?”
“จ้าวอวิ๋นซวงเพคะ”
“อวิ๋น… ซวง” ฟ่านเหยี่ยนหลุบตาลง กล่าวเพียงหนึ่งประโยคแล้วจากไป
ทันทีที่ฟ่านเหยี่ยนจากไป คนอื่น ๆ พลันห้อมล้อมเข้ามา
“อวิ๋นซวง เจ้าโชคดีแล้ว” ขันทีผู้ดูแลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“กงกงล้อเล่นแล้ว” จ้าวอวิ๋นซวงเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง
“โธ่เอ๊ย เหตุใดเจ้าบาดเจ็บเช่นนี้? หลี่กงกงนี่จริง ๆ เลย ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา เด็ก ๆ เชิญหมอหลวงมาเร็วเข้า” ขันทีผู้ดูแลร้องขึ้นด้วยท่าทีเกินจริง
ก่อนที่หมอหลวงจะมาถึง คนของฉู่กุ้ยเฟยกลับมาถึงก่อน
คนของฉู่กุ้ยเฟยพาตัวจ้าวอวิ๋นซวงไปทันที
ลู่จื่ออวิ๋นไปส่งเสื้อผ้าที่ตัดเย็บแล้วที่จวนอู่อันโหว เมื่อนางออกมาจากจวนอู่อันโหว รถม้าคันหนึ่งพลันแล่นมาหยุดอยู่ตรงหน้า
ฟ่านเหยี่ยนที่นั่งอยู่ในรถม้ามองนาง
“ท่านอ๋อง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้าจะเชิญเจ้าไปทานอาหาร ขึ้นรถม้า”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์” ฟ่านเหยี่ยนมองนางด้วยสายตาดึงดัน “อย่างไรข้าก็เป็นถึงท่านอ๋อง เจ้าคงไม่ลืมกระมัง?”
ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้วมุ่น
วันนี้ฟ่านเหยี่ยนมีบางอย่างแปลกไป
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
“ท่านอ๋องเชิญไปทานข้าวหรือ! พวกเราไปด้วยได้หรือไม่?” เสียงของเซี่ยชิงโจวดังขึ้น
ลู่จื่ออวิ๋นและฟ่านเหยี่ยนหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน จึงเห็นรถม้าของจวนอู่อันโหวเพิ่งกลับมา อีกทั้งคนในรถม้านั้นยังเป็นเซี่ยชิงโจวและเซี่ยเฉิงจิ่น
“ข้าเองก็อยากทานอาหารที่ท่านอ๋องเลี้ยงเช่นกัน” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเซวียนอ๋องจะมอบเกียรตินี้ให้หรือไม่”
ประเสริฐยิ่ง เขาดูเหมือนองค์ชายยิ่งกว่าฟ่านเหยี่ยนเสียอีก
อันที่จริงหากว่ากันตามหลักแล้ว เขาก็นับได้ว่าเป็นพระประยูรญาติเช่นกัน เพียงแต่เป็นพระประยูรญาติของฮ่องเต้อาณาจักรเฟิ่งหลิน ผู้ใดให้มารดาของเขาเป็นพระราชธิดาของฮองเฮาเล่า?
บัดนี้ฟ่านเหยี่ยนพลันควบคุมอารมณ์ไม่ได้เล็กน้อย
นับแต่เขาได้พบกับลู่จื่ออวิ๋น หลายปีมานี้ เขาไม่เคยมองสตรีอื่นใดเลย
ในตอนแรกเขาเพียงแค่เห็นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เป็นน้องสาว ทว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด เขาถึงเริ่มมีความคิดอย่างหนุ่มสาวต่อนาง
เขาคิดว่าขอแค่เพียงรออีกไม่กี่ปี รอให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เติบใหญ่ขึ้น เขาจะได้ทำอย่างที่ใจตนปรารถนา ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า? สมรสพระราชทานที่หล่นลงมาจากฟ้านั่นทำให้ความฝันของเขาต้องพังทลายลง
เวลานี้ เขาเพียงต้องการมาหาเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เพื่อบอกกับนางว่างานแต่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใจเขาต้องการก็เท่านั้น
…
ทว่า ต่อจากนั้นเล่า?
เขาไม่รู้
สมองของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ
การปรากฏตัวของเซี่ยเฉิงจิ่นและเซี่ยชิงโจวราวกับน้ำเย็นที่ราดรดเขาและทำให้สงบลง