สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย - บทที่ 1127 ตอนพิเศษ (29)
บทที่ 1127 ตอนพิเศษ (29)
บทที่ 1127 ตอนพิเศษ (29)
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะลู่ฉาวจิ่งออกไปข้างนอก บุรุษผู้มีเสียงหยาบกระด้างผู้นั้นก็เดินเข้ามาหา
บุรุษผู้นั้นมองเขาอย่างเย็นชา “อย่าให้ข้าจับเจ้าได้แล้วกัน ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!”
ลู่ฉาวจิ่งชำเลืองมองอย่างเหยียดหยามแวบหนึ่ง “ยังไม่แน่ว่าผู้ใดจะเป็นคนฆ่า”
บุรุษผู้นั้นคว้าเสื้อลู่ฉาวจิ่งไว้
“หัวหมู่ เบา ๆ หน่อยขอรับ” คนข้าง ๆ รีบห้ามเขา
“รอข้าก่อนเถอะ” บุรุษผู้นั้นถูกลากตัวไปแล้ว
ชายอีกเดินเข้ามาหาลู่ฉาวจิ่งแล้วเอ่ย “นายร้อย ท่านอย่าได้โกรธไปเลยขอรับ หัวหมู่จางเพียงแค่อารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย”
“ก่อนหน้านี้ตำแหน่งเขาสูงกว่าข้า ข้าจึงไม่กล้าทำอะไรเขา บัดนี้ตำแหน่งข้าสูงกว่าเขาแล้ว หากเขายังกล้าหยาบคายกับข้าอีก คอยดูเถอะว่าข้าจะฆ่าเขาอย่างไร”
บัดนี้ลู่ฉาวจิ่งเหมือนชายหนุ่มเลือดร้อนที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน
ความขัดแย้งนี้ดึงดูดความสนใจของคนมากมาย
แน่นอนว่ามีคนรายงานเรื่องนี้ให้นายกองเซี่ยวทราบแล้ว
นายกองเซี่ยวเพิ่งตื่น เมื่อได้ยินรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาก็เอ่ย “ตรวจสอบที่มาของเด็กคนนั้นชัดเจนแล้วหรือยัง?”
“ตรวจสอบชัดเจนแล้วขอรับ เขาถูกแม่นางน้อยผู้หนึ่งซื้อตัวไปเป็นเขยแต่งเข้าจริง ๆ ขอรับ” บุรุษผู้นั้นกล่าว “ภูมิหลังครอบครัวเดิมของเขาคงไม่เลว นอกจากได้รับบาดเจ็บสาหัสในช่วงแรกแล้ว ภายหลังก็ไม่เคยปิดบังฝีมือ”
เพียงชั่วข้ามคืน ผู้ใต้บังคับบัญชาก็บอกที่มาของลู่ฉาวจิ่งที่ตรวจสอบได้
“แซ่ลู่หรือ?”
“นามลู่เจ๋อขอรับ”
มือที่กำลังเช็ดหน้าของนายกองเซี่ยวหยุดชะงัก
“แซ่ลู่ สกุลลู่ในเมืองหลวงเป็นสกุลใหญ่”
เมื่อก่อนไม่ใช่ ทว่าตอนนี้นอกจากจากราชวงศ์แล้ว แซ่ที่มีอำนาจเป็นอันดับสองคือลู่
“เพียงแต่คงไม่อาจเป็นสกุลลู่นั้นได้”
“หากเป็นสกุลลู่นั้นจะจนตรอกเช่นนี้ได้อย่างไร? นอกจากราชวงศ์แล้ว ไม่มีผู้ใดในโลกที่กล้าทำเรื่องโหดร้ายเพียงนี้กับสกุลลู่นั้นเป็นแน่ อีกอย่าง ผู้นำสกุลลู่ตอนนี้ก็ยังอยู่ดีในเมืองหลวง!”
“ใต้หล้านี้มีคนแซ่ลู่มากมาย หากได้ยินแซ่ลู่แล้วกลัวจะเกี่ยวข้องกับทางนั้น พวกเราก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพียงโขกหัวให้คนแซ่ลู่ก็พอ” นายกองเซี่ยวไม่ได้ใส่ใจ “ในเมื่อไม่มีปัญหา เช่นนั้นก็มอบงานให้เขา ฝีมือดีเช่นนี้ หากใช้อย่างเหมาะสม ภายหน้าจะกลายเป็นอาวุธที่เป็นประโยชน์ต่อความมั่งคั่งของเรา”
งานใหม่ของลู่ฉาวจิ่งคือคอยจับตาดูคนเหล่านั้นทำงาน
เขาเปลี่ยนจากผู้ถูกจับตามองมาเป็นผู้จับตามอง
เมื่อวานนี้หากเขาหยุดพัก ผู้ที่คอยจับจ้องจะต้องเฆี่ยนตีเขา คราวนี้เขามีแส้อยู่ในมือ หน้าที่ของเขาคือการเฆี่ยนตีผู้คน
ลู่ฉาวจิ่ง “…”
เมื่อเห็นคนหน้าเหลืองซูบซีดเหล่านั้น น้ำหนักของแส้กลับหนักเป็นพันจิน อย่างไรก็ตาม เพื่อสถานการณ์โดยรวม เขาทำได้เพียงลอบกล่าวขอโทษเบา ๆ เท่านั้น
เพี๊ยะ!
แส้หวดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
คนงานที่ได้ยินเสียงต่างก็ตกใจกลัว
อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าพวกเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
คนที่ตีพวกเขาเมื่อวานนี้ตีแรงเสียจนเจ็บปวดและต้องนั่งงอตัว ทว่าวันนี้แตกต่างออกไป เสียงนั้นฟังดูดัง ทว่ากลับเป็นการสัมผัสเพียงถาก ๆ เท่านั้น
“เหตุใดยังไม่ทำงานให้ดีอีก?!” ลู่ฉาวจิ่งตะโกนใส่คนผู้นั้น
คนผู้นั้นชำเลืองมองลู่ฉาวจิ่งแวบหนึ่งด้วยความขอบคุณ
ลู่ฉาวจิ่งถอนหายใจเบา ๆ
ณ หมู่บ้านสกุลหลิ่ว หลิ่วจินเปยมองคนไม่กี่คนที่รวมตัวกันอยู่หน้าประตูบ้านแล้วเอ่ย “พวกเจ้าต้องการเข้าร่วมกองทัพก็ไปสิ มาหาข้าทำอะไร? ข้าเพียงกลับมาเยี่ยมมารดา ไม่นานก็จะไปแล้ว ข้าไม่ได้รับผิดชอบเรื่องการรับสมัคร”
ดังนั้น ภายหน้าหากเกิดอะไรขึ้นอย่าได้มาตามหาเขา เขาไม่เกี่ยว!
ดวงตาหลิ่วจินเปยฉายแววมุ่งร้ายขึ้นมาแวบหนึ่ง
ปกติคนเหล่านี้ไม่ได้ดูถูกเขาหรือ? ยามนี้เพื่อสิ่งที่เรียกว่าอนาคตแล้ว ถึงกับต้องมาประจบประแจง
“โธ่ สหายจินเปย เดิมทีเจ้าก็เป็นคนมีความสามารถ เหตุใดไม่ช่วยพี่น้องหน่อยเล่า?”
“นั่นน่ะซี ช่วยกล่าวเรื่องดี ๆ แทนพวกเรา ให้พวกเราได้ไปสร้างผลงาน ภายหน้าหากหาเงินได้ พวกเราจะไม่ลืมเจ้าอย่างแน่นอน นับตั้งแต่นี้ไป พวกเราจะเป็นพี่น้องกันแล้ว”
หยางเสี่ยวอวี๋เบียดออกมาจากฝูงชน “พวกเจ้าอย่าไปฟังเขา เมื่อครู่ข้าสอบถามมาได้ความว่า คนที่ไปเป็นทหารถูกขายไปเป็นทาสแล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ?!” ทุกคนล้วนตกใจ
“เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
ดวงตาแต่ละคู่จ้องมองไปที่หลิ่วจินเปย
หลิ่วจินเปยตะคอกใส่หยางเสี่ยวอวี๋ “เจ้าไสหัวไปให้พ้น เจ้ามาพล่ามอะไรไร้สาระอยู่ที่นี่กัน?!”
เงินที่กำลังจะเข้ามาอยู่ในมือกำลังจะบินหนีไปแล้ว
คราวนี้เขากลับมาเพื่อหาคนโชคร้ายไปที่นั่น คนโชคร้ายแต่ละคนมีค่าหนึ่งตำลึงเงินเชียวนะ!
“ข้าไปถามหมู่บ้านอื่นมา คราวนี้มีคนกลับมาเยี่ยมครอบครัวไม่น้อย เพียงแต่หมู่บ้านหนึ่งจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น พวกเจ้าว่า หากไม่ใช่เพื่อหลอกพวกเจ้าไป แต่ละหมู่บ้านจะมีคนกลับมาเพียงคนเดียวได้อย่างไร อีกทั้งแต่ละคนยังสร้างผลงาน หาเงินได้มากมายด้วย หากพวกเจ้าตามเขาไปหมดและถูกขายไปเป็นทาสที่ใดสักแห่ง ชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่มีวันได้กลับมา!”
“หลิ่วจินเปย ที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่?”
“จะเป็นจริงได้อย่างไร? เขาแค่อยากจะไปแต่ข้าไม่รับปาก เขาจึงโกรธแค้นและจงใจยั่วยุข้าอยู่ที่นี่” สิ้นคำ หลิ่วจินเปยก็เอ่ยกับหยางเสี่ยวอวี๋ “หยางเสี่ยวอวี๋ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าบอกเจ้าว่าเจ้าเตี้ยเกินไป ไม่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกทหาร เจ้าอย่าได้มายุ่งวุ่นวายอยู่ที่นี่เลย หากเจ้ามีเจตนาร้าย จงใจเผยแพร่ข่าวลือออกไปเช่นนี้ ทางการไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้”
“เช่นนั้น เจ้ากล้ารับรองหรือไม่ว่าเจ้าไม่ได้โกหกพวกเขา? เจ้าสาบานต่อหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษของเจ้าสิ!”
หลิ่วจินเปยกล่าว “สาบานก็สาบาน”
“พวกท่านอย่าได้ทำให้หลิ่วจินเปยลำบากใจเลย ฝางซิ่วหลานแก้วตาดวงใจของเขามีลูกชายให้คหบดีจางแล้วสวมหมวกเขียวใบใหญ่ให้เขา เขาทนรับเหตุการณ์นั้นไม่ได้จึงแสร้งประสบความสำเร็จ นี่ไม่ใช่เพื่อรักษาหน้าของบุรุษหรือ พวกเจ้าลองคิดดูสิว่า เหตุใดสามีจู๋จือกับจงซู่เกินถึงไม่มีผลงาน แต่เขาที่เป็นคนเกียจคร้านกลับมีผลงาน ผู้ใดจะเชื่อลง?”
ดวงตาของหลิ่วจินเปยเต็มไปด้วยความโกรธ
“เจ้าลองพูดอีกที…”
ฉากนั้นพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที
หลิ่วจินเปยทะเลาะต่อยตีกับคนผู้นั้นแล้ว
ในยามนี้เอง มีคนฉีกเสื้อผ้าหลิ่วจินเปยขาด
ผิวเนื้อบริเวณแขนหลิ่วจินเปยเผยออกมา
“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน?!”
หลิ่วจินเปยลอบกรีดร้องที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน แต่ไม่ทันกาลแล้ว คนอื่น ๆ เห็นเข้าแล้ว
ระหว่างยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา มีคนมากมายเข้ามาช่วยห้ามจึงอยู่ใกล้กับหลิ่วจินเปยเป็นอย่างมาก แม้ว่าต้องการจะปิดบัง แต่ก็ไม่อาจปิดบังไว้ได้
แขนของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกเฆี่ยนตี
บางรอยตื้นบางรอยลึก เห็นได้ชัดว่าร่องรอยเหล่านี้เกิดจากแส้ ขณะที่บางรอยเป็นรอยหมัดที่ทิ้งความฟกช้ำไว้
สีหน้าของทุกคนพลันอิหลักอิเหลื่อ
ภายในลานมีคนอยู่มากมาย ทว่ายามนี้ทุกคนกลับปิดปากเงียบ บรรยากาศตึงเครียดเป็นอย่างมาก
สายตาที่พวกเขามองหลิ่วจินเปยแปลกประหลาด
หลิ่วจินเปยวิ่งออกไปข้างนอก
อวี๋ซื่อชนเข้ากับหลิ่วจินเปยพอดิบพอดี ขณะลุกขึ้นนางมองไม่ชัดว่าเป็นผู้ใดจึงร้องตะโกน “เจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรือไร… ลูกชาย นี่เจ้าจะไปที่ใด? แม่ซื้อหมูมาให้แล้ว กลางวันนี้จะทำหมูสองไฟที่เจ้าเอ่ยถึงให้ทาน”
หลิ่วจินเปยไม่ตอบอวี๋ซื่อ หากแต่ผลักนางออกแล้ววิ่งหนีไป
ทันทีที่อวี๋ซื่อลุกขึ้นได้ นางก็ถูกหลิ่วจินเปยชนโครมอีกครั้งและฟุบลงไปที่พื้น
ครั้งนี้เมื่อนางล้มลงก็เกิดเสียงกรอบดังขึ้น ความเสียดแล่นผ่านเอวของนาง
“โอ๊ย เจ้าเด็กนี่ เป็นอะไรไปอีกแล้วเล่า?!”
“อาอวี๋ เกิดเรื่องกับสหายจินเปยแล้ว” ชายหนุ่มในหมู่บ้านคนหนึ่งทนไม่ไหวจึงเตือนอวี๋ซื่อ “ท่านรีบไล่ตามเขาไปเถอะ อย่าได้ปล่อยให้เขาออกไปอีกเลย”
อวี๋ซื่อไม่รู้สถานการณ์จึงสาปแช่งชายหนุ่มผู้นั้น “ลูกข้าอยู่ดี ๆ จะเกิดอะไรขึ้นได้? เจ้าไม่เห็นหรือ? ปกติเห็นเจ้าซื่อสัตย์ นึกไม่ถึงว่าจะอิจฉาความเจริญรุ่งเรืองของลูกชายข้าเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ถุ้ย! พวกเจ้าแต่ละคนล้วนเสแสร้งดัดจริต จิตใจชั่วช้าเสียจริง”
“ปัดโธ่ อาอวี๋ แขนลูกชายท่านมีแต่รอยฟกช้ำราวกับโดนทุบตีมา หากเขาเป็นทหารจริง ๆ คงไม่มีทางมีรอยแส้มากมายเพียงนั้นกระมัง? พวกเราที่นี่ไม่ใช่ไม่เคยเป็นทหาร ผู้เฒ่าที่เป็นทหารก็มีไม่น้อย หากท่านลองถามดู ไม่ว่าการฝึกจะเข้มงวดเพียงใดก็ไม่มีทางทุบตีจนคนเป็นเช่นนั้นได้”
ทหารจริง ๆ สามารถโดนลงโทษได้ เพียงแต่ไม่อาจทุบตีรุนแรง หากทุบตีทหารจนลุกไม่ขึ้น เช่นนั้นจะฝึกพวกเขาอย่างไร?
หัวใจของอวี๋ซื่อเต้นตึกตัก
นางมองผู้คนในลานบ้าน
ยามนี้สีหน้าของพวกเขาพิลึกพิลั่นเป็นพิเศษ
อวี๋ซื่อวิ่งออกไปข้างนอก “ลูกชาย เจ้าจะไปที่ใด รอแม่ก่อน…”
ชายหนุ่มคนอื่น ๆ เอ่ยกับหยางเสี่ยวอวี๋ “เสี่ยวอวี๋ โชคดีที่มีเจ้า ไม่เช่นพวกเราคงถึงคราวเคราะห์แล้ว จริงสิ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ?”
“อันที่จริงพวกเจ้าก็รู้ดี เพียงแค่เห็นเขามั่งคั่งแล้วตาบอดจึงมองข้ามปัญหามากมาย” หยางเสี่ยวอวี๋กล่าว “เอาละ แยกย้ายเถอะ!”