สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 672 เซียนจากเส้าหลิน
บทที่ 672 เซียนจากเส้าหลิน
เซียวเหิงซื้อหมูแผ่นมาสองรส มีทั้งรสกลมกล่อมและรสน้ำผึ้งโรยงา แถมเขายังซื้อหมูแผ่นเจไปฝากเสี่ยวจิ้งคงอีกด้วย
เขาเดินเข้าไปหากู้เจียวที่ซุ้มโคมไฟปริศนา แล้วยื่นกล่องหมู่แผ่นให้นาง
กู้เจียวลองชิมหมูแผ่นรสกลมกล่อม รสนี้มีความชาลิ้นเล็กน้อย ได้รสสัมผัสหลายมิติ
“เจ้าก็ชิมด้วยสิ” กู้เจียวยื่นกล่องหมูแผ่นให้เซียวเหิง
เซียวเหิงถือโคมไฟทั้งหมดให้กู้เจียว เพื่อให้นางกินได้สะดวก
เซียวเหิงยกโคมไฟขึ้นเพื่อบอกเป็นนัยน์ว่าเขาไม่มีมือแล้ว
กู้เจียวเลยต้องป้อนให้เขาแทน
เซียวเหิงกินหมูแผ่นด้วยรอยยิ้ม
“อร่อยไหม” กู้เจียวถาม
“อร่อย” เซียวเหิงเอ่ยพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของกู้เจียวอย่างลึกซึ้ง
มู่ชิงเฉินเห็นภาพดังนั้นก็เริ่มตาร้อนผ่าว จิตใจอยู่ไม่เป็นสุข
ท่าทีของพวกเขาให้ความรู้สึกประหลาดชอบกล ราวกับไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งได้
เซียวเหิงซื้อหมูแผ่นมาเยอะมาก มู่ชวนและคนอื่นๆ จึงได้กินด้วย
ความประทับใจแรกของเซียวเหิงต่อสหายทั้งสามคนของกู้เจียวเรียกได้ว่าไม่เลวเลย เพื่อนใหม่คนนี้ทั้งเก่งด้านบุ๋น ทั้งใจดี แถมยังวาจาสุภาพ ควรค่าแก่การผูกมิตร
มู่ชวนเคี้ยวหมูแผ่นไปพลางซักถามเพื่อนใหม่ของเขาไป “ท่านชายหลงเรียนหนังสือที่สำนักไหนรึ แล้วสำนักของท่านได้เข้าร่วมการแข่งตีคลีด้วยหรือไม่”
แม้ว่าเซียวเหิงจะสวมหน้ากาก แต่ด้วยแววตาและน้ำเสียงของเขาที่ยังดูเด็ก มู่ชวนจึงมองว่าเขาน่าจะเป็นบัณฑิต
“ข้าไม่ได้เรียนหนังสือ” เซียวเหิงตอบ
มู่ชวนถอนหายใจ “น่าเสียดาย กะว่าจะชวนไปดูการแข่งขันเสียหน่อย”
หยวนเซี่ยวเสริม “ไม่ใช่บัณฑิตก็เข้าไปดูการแข่งขันได้ ถ้าพรุ่งนี้ท่านชายหลงว่างก็เข้ามาชมการแข่งขันได้นะ”
เซียวเหิงพยักหน้าพรมรอยยิ้ม “ได้สิ” โนเวลพีดีเอฟ
นัยน์ตาเย็นเยียบของมู่ชิงเฉินจ้องไปที่สหายแต่ละคน พลางเอ่ย “รู้ตัวว่ามีแข่งก็ดี นี่ก็ดึกมากแล้ว ถึงเวลากลับแล้วล่ะ”
มู่ชวนเบ้ปาก “อย่าเพิ่งสิพี่สี่ อยู่ต่ออีกหน่อยเถอะน่า ข้าอยากได้โคมเยอะกว่านี้”
มู่ชิงเฉินเอ่ยเสียงแข็ง “ทีตอนชนะก็ดันเอารางวัลให้คนอื่นหมด แล้วจะชนะไปเพื่ออะไร”
ทันใดนั้น อาจารย์อู่ก็เดินเข้ามาพอดี
ถึงเวลาที่พวกเขาต้องกลับที่พักแล้วจริงๆ
กู้เจียวและเซียวเหิงไม่ทันได้บอกลากันดีๆ ก็ต้องแยกกันกะทันหัน
พอกลับมาถึงที่พัก ขณะที่กู้เจียวกำลังเปิดประตูห้องของตัวเอง มู่ชิงเฉินก็ถามอย่างกะทันหัน “พวกเจ้าเพิ่งรู้จักกันจริงๆ ใช่ไหม”
“ใช่สิ” กู้เจียวเอ่ยตอบสีหน้าแทบไม่เปลี่ยน
มู่ชิงเฉินนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ต่อให้รู้จักกันมานานก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขา
“เข้านอนเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วเดินเข้าห้องไป
กู้เจียววางโคมไฟทั้งสองอันไว้บนหัวเตียง จากนั้นก็ล้างหน้าแปรงฟันแล้วพักผ่อน
วันถัดมา หลังจากทุกคนทานข้าวเสร็จ อาจารย์อู่นำทัพไปที่สำนักบัณฑิตหลิงโป
แล้วเข้าไปที่ห้องรวมเพื่อทำการจับฉลาก
จากนั้นก็กลับมาที่ห้องรับรองของเทียนฉงด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
“อาจารย์ขอรับ พวกเราจะได้แข่งกับสำนักบัณฑิตใด สำนักบัณฑิตหลิงโปหรือว่าสำนักบัณฑิตเจียหนานขอรับ”
มีแค่สำนักบัณฑิตสามแห่งเท่านั้นที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้
แต่ทว่า ”ไม่ใช่ทั้งคู่”
ทุกคนตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ เหตุใดถึงไม่ใช่ทั้งคู่ แล้วเราจะได้แข่งกับใครหรือขอรับ” แววตามู่ชวนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อาจารย์อู่รวบรวมสติอย่างหนักก่อนจะเอ่ยออกไป “สำนักบัณฑิตเส้าหลิน”
กู้เจียวเริ่มเข้าใจสถาการณ์แล้วว่าเหตุใดถึงเป็นสำนักบัณฑิตเส้าหลิน ต้นตอของเรื่องมาจากตอนที่สำนักบัณฑิตซ่งซานและสำนักบัณฑิตจื่อจูมีเรื่องทะเลาะกันจนพวกเขาถูกตัดสิทธิ์การแข่ง เลยทำให้ต้องดึงสำนักบัณฑิตเส้าหลินมาแข่งรอบนี้แทน
จะว่าไป สำนักบัณฑิตเส้าหลินไม่ได้เข้าร่วมการแข่งที่ผ่านมา แต่เป็นเพราะอะไรไม่มีใครทราบนอกจากทางผู้จัดงาน
“แล้วสำนักบัณฑิตอื่นไม่มีความเห็นอะไรหรือขอรับ” กู้เจียวถาม
“สำนักบัณฑิตที่แข่งแพ้ไม่มีใครออกความเห็นอะไร อาจเป็นเพราะพวกเขาเคยแพ้ให้กับสำนักบัณฑิตเส้าหลินมาก่อนกระมัง” อาจารย์อู่ตอบ
การแข่งปีที่แล้ว สำนักบัณฑิตเส้าหลินเป็นผู้ชนะ พอรู้ข่าวว่าปีนี้พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมอาจารย์อู่ก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ คนเราเวลากลัวอะไรก็มักจะได้อย่างนั้น
“แล้วเราต้องแข่งกับพวกเขาเนี่ยนะ ซ้ำยังเป็นนัดแรกอีกด้วย” อาจารย์อู่เริ่มใจเสีย ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ผู้แข่งของเส้าหลินเป็นพระกันหมดเลยรึ” หยวนเซี่ยวสงสัย
อาจารย์อู่ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ทุกคนหรอก พวกเขามีทั้งพระภิกษุ อุบาสก รวมถึงราษฎรทั่วไป”
หยวนเซี่ยวถามต่อ “เช่นนั้นคราวนี้มีราษฎรทั่วไปเข้ามาแข่งด้วยอย่างนั้นรึ”
อาจารย์อู่ส่ายศีรษะอีกครั้ง “ไม่มีหรอก มีแต่พระที่ฝึกวิทยายุทธ์มาแข่งต่างหาก”
หยวนเซี่ยว “…”
ทุกคน “…”
พวกเขาแข่งเป็นกลุ่มแรก หลังจากจับฉลากเสร็จก็ต้องเตรียมตัวลงสนาม
ขณะเดียวกัน ผู้ชมก็เริ่มทยอยเข้ามาในสนาม
เซียวเหิงยังคงนั่งตรงที่นั่งพิเศษเหมือนเดิมพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นอีกสามคนโดยมีสาวใช้ของหมิงจวิ้นอ๋องคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
วันนี้หมิงจวิ้นอ๋องก็มาที่ด้วยเหมือนกัน แล้วก็เหมือนกับครั้งก่อน เขาไม่ได้มานั่งที่อัฒจันทร์ แต่ไปนั่งที่ศาลารับรองชั้นบนสุดแทน
จุดที่เขานั่งสามารถมองเห็นได้ทั้งสนาม ขณะที่คนบนสนามไม่สามารถเห็นเขาได้
และยังมีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ เขาด้วยเช่นกัน
“ท่านพี่ ดื่มชาไหม” หมิงจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจ
ท่านชายใหญ่หันรับถ้วยชาแล้วยกจิบเบาๆ
ท่านชายใหญ่หันเป็นทายาทที่โดดเด่นที่สุดของตระกูล หมิงจวิ้นอ๋องไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนที่ทำกับหันเช่อ
“ท่านพี่ เหตุใดวันนี้ถึงมาดูการแข่งได้ล่ะ” หมิงจวิ้นอ๋องเอ่ยถามอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ก็แค่อยากมาดูน่ะ” ท่านชายใหญ่หันตอบ
แม้ท่านชายใหญ่หันจะตอบเช่นนั้น แต่วินาทีที่เข้ามานั่งเขาก็เอาแต่สอดส่องหาบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉง เขาไม่รู้ลำดับการแข่ง จึงไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาจะออกมากลุ่มที่เท่าไหร่
เขาหันไปมองทางอัฒจันทร์ ก็เจอกับเจ้าสำนักเสินและบัณฑิตคนอื่นๆ พร้อมทั้งเห็นว่ามีบัณฑิตคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น
พอพูดถึงรถเข็น เขาก็หันไปอีกทางและเห็นคนจากจวนกั๋วกงกำลังเดินเข้ามาในสนาม
“นั่นใต้เท้ารองจิ่งนี่” เขามองบุรุษในชุดหรูหราที่อยู่ด้านหลังฝูงชน
หมิงจวิ้นอ๋องมองตามสายตาของอีกฝ่าย “ใช่แล้ว”
ตอนแรกท่านชายใหญ่หันมองไม่ชัดนักว่าเขามากับใครเพราะมีคนบังอยู่ แต่พอกลุ่มคนเดินกระจายตัวออกไปแล้วก็เห็นว่าใต้เท้ารองจิ่งกำลังเข็นรถเข็นให้ใครบางคนอยู่
“คนที่อยู่บนรถเข็นคืออันกั๋วกงใช่ไหม” ท่านชายใหญ่หันเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ” หมิงจวิ้นอ๋องตอบ
“เขาฟื้นแล้วสินะ” ท่านชายใหญ่หันเองก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่เขาไม่ปักใจเชื่อจนกว่าจะเห็นด้วยตาตัวเอง
หมิงจวิ้นอ๋องแสยะยิ้ม พลางตอบ “ฟื้นมาสักพักแล้วล่ะ ได้ข่าวว่าเชิญหมอจากแคว้นเฉินมารักษาให้ แต่ว่ายังพูดไม่ได้ มือก็ขยับไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น”
เป้าหมายของท่านชายใหญ่หันในวันนี้ไม่ใช่อันกั๋วกงแต่อย่างใด เขาจึงละสายตาจากพวกจวนกั๋วกงในทันที
ผู้เข้าแข่งขันของสำนักบัณฑิตเทียนฉงทยอยเข้ามายังสนามแข่ง
และตามเคย มู่ชิงเฉินยังคงเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ ทั้งสนามเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดดังสนั่น
ทว่าสายตาของท่านชายใหญ่หันไม่ได้อยู่ที่เขา
แต่เป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงเฉิน
ท่านชายใหญ่หันมั่นใจอย่างมากว่าเด็กหนุ่มคนนั้นก็คือคนที่ทำร้ายหันเช่อ แม้เขาจะมองไม่เห็นรอยปานแดงที่หันเช่อเคยบอกว่าเป็นจุดสังเกตของเด็กหนุ่มก็ตาม
เด็กหนุ่มขี่ม้าทะยานเข้าสู่สนามแข่งด้วยรูปลักษณ์ที่กล้าหาญแต่ก็ให้ความรู้สึกหยิ่งผยองในคราวเดียวกัน
ระหว่างนั้น จู่ๆ หมิงจวิ้นอ๋องก็ตั้งคำถามขึ้น “ท่านพี่สงสัยไหมว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษากะทันหันเช่นนี้ มันเคยเป็นวันต้องห้ามมาตลอดมิใช่รึ”
วันที่ว่า ไม่ใช่เพียงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้เท่านั้น แต่ยังเป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ด้วย ขณะเดียวกัน ยังเป็นวันที่องค์หญิงใหญ่ถูกปลดออกจากตำแหน่งเป็นสามัญชนด้วย
แค่คิดก็ไม่เป็นมงคลแล้ว
“ก็คงหมายถึงจากฤกษ์ร้ายกลายเป็นฤกษ์ดีน่ะสิ” ท่านชายใหญ่หันตอบแบบขอไปที เพราะสมาธิของเขาทั้งหมดอยู่ที่กู้เจียว
ฝ่าบาทอาจทำใจได้แล้ว หรือไม่ก็ลืมมันไปได้แล้ว
ขณะที่หมิงจวิ้นอ๋องเก็บคำพูดของท่านชายใหญ่หันมาคิดอยู่นั้น ผู้เล่นของสำนักเส้าหลินก็ออกมาพอดี เสียงสูดปากของผู้ชมดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“สำนักบัณฑิตเทียนฉงแข่งกับสำนักบัณฑิตเส้าหลิน ยังมีหวังอีกหรือ ไม่ต้องแข่งแล้วก็ได้กระมัง”
“พวกเขาเคยเป็นอันดับหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ขนาดผู้เล่นจากวังยังสู้พวกเขาไม่ได้ สำนักบัณฑิตเทียนฉงยิ่งไม่น่ารอด!”
“น่าเสียดายชะมัด ข้าไม่อยากให้พวกสำนักบัณฑิตเทียนฉงแพ้เลย ยังอยากดูพวกเขาเล่นต่ออีก”
“โชคร้ายอะไรปานนี้ แทนที่จะได้แข่งกับสำนักบัณฑิตอื่น ดันมาเจอกับสำนักเส้าหลินเสียอย่างนั้น”
…
ในรอบแรก ผู้เล่นของเทียนฉงประกอบไปด้วยมู่ชิงเฉิน กู้เจียว มู่ชวนและจ้าวเวย ส่วนหยวนเซี่ยวเป็นตัวสำรองรอลงแข่งรอบสอง
พวกเขาได้ยินคำพูดที่เหล่าผู้ชมกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่
มู่ชวนหันไปหากู้เจียว “คำพูดพวกนั้นเจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจนะ วันนี้พวกเราต้องชนะ!”
ผู้เล่นที่เป็นพระจากสำนักบัณฑิตเส้าหลินควบม้าและเข้าแถวเรียงหนึ่งด้านหน้าผู้เล่นของสำนักบัณฑิตเทียนฉง
พวกเขาล้วนแต่งกายด้วยจีวร รูปร่างสูงโปร่ง มีท่าทางสง่างาม รวมถึงใบหน้าที่ดุดัน ซึ่งชวนให้นึกถึงพระพุทธรูปในวัด
เป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเอามากๆ
การแข่งครั้งผ่านๆ มา มู่ชิงเฉินไม่เคยแสดงความกังวลใดๆ เลย แต่คราวนี้เขาเริ่มมีอาการบ้างแล้ว
สำนักบัณฑิตเส้าหลินไม่เคยแข่งแพ้ และไม่มีใครสามารถเอาชนะพวกเขาได้