สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย - บทที่ 480 โชคดีที่มาทันการ
บทที่ 480 โชคดีที่มาทันการ
บทที่ 480 โชคดีที่มาทันการ
เดิมทีฟางโจวอวี่ถูกนำตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อรับการไต่สวน แต่กลับกลายเป็นว่าเขายังอยู่เมืองฮู่เป่ย ทั้งยังคิดแผนแก้แค้นนางอีกด้วย
ดูเหมือนว่าในเมืองหลวงจะมีมือที่มองไม่เห็นผลักดันให้เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้น
“ได้ยินสิ่งที่เขากล่าวแล้ว ข้าจึงส่งคนไปตรวจสอบที่บ้านเก่าของฟางโจวอวี่ สุสานพ่อแม่ของเขามีร่องรอยการกราบไหว้จริง ดูเหมือนเขาจะกลับมาแล้ว”
“อีกฝ่ายอยู่ในที่ลับ เราอยู่ในที่แจ้ง หากเขายังคิดจะทำอะไรอีก เกรงว่า…” มู่ซืออวี่นึกถึงหลี่หงซูซึ่งอยู่ที่สำนักแม่ชี “ท่าไม่ดีแล้ว ฟางโจวอวี่เป็นคนเห็นแก่ตัว ยโสโอหัง อีกทั้งยังเป็นคนผูกพยาบาท เขากลับมาครั้งนี้จะต้องไม่ปล่อยหลี่หงซูไว้แน่ ตอนนี้หลี่หงซูอยู่ที่สำนักแม่ชี ที่นั่นปลีกวิเวกห่างไกลผู้คน หากเกิดอะไรขึ้นคงไม่สามารถรายงานทางการได้ทันท่วงที ข้าเกรงว่าเขาจะไปทำร้ายนาง!”
“ข้าไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน” เวินเหวินซงเอ่ยกับต้าหนิวที่อยู่ข้างหลัง “ส่งคนไปให้มากหน่อย ใช้ม้าเร็วรุดไปดูว่าแม่ชีหลี่เป็นอย่างไรบ้าง”
หลังจากได้ยิน ‘ข่าวร้าย’ นี้แล้ว มู่ซืออวี่ไม่อยู่ในอารมณ์จะสะสางงานอีกต่อไป นางไปที่ ‘จุดส่งสาร’ ที่ฉินเหวินหานเคยเอ่ยถึงและเขียนจดหมาย ก่อนจะให้คนที่รับผิดชอบที่นั่นนำไปส่งทันที
ฟางโจวอวี่หนีมาแล้ว ลู่อี้รู้เรื่องนี้หรือไม่? นี่เป็นสิ่งที่นางต้องทราบให้ได้
นางขอให้ฉินเหวินหานส่งข่าวไปให้ลู่อี้ แล้วรอฟังว่าเขาจะทำอย่างไร เมืองหลวงห่างไกลจากที่นี่เกินไป ไม่ว่าจะเป็นข่าวใดก็ต้องใช้เวลาถึงหลายเดือน
หลายชั่วยามต่อมา ขณะที่มู่ซืออวี่และลู่จื่ออวิ๋นกำลังเล่นกลองป๋องแป๋งอยู่กับเสี่ยวชิงเอ๋อร์ เจิ้งซูอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับหลี่หงซู
เจิ้งซูอวี้เป็นแขกประจำของบ้านนี้ บ่าวรับใช้ได้รับคำสั่งจากมู่ซืออวี่ ให้นางเข้าออกสกุลลู่ได้ตามสะดวก
“พวกเจ้าพบฟางโจวอวี่หรือไม่?” มู่ซืออวี่เห็นว่าทั้งสองคนไม่เป็นไร จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เจิ้งซูอวี้และหลี่หงซูเพิ่งนั่งลง เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ผู้หนึ่งมองมาด้วยสายตาปวดใจ อีกผู้หนึ่งมองมาด้วยสายตาซับซ้อน
“นี่… เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “หรือว่าพวกเจ้าเจอเขาแล้ว?”
“อีกเพียงเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น เจ้าก็จะไม่ได้เห็นพวกเราแล้ว” เจิ้งซูอวี้เล่าถึงความหวาดผวาในห้วงเวลานั้น
“ขณะที่ข้าไปชงชา เขาก็ทำให้หลี่หงซูหมดสติแล้วนำตัวนางไป ข้าพบว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบตามหา ท้ายที่สุด เจ้าลองเดาดูว่าพบสิ่งใด? เขากำลังจะโยนหลี่หงซูลงจากหน้าผาเพื่อให้นางตายอย่างไร้ร่องรอย ข้าไปพบเข้าจึงเข้าไปห้าม แต่เขากลับคิดจะฆ่าข้าไปพร้อมกัน หากไม่ใช่เพราะคนของทางการตามมาทัน พวกเราคงกลับมาไม่ได้แล้วจริง ๆ ข้าได้ยินต้าหนิวบอกว่าเพราะเจ้าไปเตือนพวกเขา พวกเราจึงมาที่นี่เพื่อขอบคุณเจ้าโดยเฉพาะ เรามาทานมื้อค่ำปลอบประโลมจิตใจกันเถอะ”
มู่ซืออวี่ชะงัก “…ข้าว่าประโยคสุดท้ายสำคัญที่สุดกระมัง!”
“ข้าจะทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเจ้า แต่ตอนนี้ข้ากำลังตื่นตระหนก ไม่ใช่ว่าเจ้าควรปลอบใจข้าดี ๆ หน่อยหรือ?” เจิ้งซูอวี้กะพริบตาด้วยท่าทางน่ารัก
หลี่หงซูมองท่าทีสนิทสนมของพวกนาง แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่าน”
“ไม่ต้องเกรงใจ เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “แต่ว่า… จับคนได้หรือไม่?”
“เขาลื่นราวกับปลาไหลเพียงนั้น จะจับได้อย่างไร? หนีไปได้อีกแล้ว” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “ทว่าระหว่างที่เขาสู้กับต้าหนิว เสื้อผ้าของเขาถูกกระชากขาด จึงเผยให้เห็นลายสักเสือดาว”
“ลายสักเสือดาวนี้อยู่ทุกหนทุกแห่งจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ดูเหมือนเขาจะเข้าร่วมลัทธิประหลาดนั่นแล้ว”
“หงซู ท่านไม่ต้องกลับไปที่สำนักแม่ชีแล้ว ที่นั่นไม่ปลอดภัย พักอยู่ในเมืองเถอะ!” เจิ้งซูอวี้กล่าว “อย่างไรเสียหากเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ เจ้าเรียกหา ‘ผู้ใด’ ก็จะมีคนตอบรับ”
“ข้าวางแผนจะไปจากเมืองฮู่เป่ย” หลี่หงซูเอ่ยขึ้น “สุดหล้าฟ้าเขียว ย่อมมีสักที่ให้ไป เหตุใดต้องรั้งอยู่ที่นี่อย่างหวาดกลัวด้วยเล่า?”
“ก็จริง” เจิ้งซูอวี้เอ่ยเศร้า ๆ “ข้าสนับสนุนเจ้า”
มู่ซืออวี่บอกพวกนางว่าฟางโจวอวี่คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำลายลานหรรษา
“เดิมทีความแค้นระหว่างข้ากับเขาเป็นเรื่องในครอบครัว จับเขาไม่ได้ก็แล้วไป แต่คนผู้นี้มิใช่ฟางโจวอวี่คนก่อนแล้ว เขามีลัทธิใหญ่โตอยู่เบื้องหลัง รับมือได้ยากยิ่งนัก!”
“ถึงแม้จะเป็นปลาไหล ทว่าสักวันเราจะต้องจับเขาได้อย่างแน่นอน” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “ไม่ต้องกังวล”
หลี่หงซูบอกว่าอยากไปจากเมืองฮู่เป่ย วันต่อมานางจึงยุติหน้าที่ที่สำนักแม่ชี และจากไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิท ส่วนจะไปที่ใดนั้น แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่แน่ชัด
เจิ้งซูอวี้เป็นคนที่เศร้าที่สุด เริ่มแรกทั้งสองเป็นสหายสนิทที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง จากนั้นเพียงเพราะบุรุษผู้หนึ่งความสัมพันธ์จึงร้าวราน หลังจากสู้กันมาหลายปี ท้ายที่สุดพวกนางก็ต้องก้าวไปสู่เส้นทางที่แตกต่างกัน
หน้าประตูเมือง หลี่หงซูดึงปิ่นจากผมตนปักลงไปบนผมของเจิ้งซูอวี้
“นี่เป็นปิ่นปักผมอันโปรดของข้า เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าตกต่ำ”
“เหลวไหล ปิ่นปักผมราคาแพงเช่นนี้ แม้เจ้าจะให้ข้าสักสิบอัน ข้าก็จะรับไว้ทั้งหมด”
“เจ้าต้องการสิบอัน ฝันกลางวันแสก ๆ งั้นหรือ?” สีหน้าของหลี่หงซูดูผ่อนคลาย นางจิ้มหน้าผากเจิ้งซูอวี้ “จากไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตข้ากับเจ้าเราจะได้พบกันอีกหรือไม่ เจ้าฉลาดกว่าข้า รู้สิ่งที่ตนต้องการ ข้าหวังว่าเจ้าจะหาคนที่ดีพบ ผู้ที่ทำให้เจ้าไม่รู้สึกเสียใจไปชั่วชีวิต หากข้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง ข้าก็จะเลือกเป็นเช่นเดียวกับเจ้า”
“หากเจ้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง คงไม่แย่งชิงคนที่ข้าชอบใช่หรือไม่?” เจิ้งซูอวี้เอ่ยเย้า
“เจ้า…” หลี่หงซูเบ้ปาก “มาถึงตอนนี้ ข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้าแล้ว อันที่จริงข้าไม่ได้ชมชอบเขาแม้แต่น้อย”
“เอ๊ะ?” เจิ้งซูอวี้เลิกคิ้วขึ้น
“เจ้าพึงใจเขา เอ่ยชื่อเขาทั้งวัน ไม่จริงจังกับการเล่นกับข้าแม้แต่น้อย เจ้าทำราวกับข้าเป็นตัวตลก ข้าจงใจทำให้เจ้าโกรธ จึงเอ่ยปากไปว่าชอบเขา แล้วเจ้าก็โกรธข้าจริง ๆ พวกเราเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าไม่เคยโกรธข้ามาก่อน นับประสาอะไรกับการใจร้ายต่อข้า ข้าโกรธมาก จึงจงใจส่งถุงเงินและบทกลอนรักให้เขา ทั้งยังตั้งใจให้เจ้าเห็น…”
มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ “…”
ที่แท้ความจริงเป็นเช่นนี้หรือ?
“อืม อันที่จริงแล้วข้าไม่ได้ชมชอบเขาถึงเพียงนั้น” เจิ้งซูอวี้จับแก้มตนอย่างกระดากอาย “ตอนนั้นเจ้าทำให้ข้าโกรธ ข้าจึงจงใจทะเลาะกับเจ้า”
มู่ซืออวี่มองทั้งสองคนแล้วหัวเราะคิกคักออกมา พลางเอ่ยกับจื่อซูและจื่อเยวี่ยน “เอาละ พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ให้พวกนางพูดคุยกันสักสองสามคำ”
การ ‘ปรับปรุง’ ลานหรรษาใช้เวลาถึงสามเดือน
ไม่ผิด! ใช้เวลาถึงสามเดือน
นับแต่คิมหันตฤดูถึงสารทฤดู ท้ายที่สุดจึงเปิดอีกครั้ง
เมื่อแถบผ้าสีดำที่กั้นสถานที่ไว้ถูกยกออกไป ผู้ที่มารอชมต่างตกตะลึง
ลานหรรษาทั้งพื้นที่ไม่ใช่ลานหรรษาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
มู่ซืออวี่วาดภาพบนกำแพงทั้งหมดด้วยตนเอง ทั้งยังมีรูปแบบในการวาดที่หลากหลาย กล่าวได้ว่านางใช้ทักษะฝีมือทั้งหมดที่มีเต็มที่แล้ว
เดิมทีลานหรรษาเป็นเพียงสถานที่เล่นสนุก ทว่าบัดนี้ผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะต่างมาชื่นชมภาพวาดที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณเจ้าสำนักไป๋ ขณะที่เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงกับสหายเก่าแก่ เขาเอ่ยถึงลู่อี้ศิษย์รักของตน กล่าวว่าลูกศิษย์ของเขาผู้นั้นพรสวรรค์ธรรมดานัก เมื่อเทียบกับภรรยาแล้ว เจ้านั่นเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
เช่นนี้ได้หรือ?
ลู่อี้ได้เป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่โดยไม่แม้แต่จะต้องสอบขุนนางด้วยซ้ำ คนเช่นนี้ยังธรรมดาสามัญอีกหรือ? ไป๋เหวยคัง ตาเฒ่าคนนี้ช่างเลือกนัก เขามีลูกศิษย์เพียงไม่กี่คน ลู่อี้เป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจมาตลอด ทว่าบัดนี้กลับผลักไปเป็นคนธรรมดาเสียแล้ว
ไม่ถูก ๆ นี่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเมืองฮู่เป่ยก็มีปรมาจารย์ทางศิลปะกลุ่มหนึ่งหลั่งไหลมาอย่างเนืองแน่น