สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 126 พิธีปักปิ่น
อันจวิ้นอ๋องได้รับเทียบเชิญจากจวนติ้งอันโหวในคืนนั้นทันที
ตั้งแต่อันจวิ้นอ๋องสิ้นสุดชีวิตตัวประกันของแคว้นเฉินลง หลังจากกลับเมืองหลวงแล้วก็สงบเสงี่ยมมาโดยตลอด นอกจากอ่านตำราสอบขุนนางแล้วก็แทบจะไม่ไปมาหาสู่กับใครเลย
ชาวเมืองต่างรู้นิสัยของอันจวิ้นอ๋องท่านนี้ดี ยามปกติไม่มีใครออกตัวมาคบค้าสมาคมกับเขาเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองเทียบในมือด้วยความแปลกใจ
เพื่อไม่ให้เป็นการบุ่มบ่ามอย่างเห็นได้ชัด ท่านโหวกู้จึงส่งเทียบให้อันจวิ้นอ๋องกับจวงเมิ่งเตี๋ยสองคน
อันจวิ้นอ๋องคาดไม่ถึงอยู่ไม่น้อย แต่เห็นชื่อของจวงเมิ่งเตี๋ยแล้วก็คล้ายว่าจะไม่แปลกใจแล้ว “ท่านโหวกู้เลี้ยงลูกสาวมากเล่ห์เอาไว้เสียแล้ว”
ไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่านี่เป็นฝีมือกู้จิ่นอวี้ที่ผิดฝาผิดตัวนางนั้น
แต่ทว่าอันจวิ้นอ๋องไม่คิดว่ากู้จิ่นอวี้จะเข้าใจคำพูดของตนผิด ทำให้กู้จิ่นอวี้เกิดความคิดที่ไม่สมควรต่อตนขึ้น เขาแค่คิดว่านางกำลังดึงจวงเมิ่งเตี๋ยไปเป็นพวก ถือโอกาสยืมมือจวงเมิ่งเตี๋ยมาเชิญเขาไปที่จวนเพื่ออาศัยบารมีเขา
เขาหัวเราะเสียงเย็น โยนเทียบลงบนโต๊ะ
อู่หยางถามขึ้นว่า “จวิ้นอ๋อง จวนอันติ้งโหวคิดอะไรอยู่หรือ เหตุใดจึงส่งเทียบมาให้ท่านกับคุณหนูเมิ่งเตี๋ยเล่า”
อันที่จริงความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายค่อนข้างซับซ้อน คราก่อนที่หมู่บ้านน่ะคืออุบัติเหตุ หากฟ้ามืดแล้วระแวกนั้นไร้โรงเตี๊ยม ซ้ำตอนกลางคืนเขาก็มองไม่เห็นอะไร กลัวว่าอาการป่วยจะเปิดโปงจึงเข้าไปพักที่หมู่บ้านของจวนติ้งอันโหว
ทว่าเบื้องหลังของจวนติ้งอันโหวคือซูเฟย แล้วเบื้องหลังของซูเฟยคือฝ่าบาท พวกเขากับตระกูลจวงไปมาหาสู่กันสนิทชิดเชื้อเกินไปไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะเกิดความสงสัยขึ้นหรือไร
อันจวิ้นอ๋องยิ้มเย็นเอ่ยว่า “หากมีคนถามขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นแค่การคบหากันของเด็กสาวสองคนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับอำนาจฝักฝ่ายอะไรหรอก”
อู่หยางเบ้ปากอย่างรังเกียจ “งานเลี้ยงตระกูลพรรค์นี้อย่าไปดีกว่าขอรับ! ตอนอดีตท่านโหวยังดำรงตำแหน่งอยู่ยังไม่ผูกสัมพันธ์กับตระกูลจวงของพวกเราเลย นับประสาอะไรกับตอนนี้”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าอย่าได้ดูถูกจวนติ้งอันโหวเชียว อดีตท่านโหวปีนั้นคุณูปการทางการทหารมากมาย จู่ๆ ก็ถูกฝ่าบาทยึดอำนาจทหารไป ซ้ำยังยึดหน่วยกล้าตายที่ตนเลี้ยงไว้อย่างลับๆ อีก เขาออกจากเมืองหลวงไปด้วยความผิดหวัง ออกท่องเที่ยวไปทั่วแล้ว เจ้าคิดว่าเป็นแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ”
“หรือว่าไม่ใช่หรอกหรือ” อู่หยางถาม
อันจวิ้นอ๋องหรี่ตาลง “ข้าสงสัยความร้าวฉานของอดีตท่านโหวกับฝ่าบาทมาตลอด ความจริงแล้วอาศัยโอกาสนี้ออกจากเมืองหลวงแอบไปเพาะเลี้ยงกำลังทหารให้ฝ่าบาท หากบอกว่าจวนเซวียนผิงโหวเป็นหอกในที่แจ้งของฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วจวนจิ้งอันโหวก็คือธนูที่ลอบแทงหลังฝ่าบาท”
อู่หยางสงสัย “แต่ไม่ว่าข้าจะมองอย่างไรท่านโหวกู้ก็ไม่เหมือนคนที่จะประสบความสำเร็จได้ อาศัยแค่บารมีของอดีตท่านโหวคนเดียวจะสามารถยืนหยัดไปได้นานเพียงใดกัน ความคิดนี้ของฝ่าบาททรงคิดผิดหรือไม่”
อันจวิ้นอ๋องแววตาลุ่มลึกขึ้น “ท่านโหวกู้ทำไม่ได้ แต่กู้ฉังชิงทำได้”
อู่หยาง “นั่น…”
อันจวิ้นอ๋องไม่ได้สนทนาในหัวข้อนี้ต่อ แต่กลับเอ่ยว่า “วันเกิดของแม่นางกู้ก็วันเดียวกันกระมัง”
อู่หยางย่อมรู้ดีว่าแม่นางกู้ที่เจ้านายตนหมายถึงนั้นไม่ใช่กู้จิ่นอวี้ เขาเอ่ยว่า “น่าจะใช่ขอรับ แล้วก็คุณชายน้อยกู้ด้วย”
อันจวิ้นอ๋องพยักหน้า “พวกเขาพักกันอยู่ที่ไหนในเมืองหลวง สืบหาได้หรือยัง”
อู่หยางตอบว่า “สืบมาได้แล้วขอรับ สามีของแม่นางกู้ไปรายงานตัวที่กั๋วจื่อเจียน ทิ้งที่อยู่เอาไว้ เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่ว่าอะไรรึ” อันจวิ้นอ๋องถาม
อู่หยางเอ่ยว่า “เรือนหลังนั้นเป็นเรือนที่จวิ้นอ๋องเคยถูกใจซ้ำยังให้ข้าน้อยไปซื้อด้วย แต่น่าเสียดายที่ถูกคนใช้เงินมากกว่าสิบเท่าซื้อไปแล้ว”
อันจวิ้นอ๋องพอจำได้อยู่บ้าง “เจ้าหมายถึงเรือนที่อยู่ใกล้กั๋วจื่อเจียนมาก ซ้ำยังมีลานบ้านขนาดใหญ่สองลานด้วยนั่นน่ะหรือ”
“ขอรับ!” อู่หยางพยักหน้า
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างฉงนว่า “พวกเขาเข้าพักที่เรือนนั้นกันได้อย่างไร”
อู่หยางเอ่ยว่า “ได้ยินว่าสามีของแม่นางกู้ใช้เงินสามสิบสองตำลึงเช่าอยู่ทุกๆ เดือนขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม “แค่สามสิบสองตำลึงเองรึ”
สามสิบสองตำลึงอันที่จริงก็ไม่ใช่น้อยๆ หรอก แต่หากรู้ว่าเรือนหลังนั้นซื้อมาด้วยราคาที่มากถึงสิบเท่า ก็จะรู้สึกว่าเงินค่าเช่านี้ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
บ้านเรือนในตรอกเส้นนั้นอยู่ใกล้กับกั๋วจื่อเจียนมา แต่มีเพียงเรือนหลังนั้นที่มีลานบ้านใหญ่ที่สุด เหมาะมากสำหรับครอบครัวที่มีเด็ก นางมีน้องชายตัวน้อยวับสามขวบอยู่คนหนึ่งพอดีเสียด้วย
เพียงแต่ว่า พวกนางเช่ามาได้อย่างไรกันนะ
“อาจเป็นโชคดดีกระมังขอรับ” สิ่งที่อู่หยางอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ คนที่ซื้อเรือนนี้เป็นคนโง่เขลากระมัง จ่ายเงินไปก้อนโตเสียขนาดนั้นเพื่อซื้อบ้านในเขตกั๋วจื่อเจียน ผลสุดท้ายก็เพื่อปล่อยเช่าน่ะรึ
อันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องสืบถามเจาะลึก พวกเขาพักอยู่ที่นั่นก็ไม่เลว ระแวกนั้นล้วนเป็นบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียน ไม่มีใครจำไทเฮากันได้หรอก”
“ยังมีอีกเรื่องขอรับ” อู่หยางเอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไร” อันจวิ้นอ๋องถาม
อู่หยางเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “จวิ้นอ๋องยังจำรายชื่อแนะนำของระดับอำเภอได้หรือไม่ ข้าน้อยไปสืบมา สามีของแม่นางกู้สอบระดับมณฑลได้ที่หนึ่ง ผลคะแนนรวมได้เป็นอันดับหนึ่งของอำเภอ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ ก็เพราะผลสอบเขาดีพอข้าจึงได้โน้มน้าวท่านปู่ให้คิดหาวิธีเปิดกั๋วจื่อเจียนอีกครั้ง แบบนี้เขาก็จะสามารถย้ายสำมะโนครัวมาเข้าเรียน ไทเฮาก็จะได้เข้าเมืองหลวงมาโดยไม่เป็นที่สะดุดสายตาใคร มีปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ”
อู่หยางเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่า “รายชื่อที่เสนอของอำเภอไม่ใช่ชื่อเขา แต่เขาสอบได้เองขอรับ!”
อันจวิ้นอ๋องส่งเสียงอืมออกมาอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าฉงนเรื่องที่อีกฝ่ายสอบได้ที่หนึ่งระดับมณฑล หรือว่าปัญหาของรายชื่อนั้น
“รายชื่อนั้นเป็นใครรึ” เขาถาม
อู่หยางบอกว่า “เป็นสหายคนหนึ่งของเขา นามว่าเฝิงหลิน ข้าน้อยตรวจสอบแล้ว เฝิงหลินผู้นี้ไม่มีภูมิหลังอะไรเลย สอบระดับมณฑลได้ที่สิบเจ็ด สอบชนบทนั้นสอบที่อำเภอซง กระทั่งหลิ่นเซิงยังสอบไม่ติด ไม่รู้ว่าไปได้การแนะนำจากกั๋วจื่อเจียนมาได้อย่างไร”
อันจวิ้นอ๋องหัวเราะเสียงเย็น “ติดสินบนนายอำเภอน่ะสิ”
อู่หยางขมวดคิ้ว “แต่ว่า รายชื่อของกั๋วจื่อเจียนนั้นถูกส่งมาก่อน ผลคะแนนการสอบระดับมณฑลออกตามมาทีหลัง หรือว่าเซียวลิ่วหลังผู้นี้มั่นอกมั่นใจว่าตัวเองจะสอบได้ที่หนึ่งแม้กระทั่งผลคะแนนยังไม่ออก จึงได้ติดสินบนนายอำเภอไว้ก่อน ยกการเสนอรายชื่อที่ควรจะเป็นของตัวเองให้แก่สหายของตัวเองอย่างนั้นรึ นี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”
ไร้เหตุผลจริงๆ นั่นแหละ แม้กระทั่งอันจวิ้นอ๋องยังไม่กล้าเดินหมากอันตรายเช่นนี้เลย
แต่หากบอกว่ายังมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ อันจวิ้นอ๋องไม่เชื่อ
อย่างไรเสียอู่หยางก็เคยตรวจสอบเรื่องภูมิหลังของเซียวลิ่วหลังแล้ว เป็นเด็กกำพร้าต่างถิ่นคนหนึ่ง สูญเสียบิดาตั้งแต่เด็ก มารดาเลี้ยงเขากับพี่ชายจนเติบใหญ่ แต่กลับจากโลกนี้ไปตามๆ กันกับพี่ชาย สุดท้ายเหลือเพียงเขาผู้เดียว
เขาเป็นลมหมดสติอยู่หน้าหมู่บ้านจึงโดนกู้เจียวช่วยไว้ ต่อมาก็แต่งงานกัน ซ้ำเขาก็มีทะเบียนบ้านผู้อยู่อาศัยถาวรที่หมู่บ้านนั้นด้วย
เขาได้รับความสำคัญและคำชื่นชมจากเจ้าสำนักหลีเป็นอย่างมาก เจ้าสำนักหลียังเคยป่าวประกาศอยู่ฝ่ายเดียวว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงของตัวเองอีกด้วย
แต่ตัวเขาเองไม่เคยตอบรับเลยสักครั้ง ทว่าหลังจากที่เขากลายเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักหลีแล้ว จู่ๆ ผลการเรียนการสอบก็พุ่งสูงขึ้น
เดิมทีเขาอยู่แค่ชั้นพื้นฐาน ใครจะไปคาดคิดได้ว่าเพียงระยะเวลาที่ไม่ถึงหนึ่งปีดี จู่ๆ ก็พุ่งทะยานขึ้นสูงสอบได้เจี่ยหยวนของอำเภอ
อันจวิ้นอ๋องยิ้มจาง “ตอนนั้นเจ้าสำนักหลีเป็นหนึ่งในสี่นักปราชญ์แห่งเมืองหลวงด้วยกันกับท่านลุงสี่ของข้า ลุงสี่ของข้าไม่ยอมแพ้มาโดยตลอด เหตุใดเจ้าสำนักหลีจึงได้อันดับสูงกว่าเขา ยามนี้นับว่าคำตอบได้ออกมาแล้ว”
นี่เป็นฝีมือของเจ้าสำนักหลีจริงๆ น่ะหรือ เหตุใดอู่หยางจึงรู้สึกว่าเซียวเจี่ยหยวนผู้นั้นต่างหากที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
แต่ประโยคนี้อู่หยางไม่ได้เอ่ยออกไป เขารู้นิสัยของจวิ้นอ๋องของเขาดี จวิ้นอ๋องเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง เต็มไปด้วยแผนการยุทธวิธี วางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ทระนงว่าตัวเองเก่งกาจ คิดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครสามารถฉลาดไปกว่าตัวเองอีกแล้ว
เพียงพริบตาเดียววันที่สิบแปดเดือนสิบก็มาถึง สารทฤดูอากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย เมฆจางสายลมเอื่อย
จวนโหวในวันนี้อรุณยังไม่ทันเบิกฟ้าก็เริ่มวุ่นงานกันแล้ว
วันนี้ทั้งเป็นวันเกิดของกู้จิ่นอวี้และเป็นพิธีปักปิ่นของนางด้วย
เจตนาเดิมของท่านโหวกู้นั้นคือจะให้กู้เจียวกับกู้เหยี่ยนกลับจวนมาฉลองวันเกิดด้วย แต่ถูกสองคนพี่น้องปฏิเสธมาอย่างไรเยื่อใย
ที่กู้เจียวไม่กลับไปเป็นเพราะไม่ได้มองตัวเองเป็นคนของจวนโหว ส่วนที่กู้เหยี่ยนไม่กลับไปเป็นเพราะทุกคนในจวนไม่มีใครที่ต้อนรับเขาอย่างจริงใจเลยสักคน
ในใจท่านย่าของเขามีเพียงพี่ชายทั้งสามคน เขามันตัวขี้โรค โชคร้ายเต็มร่าง ไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านย่ามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
ส่วนพี่ชายสามคนนั้น ตอนเขาเด็กๆ ก็เคยคิดอย่างใสซื่อว่าพวกเขาเป็นพี่ชายของตนจริงๆ ถูกชกต่อยหลายครั้งจึงได้รู้ว่าเขากับพวกเขาไม่มีทางเป็นคนในครอบครัวเดียวกันได้ตลอดไป
ชาติกำเนิดของกู้จิ่นอวี้มีเพียงเจ้านายของจวนรวมถึงคนรับใช้คนสนิทที่รู้เรื่อง คนอื่นๆ กลับไม่รู้ว่ากู้จิ่นอวี้เป็นคุณหนูที่อุ้มผิดตัวมา และไม่รู้ว่ากู้เหยี่ยนกลับเมืองหลวงมาแล้ว
ก็เหมือนกับปีที่แล้วมา มีเพียงคุณหนูกู้จิ่นอวี้ฉลองวันเกิดคนเดียว
เมื่อคืนแม่นางเหยานำของขวัญมอบให้กู้จิ่นอวี้แล้ว วันนี้นางจึงไปฉลองวันเกิดกับฝาแฝดที่กั๋วจื่อเจียนตั้งแต่เช้าตรู่
กู้จิ่นอวี้ไม่มีเวลามาหดหู่ที่ถูกทิ้ง เพราะวันนี้ความน่าตื่นเต้นของนางมากมายเหลือเกิน
ซูเฟยมาจวนโหวไม่ได้แล้วเพราะเกิดปัญหาขึ้นในวังจึงปลีกตัวมาไม่ได้ นางจึงให้องค์ชายห้ามาแทนนาง
แถมองค์ชายห้ายังนำราชโองการแต่งตั้งนางเป็นท่านหญิงอย่างเป็นทางการของฮ่องเต้มาอีกด้วย แต่งตั้งฉายานามว่า ฮุ่ย
นี่เป็นท่านหญิงคนแรกของจวนโหว ทุกคนต่างพลอยได้เกียรตินี้ไปด้วย กู้เหล่าฮูหยินก็รู้สึกว่ามีหน้ามีตาอย่างมาก คุกเข่าโขกศีรษะขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท
“ท่านย่า” กู้จิ่นอวี้พยุงกู้เหล่าฮูหยินให้ลุกขึ้น
กู้เหล่าฮูหยินตบหลังมือนางเบาๆ อย่างปลื้มใจยิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นคนใจสู้มุมานะ ฝ่าบาทแต่งตั้งเจ้าให้เป็นท่านหญิงฮุ่ย คำว่าฮุ่ย นี้ เห็นได้อย่างยิ่งว่าฝ่าบาททรงชื่นชมเจ้า!”
นี่คือการชื่นชมกู้จิ่นอวี้ว่าฉลาดเฉลียวเกินผู้ใด!
กู้จิ่นอวี้คำนับให้ก่อนเอ่ยว่า “ล้วนเป็นเพราะท่านย่าสั่งสอนมาดีเจ้าค่ะ ข้ารับใช้ดูแลท่านย่ามาตั้งแต่เด็ก ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำ มีความรู้ในทุกวันนี้ได้ล้วนเป็นเพราะท่านย่าทั้งนั้นเจ้าค่ะ ท่านย่าไม่ลำเอียงเพราะข้าเป็นสตรีเลยสักนิด เชิญอาจารย์ซีสีผู้ยอดเยี่ยมเพียงนั้นมาให้ข้า หากไม่มีท่านย่าก็ไม่มีท่านหญิงจิ่นอวี้เจ้าค่ะ!”
ประโยคนี้ทำเอากู้เหล่าฮูหยินฟังแล้วจิตใจเบิกบานยิ่ง
กู้เหล่าฮูหยินเรียกได้ว่ารักใคร่เอ็นดูกู้จิ่นอวี้ แต่ก็ยังสู้หลานชายสายตรงทั้งสามไม่ได้อยู่ดี อาจารย์ซีสีนั้นท่านโหวกู้เป็นคนเชิญมาให้ กู้เหล่าฮูหยินแค่ไม่ได้คัดค้านก็เท่านั้นเอง
แต่กู้จิ่นอวี้ยอมเอาความดีความชอบนี้มาให้แก่นาง เห็นได้ชัดแล้วว่านางมีใจกตัญญู
ไม่เหมือนเด็กนั่นที่เติบโตในชนบท มาเมืองหลวงนานเพียงนี้แล้วยังไม่รู้จักมาโขกหัวให้นางเลย
เสียดายก็แต่ไม่ใช่หลานแท้ๆ จึงยังมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ดี
“ยินดีกับเหล่าฮูหยินด้วย ยินดีกับท่านหญิงด้วย!” อนุหลิงมอบของขวัญที่ตัวเองตั้งอกตั้งใจตระเตรียมให้
กู้จิ่นอวี้ไม่ชอบอนุหลิง แต่นางรู้ดีว่าเหล่าฮูหยินชอบอนุหลิง นางไม่มีทางฉีกหน้าเหล่าฮูหยิน
นางรับของขวัญของอนุหลิงเองกับมือ “ขอบคุณอนุมาก”
อนุหลิงหยิบของขวัญมาอีกชิ้น “นี่เป็นของขวัญที่พี่ใหญ่เตรียมไว้ให้เจ้า เขาปลีกตัวมาจากค่ายทหารไม่ได้ จึงให้ข้าเอาของขวัญมามอบให้เจ้าเสียก่อน”
กู้จิ่นอวี้รู้ดีว่าความจริงแล้วของขวัญชิ้นนี้อนุหลิงเป็นคนตระเตรียม แต่นางก็ไม่ผิดหวังเช่นกัน เรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป การเปลี่ยนแปลงของพี่ใหญ่ที่มีต่อนางต้องใจเย็นๆ นางเห็นแสงรำไรแล้ว เชื่อว่าหากให้เวลาเขาอีกหน่อย พี่ใหญ่ต้องยอมรับนางจากใจจริงได้แน่!
พิธีปักปิ่นของกู้จิ่นอวี้ใหญ่โตอลังการ มีผู้มีอำนาจและชนชั้นสูงในเมืองหลวงมาร่วมด้วยไม่น้อย แม้กระทั่งซือเยี่ยของกั๋วจื่อเจียนยังมาด้วย!
ซือเยี่ยเป็นตำแหน่งขุนนางในกั๋วจื่อเจียนที่รองลงมาจากจี้จิ่ว ทั้งหมดมีเจิ้งซือเยี่ยกับฟู่ซือเยี่ย คนที่มาคือเจิ้งซือเยี่ยอย่างใต้เท้าเจิ้ง!
จี้จิ่วหนุ่มจากโลกนี้ไปแล้ว จี้จิ่วอาวุโสลาออกและออกจากเมืองหลวงไปแล้ว คนในเมืองหลวงต่างลือกันว่าใต้เท้าเจิ้งผู้นี้จะเป็นจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียนคนต่อไป!
กู้จิ่นอวี้สัมผัสได้ถึงเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ความไม่เป็นธรรมทั้งหมดที่ได้รับในหมู่บ้านล้วนมลลายหายไปจนหมดสิ้น
นางเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงจริงๆ เมืองหลวงเป็นที่ของนางอย่างแท้จริง ที่นี่นางสามารถเจิดจรัสได้!
หากบอกว่าการมาร่วมงานของเจิ้งซือเยี่ยคือเกียรติยศของกู้จิ่นอวี้แล้ว เช่นนั้นบุคคลต่อไปนี้กลับเรียกได้ว่าทำให้ทั่วทั้งจวนโหวมีเกียรติยศเจิดจรัสเพิ่มมากขึ้นเป็นกองทีเดียว
แขกผู้มาใหม่นั้นคือคนสนิทของไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยส่งของขวัญปักปิ่นมาให้กู้จิ่นอวี้!
กู้จิ่นอวี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดีจึงจะเหมาะสม
ไท่จื่อเฟยเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคต ตำแหน่งรองเพียงจักรพรรดินีและไท่จื่อ กระทั่งซูเฟยยังไม่กล้าเล่นเนื้อเล่นตัวต่อหน้านาง บุคคลตำแหน่งสูงส่งเช่นนี้นึกไม่ถึงว่าจะส่งคนมาร่วมงานพิธีปักปิ่นของนางด้วย
กู้จิ่นอวี้ได้รับความโปรดปรานล้นหลามจนเริ่มวิตกขึ้นมา!
ขันทียิ้มเอ่ยว่า “ยินดีกับท่านหญิงฮุ่ยด้วย ไท่จื่อเฟยตรัสว่า หากท่านหญิงฮุ่ยมีเวลาว่าง ลองไปเดินเล่นที่ตำหนักตงกงดู เล่นหมากเป็นเพื่อนนางให้คลายความอุดอู้เสียหน่อย”
“เพคะ!” กู้จิ่นอวี้ขานรับอย่างเคารพนอบนบ
ขันทียกแส้ขนหางจามรีในมือขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “นี่ก็ได้เวลาพอสมควรแล้ว ไท่จื่อเฟยยังรอให้ข้ากลับไปรายงานอยู่”
“ข้าไปส่งกงกงเองเจ้าค่ะ!”
“ท่านหญิงฮุ่ยมิต้องส่งหรอก”
หลังจากที่ขันทีกลับไป กู้เหล่าฮูหยินกับท่านโหวกู้ก็ต่างรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง ภายในชั่วข้ามคืน นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะได้คบค้าสมาคมด้วยแม้กระทั่งไท่จื่อเฟย
เรียกว่าคบค้าสมาคมก็อาจจะเกินไปหน่อย เป็นไปได้มากที่ไท่จื่อเฟยจะเห็นแก่หน้าของฝ่าบาทจึงได้ส่งของขวัญมาให้ชุดหนึ่ง
แต่ไม่ว่าอย่างไร ความสำคัญในครานี้ก็เพียงพอที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นในเมืองหลวงไปสักพักทีเดียว
“จิ่นอวี้ไม่ทำให้ย่าผิดหวังเลยจริงๆ” กู้เหล่าฮูหยินเดิมทียังแสลงใจที่กู้จิ่นอวี้ไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ อยู่เลย ยามนี้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว จะใช่หลานแท้ๆ หรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะ
ต่อไปนี้คนที่ออกจากจวนโหวของพวกนางไป จะเป็นหน้าเป็นตาแทนจวนโหวในวันหน้า