สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 262.1 ไม่ออมมือ (1)
บทที่ 262 ไม่ออมมือ (1)
เรื่องครอบถุงกระสอบเช่นนี้ ทำสักครั้งสองครั้งก็ชำนาญ คราวก่อนครอบเงิน คราวนี้ครอบคนก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ
ไท่จื่อเฟยไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้อง ก็ถูกหามเดินออกไป!
แม้จะมีนางข้าหลวงสองคนจะเดินตามหลังไท่จื่อเฟยมา แต่คลาดสายตาเพียงครู่เดียว ไท่จื่อเฟยก็หายไปแล้ว
ไท่จื่อเฟยเดินเลี้ยวเข้ามาในตรอกก่อนพวกนางก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าพริบตาเดียวก็วิ่งหายลับตาไปได้ เหตุใดถึงเดินเร็วเพียงนั้น
ทั้งสองรีบเดินจ้ำไปยังหน้ารถม้าแล้วแหวกม่านออก ทว่าในรถกลับว่างเปล่า
หนึ่งในนั้นถามยอดฝีมือจากวังหลวง “เจ้าเห็นไท่จื่อเฟยมาแล้วหรือยัง”
ยอดฝีมือจากวังหลวงตอบด้วยความงุนงง “ไท่จื่อเฟยมิได้อยู่กับพวกเจ้าหรอกหรือ”
นางข้าหลวงเอ่ย “ไท่จื่อเฟยเดินมาแล้วเมื่อครู่! เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร”
ยอดฝีมือจางวังหลวงเอ่ย “ไท่จื่อเฟยมาตั้งแต่เมื่อใด”
นางข้าหลวงเอ่ยอย่างร้อนรน “มาแล้ว!”
ยอดฝีมือเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “หากมาถึงแล้วข้าจะไม่รู้เชียวหรือ”
“เจ้า…”
“ช่างเถิด พี่หมิง” นางข้าหลวงแซ่ชิงส่ายหน้า “อย่าเถียงกันเลย รีบไปตามหาไท่จื่อเฟยจะดีกว่า บางที่นางอาจจะอยู่แถวนี้ อาจจะไปพบใครสักคนก็เป็นได้”
นางข้าหลวงหมิงพึมพำ “ไท่จื่อเฟยจะแอบพวกเราไปเจอผู้ใดตามลำพังได้อย่างไร”
นางข้าหลวงชิงตอบ “หากให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน แยกย้ายกันออกไปหาเถิด”
ทั้งสามคนแยกย้ายกันออกตามหา ทว่าตรอกแห่งนี้เป็นทางตรง ไม่มีทางแยก แต่มีรถม้าจอดอยู่มากมาย พวกนางตามหาทีละคัน ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของไท่จื่อเฟย
“พวกเจ้าเห็นไท่จื่อเฟยเดินเข้ามาในตรอกแล้วจริงๆ หรือ” ยอดฝีมือจากวังหลวงถาม
นางข้าหลวงหมิงเอ่ยด้วยความโมโห “ไท่จื่อเฟยเดินนำหน้าพวกข้า นางเดินเลี้ยวเข้ามา หากไม่เข้ามาในตรอกแล้วจะให้ไปที่ใด”
ยอดฝีมือจากวังหลวงแหงนหน้ามองอย่างสงสัย มองหลังคาเรือนทั้งสองฟาก หรือจะถูกคนจับตัวไป
ม่านราตรีโรยตัวลงมา แสงทองสุดท้ายแห่งยามสนธยาสาดส่องลงบนจั่วหลังคา สะท้อนระยิบระยับพับพราวตา
ปลายเท้าของกู้เจียวจรดกับพื้นผิวอย่างแผ่วเบา ร่างเบาหวิวดั่งนกนางนวล นางแบกถุงกระสอบใบใหญ่ก่อนจะถลาลงมาจากหลังคา จากนั้นก็เดินเข้าทางประตูหลังของสวนผลไม้ใกล้ๆ กับตรอกปี้สุ่ย
สวนผลไม้นี้เปิดเป็นกึ่งการค้า เหล่าเด็กๆ ที่อยู่ระแวกตรอกนี้มักจะชอบเข้ามาเล่นที่นี่ แต่หากเด็ดผลไม้ก็ต้องจ่ายเงินตามน้ำหนัก ทว่าราคาก็ถูกกว่าตามท้องตลาด
ท้ายสวนผลไม้มีห้องเก็บอุปกรณ์ที่แปลงมาจากคอกม้า เนื่องจากไม่ได้ซ่อมแซมมานานหลายปี ตากลมตากฝน จึงถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป
กู้เจียวผลักประตูห้องเปิดดังโครม แล้วโยนกระสอบเข้าไปโดยไม่แยแสเลยแม้แต่นิด
ไท่จื่อเฟยที่ถูกแบกห้อยหัวมาตลอดทาง ท้องไส้ก็ปั่นป่วนไปหมด แถมยังถูกโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี เจ็บจนต้องร้องสูดปาก “โอ๊ย เจ้าเป็นใครกัน”
กู้เจียวไม่เปลืองน้ำลายพูดกับนาง กระชากกระสอบที่คลุมหัวนางออกในทันใด
นางห้อยหัวอยู่ในกระสอบมาตลอดทาง ผมเผ้าของนางจึงยุ่งเหยิงไปหมด ปิ่นมุกเองก็หล่นหายไปแล้ว สภาพดูน่าสมเพชเหลือเกิน
นางยกมือขึ้นบังแสงตรงหน้าตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่าไม่ได้แสบตาขนาดนั้น นางจึงหันมองไปทางโจรลักพาตัวที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน
ทว่ากลับเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง สวมหน้ากากขนนกยูงสีสันสะดุดตา
ดวงตาของนางฉายแววประหลาดใจ “เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าต้องการอะไร”
กู้เจียวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านางด้วยอารมณ์คุกรุ่น เชิดหน้าเหลือบตามองต่ำไปที่นาง ก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วกระชากสาบเสื้อของนาง ยกร่างทั้งร่างของนางลอยขึ้น แล้วตบเข้าที่บ้องหูของนางอย่างแรงจนกระเด็นไปชนกับกำแพง
ริอาจใช้แมวมาทำให้สามีข้าตกใจกลัวอย่างนั้นรึ
หึ หึ
ไม่เคยมีผู้ใดทำเช่นนี้กับไท่จื่อเฟยมาก่อน แม้ตระกูลเดิมของนางจะเทียบกับตระกูลตู้หรือจวนหลัวกั๋วกงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นลูกหลานบัณฑิต หญิงสาวในตระกูลล้วนแต่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม ต่อมาเมื่อได้เป็นคู่หมั้นของท่านโหวน้อย ก็ยิ่งรายล้อมไปด้วยบ่าวบริวาร ไม่มีผู้ใดไม่เอาอกเอาใจนาง
ที่น้อยเนื้อต่ำใจมากที่สุดคงเป็นยามที่ไปเยือนแคว้นเหลียง เพราะถูกคนต่างแคว้นเมินเฉย แต่ก็มิใช่เหตุจากตัวนาง
ถูกคนเอากระสอบครอบหัว ถูกแบกหามราวกับลูกไก่ แถมยังถูกตบปากอีก นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
“เจ้า…” นางหมอบอยู่บนพื้น มองกู้เจียวด้วยสายตาเย็นชา หมายจะใช้บารมีไท่จื่อเฟยอันยิ่งใหญ่ของตนข่มอีกฝ่าย
ทว่า…
ขอโทษด้วยก็แล้วกัน
กู้เจียวกระชากร่างนางขึ้นมา ตุบ! ตับ! ตุบ!
เสียงดังนั้นขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับตอกเสาเข็มมิปาน อยากจะฝังนางลงไปในหลุมให้รู้แล้วรู้รอด!
“เจ้าบ้าไปแล้ว! ข้าคือ…โอ๊ย….”
“ไท่จื่อ…โอ๊ย….”
“เฟย…โอ๊ย…”
ไท่จื่อเฟยถูกต่อยจนแทบเสียสติ ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้นางได้พูด
หมัดน้อยๆ ของกู้เจียวซัดรัวตั้งแต่ตะวันตกดินจนกระทั่งฟ้ามืด อัดนางจนน่วมเป็นที่เรียบร้อย
กู้เจียวเป่ากำปั้นน้อยของตัวเอง “ข้านี่น่าสงสารเสียจริง เหนื่อยชะมัด”
ไท่จื่อเฟ่ยที่ใบหน้าบูดเบี้ยวปากสั่นพะงาบๆ “…”
ใครกันแน่ที่น่าสงสาร
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก จากนั้นก็มีคนใช้เท้ายันประตูที่ปิดสนิทให้เปิดออก ยอดฝีมือจากวังหลวงที่ติดตามไท่จื่อเฟยพุ่งตัวเข้ามา
เขาหันไปมองไท่จื่อเฟยที่สภาพสะบักสะบอมจนแทบจำหน้าไม่ได้ เส้นเอ็นปูดโปนที่ขมับก็กระตุกขึ้นในทันใด “หยุดนะ! ปล่อยไท่จื่อเฟยเดี๋ยวนี้!”
กู้เจียวปัดมือไปมา “ได้”
ยอดฝีมือจากวังหลวงเองไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นสาวน้อยหรือไม่ พุ่งตัวเจ้าไปแลกหมัดกับกู้เจียวในทันที แต่ละกระบวนท่าของเขาล้วนแต่เป็นท่าสังหาร พริบตาเดียวทั้งสองก็ปะทะกันพันลวัน
ไม่นานยอดฝีมือจากวังหลวงก็พบว่าการที่ต่อกรกับกู้เจียวนั้นคือความคิดที่ผิดมหันต์ที่เขาได้ทำลงไปในค่ำคืนนี้
อันที่จริงกู้เจียวเองก็ออกหมัดไปแล้วพอสมควร จึงตั้งท่าจะหนีออกไป หากยอดฝีมือจากวังหลวงละมือจากกู้เจียว เขาก็จะสามารถพาตัวไท่จื่อเฟยออกไปจากที่นี่ได้ในทันที
ทว่าน่าเสียดายทั้งสองคนไม่มีใครออมมือ
สมกับเป็นยอดฝีมือแห่งวังหลวง แรกเริ่มกู้เจียวเองก็ยังเดาทางได้ยากนัก แต่หลังจากไม่กี่กระบวนท่า กู้เจียวก็ค่อยๆ จับทางได้ เริ่มออกหมัดสูสีกับเขา เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นต่อ
ดูจากรูปการณ์แล้ว เกรงว่ายอดฝีมือจากวังหลวงผู้นี้จะรับมือแม่หนูคนนี้ไม่ไหว
ไหวไม่ไหวก็ช่างประไร กู้เจียวเองก็คร้านจะสั่งสอนไท่จื่อเฟยแล้วเหมือนกัน ทว่าไท่จื่อเฟยไม่คิดเช่นนั้น นางคิดว่าหากไม่หนียามนี้ ไม่แน่ว่าประเดี๋ยวอาจจะโดนเล่นงานอีกก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงฉวยจังหวะตอนที่ยอดฝีมือจากวังหลวงกำลังยุดยื้ออยู่กับกู้เจียว แล้วใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเผ่นหนีออกมา
ทว่านางนั้นโชคดีไม่น้อย ทั้งๆ ที่หนีออกมาอย่างตื่นตระหนกจนหลงทิศไปหมด แต่กลับบังเอิญเจอฉินฉู่อวี้ที่วิ่งเล่นอยู่ในสวนผลไม้
ฉินฉู่อวี้ เสี่ยวจิ้งคง และสวี่โจวโจววิ่งทิ้งห่างขันทีหนุ่มและบ่าวตระกูลสวี่ออกมาไกล จนกระทั่งมาถึงใต้ต้นพุทธราต้นใหญ่ เสี่ยวจิ้งคงชอบกินผลพุทธราจากต้นนี้เป็นที่สุด แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่ออกผล
แต่ว่ายังมีรังนกใหญ่อยู่
“ข้าปีนขึ้นไปก่อนก็้แล้วกัน” สวี่โจวโจวเอ่ย
เขาเป็นลูกชายของเจ้ากรมกลาโหม ฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่เล็ก ไม่นับว่าเป็นเด็กเรียบร้อยสักเท่าไหร่ ปีนต้นไม้คล่องแคล่ว ไม่ทันไรก็ปีนขึ้นไปถึงยอดแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงก็ปีนตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็เหลือเพียงฉินฉู่อวี้
ฉินฉู่อวี้อ้วนตุ้ยนุ้ย ทั้งยังถูกเลี้ยงดูมาราวกับอย่างไข่ในหิน อย่าว่าแต่ปีนต้นไม่เลย แม้แต่เก้าอี้ที่สูงนิดหน่อยก็ปีนไม่ขึ้น
“ไอ้หยา เจ้าทำแบบนี้สิ!” เสี่ยวจิ้งคงมองเขาอย่างหงุดหงิดก่อนจะสาธิตให้เขาดู “มือกอดไว้ ขาก็หนีบไว้ ขยับมือก่อน แล้วค่อยขยับเท้า กระดกก้นยื่นออกมาหน่อยก็ขึ้นได้แล้ว!”
ฉินฉู่อวี้ลองทำตามอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังปีนขึ้นมาได้เพียงน้อยนิด
ขณะเดียวกันนั้น ไท่จื่อเฟยก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ปกติแล้วนางเป็นคนใจเย็นคนหนึ่ง แต่ความหวาดกลัวจากสิ่งที่คาดเดาไม่ได้นั้น สามารถกลืนกินสติสัมปชัญญะได้ทั้งหมด แม้กู้เจียวจะไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น คิดเพียงแต่จะสั่งสอนนาง แต่กลับทำให้นางขวัญกระเจิง จนลืมแม้กระทั่งกิริยาและยศถาของตนเอง
เมื่อนางเห็นฉินฉู่อวี้ ก็เหมือนดั่งได้พบแสงสว่างที่มาช่วยชีวิต นางถลาเข้าไปหาฉินฉู่อวี้ “เจ้าเจ็ด…”
กว่าฉินฉู่อวี้จะปีนขึ้นไปได้สูงขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อเหลียวไปมองก็เห็นใบหน้าบิดเบี้ยว เขาตกใจจนร้องเสียงหลง “ผี!”
ขาก็พลันถีบเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย!
จมูกที่เหลือรอดปลอดภัยเพียงสิ่งเดียวของไท่จื่อเฟยถูกฉินฉู่อวี้ถีบจนบิดเบี้ยว เลือกกำเดาไหลอาบ!
ฉินฉู่อวี้ตกใจไม่น้อย “ฮือ ฮือ ฮือ! ข้าไม่ไหวแล้ว! ข้าจะตกลงไปแล้ว!”
ฉินฉู่อวี้มือไม้แข้งขาอ่อนแรงไปหมด ก่อนจะตกลงสู่พื้น
เสี่ยวจิ้งคงและสวี่โจวโจวเห็นเหตุการณ์ก็รีบปีนลงจากต้นไม้ไปช่วยพยุงเขา
ไท่จื่อเฟยอดกลั้นความเจ็บปวด กุมจมูกที่เลือดไหลออกมาพลางเอ่ย “เจ้าเจ็ด นี่ข้าเอง! ข้าคือพระเชษฐภคินีของเจ้า! บ่าวจากวังและรถม้าอยู่ที่ใด รีบหนีไปกับพี่เร็ว!”
นางตื่นตระหนก ลืมแม้กระทั่งว่าต้องปกปิดตัวตนของตนเองและฉินฉู่อวี้ โชคดีที่เสี่ยวจิ้งคงกับสวี่โวโจวเองก็ฟังไม่เข้าใจ อะไรคือพระเชษฐา อะไรคือภคินี!
“เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย! เจ้าอย่าเข้ามานะ!” ฉินฉู่อวี้ตกใจสภาพสะบักสะบอมราวกับซากศพของไท่จื่อเฟย ถดถอยหลังไถลไปตามพื้น
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กฉลาด เขาเชื่อมโยงประสบการณ์ชีวิตมากมายของตน พริบตาเดียวก็ได้ข้อสรุปออกมา “พี่เสี่ยวชี พี่โจวโจว นางคือโจรลักเด็ก!”
ตอนนั้นโจรลักเด็กที่ลักพาตัวเขากับพี่เสี่ยวหมิงเอ๋อร์ก็ใช้อุบายเช่นนี้!
แสร้งทำเป็นรู้จักกับพวกเขา บอกว่าพวกเขาเป็นลูกหลานบ้านตนเอง หากอุ้มตัวพวกเขาออกไปก็ย่อมไม่มีใครสงสัย!
สวี่โจวโจวรู้สึกว่าที่เสี่ยวจิ้งคงพูดมีเหตุผล ประกอบกับคนผู้นั้นก็ไม่เหมือนกับพี่สะใภ้ในความทรงจำของฉินฉู่อวี้แต่อย่างใด ด้วยเหตุนั้นทั้งสามจึงเห็นพ้องต้องกันว่านั่นคือโจรลักเด็ก
จะไม่ยอมให้โจรลักเด็กลอยนวลเด็ดขาด!
จิตวิญญาณผู้ผดุงคุณธรรมของเจ้าถั่วทั้งสามพุ่งสูงปรี๊ด เสาะหาท่อนไม้หมายจะฟาดโจรลักเด็กนี่เสียหน่อย
ด้วยเหตุนี้หลังจากถูกกู้เจียวรัวหมัดใส่หนึ่งยก ไท่จื่อเฟยก็ถูกท่อนไม้ของสามแสบแห่งกั๋วจื่อเจียนทุบอีกหนึ่งยก
ส่วนหัวโจกก็คือฉินฉู่อวี้เช่นเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย