สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย - บทที่ 1079 ยังมีบุปผาที่ไม่มีวันร่วงโรย
บทที่ 1079 ยังมีบุปผาที่ไม่มีวันร่วงโรย
บทที่ 1079 ยังมีบุปผาที่ไม่มีวันร่วงโรย
บ่าวรับใช้เดินออกมาเชิญฉู่หนิงจูเข้าไปข้างใน
พ่อบ้านกำชับแต่เช้าว่าวันนี้ฮูหยินจวนฉีจะมาที่บ้าน สั่งให้บ่าวรับใช้ที่ประตูดูแลให้ดี หากแขกมาจำไว้ว่าต้องเชิญเข้าไป
“ฮูหยินฉี เชิญทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านเดินเข้ามา
“ฮูหยินพวกท่านกำลังยังยุ่งอยู่หรือ?” ฉู่หนิงจูถาม
พ่อบ้านยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินอยู่ที่สวนด้านหลังขอรับ”
ส่วนว่ายุ่งหรือไม่นั้น พ่อบ้านกลับไม่ได้เอ่ย คิดว่าคงเป็นเรื่องภายในบ้านจึงยากที่จะตอบ
“ฮูหยินฉี นี่คือห้องน้ำชาที่ฮูหยินมักจะดื่มชา เชิญรอที่นี่ประเดี๋ยวขอรับ” สิ้นคำ พ่อบ้านจึงหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้ยกชามาให้แล้วรีบไปแจ้งนายหญิงของบ้านทันที
ฉู่หนิงจูยืนอยู่ที่หน้าต่างมองดูทะเลดอกไม้ตรงหน้า ในทะเลดอกไม้มีเครื่องรดน้ำที่มีกลไกทำหน้าที่ได้ด้วยตนเอง โดยออกแบบเป็นรูปลักษณ์ของดอกไม้อยู่รวมกับดอกไม้จริง
สาวใช้เอ่ยขึ้น “สกุลลู่มีความพิเศษจริง ๆ นะเจ้าคะ แม้กระทั่งสวนดอกไม้ยังมีสิ่งแปลกใหม่เช่นนี้”
ฉู่หนิงจูกล่าว “นี่คงเป็นการออกแบบของพระชายาลู่”
ฉู่หนิงจูเงยหน้าขึ้น เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากหน้าต่างฝั่งตรงข้ามพอดี
“ทางนั้น…”
สาวใช้ในจวนบังเอิญยกน้ำชามาให้พอดี เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่หนิงจู จึงเอ่ยว่า “ที่นั่นเป็นห้องตำราของนายท่านเจ้าค่ะ”
“ตรงข้ามห้องน้ำชาเป็นห้องตำราหรือ” ฉู่หนิงจูกล่าว
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย “นายท่านเข้าห้องตำราแล้วมักจะหลงลืมเวลาได้ง่าย ๆ ฮูหยินมักจะรออยู่ในห้องน้ำชา ครั้นใกล้ได้เวลาแล้ว นางก็จะไปหานายท่านให้กลับไปพักผ่อนที่ห้องเจ้าค่ะ”
“ลู่ฉาวหลี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงของซูจือหลิ่วดังขึ้น
ฉู่หนิงจูเห็นร่างปราดเปรียววิ่งผ่านมาอย่างรวดเร็วราวกับกระต่าย จากนั้นร่างเพรียวบางอีกร่างก็ไล่ตามหลังมา
ประตูห้องตำราเปิดออก เผยให้เห็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มจับ ‘เจ้ากระต่ายน้อย’ ที่วิ่งเข้าไปไว้ ใบหน้าอ่อนโยนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้าทำให้แม่เจ้าโกรธอีกแล้วหรือ?”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ชอบฝึกกระบี่จริง ๆ นะขอรับ” ลู่ฉาวหลีเอ่ยอย่างออดอ้อน “เหตุใดข้าต้องโรมรันฟันแทงด้วยเล่า? ขอเพียงข้าเรียนรู้วิชาตัวเบาได้ดี สามารถวิ่งหนีได้ก็พอแล้วนี่ขอรับ!”
“ท่านฟังดู ท่านฟังดู ลูกชายคนดีของท่านไม่ทันได้สู้ก็คิดจะหาทางหนีเสียแล้ว” ซูจือหลิ่วสะบัดไม้เรียวในมือไปมาจนเกิดเสียงหวดขึ้นกลางอากาศ
ลู่เซวียนจับมือของซูจือหลิ่วไว้ หยิบไม้เรียวออกจากมือนาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไยต้องโกรธเพียงนี้? เขาทำได้ เพียงแค่ต้องค่อย ๆ สอน”
“บิดาข้าใช้ชีวิตอย่างวีรบุรุษ ไม่เคยหนีทัพจนนาทีสุดท้าย ถึงแม้ข้าจะเป็นสตรี แต่ข้าก็รู้ว่าบุรุษเลือดออกได้แต่ไม่อาจหลั่งน้ำตา ทว่าท่านดูเขาสิ เขากลับรู้จักเพียงวิชาตัวเบาเพื่อใช้วิ่งหนีเท่านั้น”
“หลีเอ๋อร์ยังเล็ก เจ้าอย่าดุเขานักเลย” ลู่เซวียนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าคิดว่าวิธีของหลีเอ๋อร์ก็ดี นั่นก็เป็นวิทยายุทธ์เช่นกัน ฝึกวิชาตัวเบาให้เก่งกาจก็ไม่เลว”
“ท่านแม่ ท่านพ่อเห็นด้วยนะขอรับ” ลู่ฉาวหลีมองซูจือหลิ่วอย่างภาคภูมิใจ
“ฉาวอวี่ทางนั้นไม่ได้มีกลุ่มอินทรีดำหรือ?” ลู่เซวียนกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าเด็กอายุแปดถึงสิบห้าปีได้รับคัดเลือกไปฝึกฝน ได้ยินมาว่าต้องการผู้ที่เก่งกาจวิชาตัวเบา เชี่ยวชาญในการติดตามและสืบเสาะค้นหา”
คราแรกซูจือหลิ่วยังคงโกรธ ทว่าเมื่อได้ยินลู่เซวียนเอ่ยเช่นนั้น แววตานางพลันเป็นประกายขึ้นมา
“ท่านหมายถึงส่งฉาวหลีให้ฉาวอวี่หรือ?”
“ฉาวอวี่ในฐานะลูกชายคนโตของสกุลลู่ พี่ใหญ่ของสกุลลู่รุ่นถัดไป หรือก็คือผู้นำในอนาคตของสกุลลู่ น้องชายน้องสาวรุ่นหลังย่อมต้องได้รับการดูแลชี้แนะจากเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อหลีเอ๋อร์ไม่เชื่อฟังเจ้าที่เป็นแม่ พ่อผู้นี้ก็ไม่อยากรับบทคนเลว ทำได้เพียงฝากเขาให้ฉาวอวี่ดูแลแล้ว”
ลู่ฉาวหลีย้ายไปหลังโต๊ะทันที
ไม่เอา!
ลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นจิตวิปริตเพียงใด ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี
หากตกไปอยู่ในมือของเขา ชะตากรรมย่อมเลวร้ายยิ่งกว่าตกไปอยู่ในมือท่านแม่เสียอีก
ทุกครั้งที่เขาไม่ได้ฝึกวรยุทธ์อย่างจริงจัง ท่านแม่ก็จะคำรามอย่างโมโห ทว่าในความเป็นจริง ไม้เรียวในมือนางไม่เคยหวดลงมาแม้แต่น้อย
แต่ลูกพี่ลูกน้องกลับไม่เหมือนกัน ลู่ฉาวอวี่รู้ว่าจะเอาชนะเขาอย่างไรจริง ๆ
ฉู่หนิงจูมองดูฉาก ‘พ่อรักแม่เข้มงวด’ นี้ ความโศกเศร้าพลันวูบไหวขึ้นมาในแววตานาง
นางคิดว่าเวลานี้ลู่เซวียนไม่อยู่ ไม่ใช่ว่านางยังคิดถึงเขา เพียงแต่… ยังคงรู้สึกว่ามีหนามยอกอก หากหลีกเลี่ยงได้ย่อมหลีกเลี่ยง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ย่อมไม่อาจเข้ากันกับเขาได้อีก
“ฮูหยิน” พ่อบ้านเดินเข้าไป “ฮูหยิน ฮูหยินฉีมาแล้วขอรับ”
พ่อบ้านอยากจะถ่ายทอดข้อความเมื่อครู่นี้ ทว่าซูจือหลิ่วโกรธจัดจนต้องวิ่งตามนายน้อยไป ตอนนี้พ่อบ้านถึงได้ตามมาทัน
“จริงสิ ข้านัดกับหนิงจูไว้แล้ว” ซูจือหลิ่วตบหน้าผากตน “ตอนนี้ความจำข้าแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว ยังมัวตำหนิเด็กคนนี้อยู่เลย ถูกเขาทำให้เลอะเลือนตั้งแต่เช้าแล้ว”
“เด็กน้อยผู้นี้มอบให้ข้าจัดการ เจ้าไปสูดอากาศเถอะ” ลู่เซวียนกล่าว
“เช่นนั้นก็เอาเถอะ” ซูจือหลิ่วจ้องมองลู่ฉาวหลี “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ข้าจะตรวจการฝึกกระบี่ของเจ้าเมื่อข้ากลับมา หากเจ้าไม่ทำให้ข้าพอใจ ข้าจะส่งเจ้าให้ฉาวอวี่ฝึกฝน”
“ทราบแล้วขอรับ” ลู่ฉาวหลีพลันหดหู่ใจ
ลู่เซวียนตบลงบนไหล่บุตรชายเบา ๆ “ไปคุยกับพ่อหน่อยหรือไม่?”
ลู่ฉาวหลีไร้ชีวิตชีวา
ลู่เซวียนพาลู่ฉาวหลีเข้าไปในห้องตำรา
“รินน้ำผลไม้ให้นายน้อยหนึ่งแก้ว” ลู่เซวียนสั่งคนของตน
“ขอรับ”
ลู่ฉาวหลีนอนราบลงไปบนโต๊ะ ไร้เรี่ยวแรง
“เจ้าไม่ชอบเห็นเลือดหรือ?” ลู่เซวียนถาม
แววตาประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของลู่ฉาวหลี
เขาคิดอะไร แม้กระทั่งท่านแม่ก็ยังไม่รู้ ท่านแม่รู้แค่ว่าจะบังคับให้เขาฝึกกระบี่ บอกว่าทำอย่างนี้จะสามารถปกป้องตนเองและคนสำคัญได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ชอบเห็นเลือดจริง ๆ ทุกครั้งที่เห็นเลือด เขาจะรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาและอยากจะอาเจียนจนเกือบจะเป็นลมไปเสียหลายครั้ง
“วันนั้นแม่ครัวไล่ไก่ที่ปาดคอไปครึ่งทางแล้วไปทั่ว คอไก่ตัวนั้นหัก เลือดไหลนองเต็มพื้น ข้าเห็นเจ้าผ่านมาก็ตกใจจนเป็นลมไป หลังจากนั้นจึงสั่งไม่ให้บ่าวรับใช้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ดังนั้นแม่เจ้าจึงไม่รู้”
“ท่านพ่อ ข้าอ่อนแอใช่หรือไม่?” ลู่ฉาวหลีเอ่ยอย่างกระสับกระส่าย
“ทุกคนล้วนมีปมในใจ หากพบความยากลำบากก็บอกว่าตนอ่อนแอ เช่นนั้นคงไม่มีคนเข้มแข็งในโลกนี้” ลู่เซวียนยื่นน้ำผลไม้ที่บ่าวรับใช้นำมาให้บุตรชาย “ดื่มน้ำผลไม้สักแก้ว พ่อจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง”
ซูจือหลิ่วไล่ตามลู่ฉาวหลีไปทั้งเรือน เสื้อผ้าที่เปลี่ยนมาจึงเปื้อน หลังจากบอกกับฉู่หนิงจูแล้วจึงกลับเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ขออภัยหนิงจู ให้เจ้ารอนานเพียงนี้แล้ว” ซูจือหลิ่วเดินออกมา
ฉู่หนิงจูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ซูจือหลิ่วยังคงสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงเหมือนอย่างเมื่อก่อนที่ยังไม่ออกเรือน ลักษณะธรรมดาทั่วไปเรียบง่าย
ใบหน้าของนางไร้ร่องรอยการประทินโฉม ริ้วรอยเริ่มมีบ้างแล้ว ทว่าผิวพรรณกลับอมชมพู เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ที่แท้ ไม่ใช่ว่าบุปผาทุกดอกจะเหี่ยวเฉา
“เป็นข้าที่มาเร็ว” ฉู่หนิงจูกล่าว “เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นฝีมือของลูกชายเจ้า ไม่เลวทีเดียว”
“เด็กคนนั้นเกิดมาเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ เพียงแต่เขาขี้ขลาดเกินไป เมื่อไหร่ที่ถูกรุกอย่างดุดันก็จะถอยกลับทุกครั้ง ไม่กล้าลงมือโจมตีแม้แต่น้อย” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ช่างมันเถิด หากไม่ได้ผลจริง ๆ ข้าก็จะไม่บังคับเขาแล้ว”
เพียงแต่น่าเสียดายต้นกล้าดี ๆ เช่นนี้
เมื่อวานได้พบกับสหายของบิดาตอนยังมีชีวิต ครั้นเอ่ยถึงบิดา เขาก็เอ่ยถึงลู่ฉาวหลี ท่านลุงผู้นั้นชื่นชมลู่ฉาวหลีมาก บอกว่ายามที่เด็กคนนั้นถือหอกที่ท่านตาเขาทิ้งไว้ครั้งแรกดูเข้าท่าทีเดียว อาจเป็นผู้สืบทอดที่ไม่เลว
•