ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 88 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-4
บทที่ 88 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-4
“พูดอะไรละอายใจเสียบ้าง! นั่นใช่สิ่งที่เจ้ามองออกถึงแก่นแท้ได้งั้นหรือ!”
เหลี่ยงเฟินกล่าวด้วยสีหน้าแข็งกร้าวแต่ข้างในขลาดเขลา
“อีกครั้ง!”
ตะโกนครั้งหนึ่งแล้วพลันสะบัดข้อมือ มีหมากดำลอยมานับไม่ถ้วนอีกครั้ง
จุดที่โจมตีไม่ใช่ร่างกายของจิ่วซานปั้น แต่เป็นคมกระบี่ในมือเขา
แก่นของการลับฝีมือคือการศึกษาวิเคราะห์
แม้เป็นใครก็ไม่หนำใจที่ไม่ได้แข่งวัดฝีมือสูงต่ำ แต่เหลี่ยงเฟินกับจิ่วซานปั้นรักษากฎเกณ์มากเหมือนกัน ตอนลับฝีมือห้ามทำร้ายคน
ดังนั้นการขว้างหมากนี้จึงพุ่งใส่คมอาวุธทั้งหมด
‘แกรกๆๆๆๆๆ…’
เสียงแตกหักดังขึ้นต่อเนื่อง
มันดูแสบแก้วหูเป็นพิเศษในค่ำคืนเงียบสงบ
เสียดายแค่ตอนนี้ไม่มีผู้ชม…
ฝีมือขว้างหมากที่งดงามกับวิชากระบี่ตามใจอยากเช่นนี้
ล้วนพบเห็นยากในโลก
ยามนี้เหมือนสวมชุดงามเดินยามค่ำคืน[1]
หากเรื่องแพร่ออกไป ไม่รู้ในใต้หล้าจะมีคนคลั่งยุทธ์ตีอกชกตัวมากมายเท่าไร…
วิชากระบี่ของจิ่วซานปั้นไร้กฎเกณฑ์และวุ่นวายขึ้นทุกที
การขว้างหมากของเหลี่ยงเฟินก็แน่นหนาและรอบคอบขึ้นเรื่อยๆ
จิ่วซานปั้นยิ้มเล็กน้อย
เพราะได้ยินเสียงตะกร้าของเหลี่ยงเฟินใกล้ว่างเปล่าแล้ว
“ถ้าหมากหมดแล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
เขาอยากให้เหลี่ยงเฟินใช้หมากหมดจนทนไม่ไหว…
เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องใช้วิทยายุทธ์หมัดเท้าเช่นก่อนหน้านี้อีกครั้ง
จิ่วซานปั้นยังดูไม่พอ
แม้เขาไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของการลับฝีมืออะไรนั่น แต่เขาไม่เคยเอาเปรียบใครสักนิดเดียว
หากเหลี่ยงเฟินมือเปล่าหมัดเปลือยอีกครั้ง เช่นนั้นเขาก็จะเก็บกระบี่อีกครั้งเหมือนกัน
“หากข้าใช้หมากหมดแล้ว เจ้าก็ไม่มีกระบี่ให้ใช้!”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
ขณะเดียวกันยกมือขึ้นขว้างหมากดำสามเม็ดสุดท้ายออกไป
จิ่วซานปั้นหนึ่งกระบี่ผ่าสามดวงดาว
ยังคงไม่รีบร้อนเช่นเดิม
ความจริงจิ่วซานปั้นก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน
ทั้งที่ ‘กระบี่วัวคลั่งแพะตื่น’ ของตนไม่มีลำดับขั้นให้จับทางได้สักนิด แต่เหลี่ยงเฟินกลับโจมตีบนกระบี่ของตนได้แม่นยำไม่พลาดสักเม็ดเดียว?
ทุกหมากของเขาล้วนสุขุมเยือกเย็น กำลังพอดี
“ข้าไม่มีหมากแล้ว”
เห็นหมากสามเม็ดสุดท้ายของตนถูกจิ่วซานปั้นฟันในหนึ่งกระบี่
เหลี่ยงเฟินยักไหล่กล่าว
เขาโยนตะกร้าหมากที่ผูกไว้กับเอวลงพื้นด้วย
“แต่กระบี่ของข้ายังอยู่!”
จิ่วซานปั้นกล่าวอย่างภูมิใจ ถึงขั้นส่ายศีรษะไปมาด้วย
แต่เพิ่งสิ้นเสียง
รอยยิ้มของเขาก็ค้างอยู่บนหน้า…
ทั้งไม่อาจแย้มบานต่อ และไม่อาจหุบคืนอย่างรวดเร็ว
หยุดนิ่งอยู่อย่างนี้
เพราะจิ่วซานปั้นเห็นกระบี่ของตนเริ่มแตกออกทีละชุ่นจากปลายกระบี่ ไม่สั้นไม่ยาว
เหมือนมีภูตผีล่องหนตัวหนึ่งกำลังกัดแทะทีละส่วน
ไม่ถึงครู่ กลับกลายเป็นว่าจิ่วซานปั้นถือแค่ด้ามกระบี่ในมือ
“นี่คือที่เจ้าบอกว่า ‘ข้าก็ไม่มีกระบี่ให้ใช้’?”
จิ่วซานปั้นถือด้ามกระบี่กล่าว
เขาเสียใจเล็กน้อย
เพราะกระบี่เล่มนี้เขาตีเองกับมือ
ต่อให้ไม่มีเหล้าดื่มอีกต่อไป เขาก็ไม่ยอมทิ้งกระบี่แลกเหล้าเด็ดขาด
“ข้าแพ้แล้ว”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางโยนด้ามกระบี่ลงพื้น
นึกไม่ถึง การกระทำนี้กลับทำให้เหลี่ยงเฟินดูแคลนถึงหมื่นส่วน
“เหตุใดผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งถึงทำกับกระบี่ของตนเองเช่นนี้ แม้ตอนนี้มันแตกหักทุกชุ่น แต่ก็เป็นสหายที่อยู่กับเจ้าทุกวันคืน! หมากของข้า แม้ถูกเจ้าฟันหักหมด แต่ทุกครั้งหลังต่อสู้ข้าจะต้องรวบรวมมันขึ้นมาทั้งหมดเพื่อนำกลับไปฝัง”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
“ฝังอะไร ฝังหมาก?”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถามด้วยสงสัย
“ใช่! ฝังหมาก! ข้าสร้างสุสานหมากล้อมแห่งหนึ่งไว้หลังบ้าน!”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
เป็นใครก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะอ่อนไหวเช่นนี้!
“ฮ่าๆๆๆ…”
“สุสานหมากล้อม…”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
จิ่วซานปั้นได้ยินแล้วหยุดหัวเราะไม่ได้
เหมือนได้ยินเรื่องโง่เง่าที่สุดในโลก
เขาหัวเราะจนหายใจไม่ทัน แล้วก็ไอต่อเนื่อง
น้ำตาเล็ดออกมาแล้ว!
เหลี่ยงเฟินสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่พูดสักคำ
“เดิมหมากของเจ้าก็ใช้ต่อสู้เพื่อเกียรติยศของเจ้า เจ้ากลับทำมารยาเช่นกิริยาของสตรีเช่นนี้! หากรู้แต่แรกว่าเจ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ข้าคงต้องใช้แรงเพิ่มอีกหน่อยและฟันหมากทั้งหมดของเจ้าให้แหลกเป็นผุยผง ให้เจ้าไม่เหลืออะไรให้เก็บถึงจะดี”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางไอไปด้วย
“กระบี่ของข้า ข้าเป็นคนตีกับมือ ข้าชอบมันมาก แต่ภารกิจของมันเสร็จสิ้นแล้ว สถานที่ที่มันถวายชีวิตจงรักภักดีก็คือสถานที่ฝังกระดูกของมัน เช่นนี้ต่างฝ่ายช่วยให้สมหวังไม่ใช่หรือ ความฮึกเหิมของกระบี่หัก ความคะนองในความพ่ายแพ้ของข้า!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
จากนั้นใช้เท้าลากดินออกมาเป็นร่องสายหนึ่ง เตะเศษแผ่นกระบี่หักพร้อมด้ามกระบี่ของตนเข้าไปด้วยกัน จากนั้นกลบด้วยดินอีกครั้ง
“จากการพูดของเจ้า ที่ข้าก็เป็นสุสานกระบี่แล้ว เพียงแต่ไม่อยู่หลังบ้านข้า และไม่อยู่หน้าบ้านข้า”
จิ่วซานปั้นกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“…ทางกลับคือทิศไหน”
จิ่วซานปั้นหมุนกายคิดจะจากไปอย่างผ่าเผย แต่ลืมไปว่าตนเป็นคนหลงทิศทาง…
ทำทีผึ่งผายสำเร็จ ขาดไปแค่นิดเดียว…
ยังดีหนังหน้าเขาหนาพอตัว เปิดปากถามอย่างไม่อ้อมค้อม
เหลี่ยงเฟินชี้ทิศทางให้เขาอย่างเฉยชา จากนั้นมองเงาหลังของจิ่วซานปั้นจากไป ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม
‘สถานที่ที่มันถวายชีวิตจงรักภักดีก็คือสถานที่ฝังกระดูกของมัน เช่นนี้ต่างฝ่ายช่วยให้สมหวังไม่ใช่หรือ ความฮึกเหิมของกระบี่หัก ความคะนองในความพ่ายแพ้ของข้า!’
คำพูดของจิ่วซานปั้นดังก้องอยู่ในใจเหลี่ยงเฟินไม่หยุด
ทุกคำล้วนเหมือนค้อนหนักหล่นบนหัวใจเขา
‘ข้าแพ้แล้วต่างหาก…’
เหลี่ยงเฟินคิดในใจ
หมากดำของเขามีคุณสมบัติพิเศษ โดดเด่นเรื่องความแข็ง
แต่กระบี่ของจิ่วซานปั้น เป็นแค่กระบี่เหล็กธรรมดาเล่มหนึ่ง
อย่างมากกรรมวิธีตีขึ้นรูปก็เหนือชั้นอยู่บ้างเท่านั้น
แต่กรรมวิธีเลิศล้ำเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนจุดด้อยของคุณภาพในตัวมันเองได้
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ ก็ต่อสู้ด้วยฝีมือทัดเทียมกับเขา
หากกระบี่ของจิ่วซานปั้นเปลี่ยนคุณสมบัติเป็นเหมือนกับหมากดำของตน เช่นนั้นกวางจะตายในมือใครยังไม่อาจรู้ได้
เหลี่ยงเฟินมองเศษหมากดำที่อยู่เต็มพื้น ออกจะทำอะไรไม่ถูก
แม้แอบรู้สึกจิ่วซานปั้นพูดมีเหตุผล แต่ความเคยชินหลายปีเช่นนี้ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ในชั่วขณะ
‘ข้าทำเรื่องของข้าเอง เรื่องนี้จะมีส่วนถูกผิดได้อย่างไร’
เหลี่ยงเฟินคิดในใจ
เขายอบกายลงไปเก็บกวาดเศษชิ้นส่วนอย่างเบิกบาน
‘พรุ่งนี้ต้องบอกพวกนั้น ต่อไปอย่าหาเรื่องจิ่วซานปั้นอีก!’
ผ่านศึกครั้งนี้ไป เหลี่ยงเฟินเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจิ่วซานปั้นเล็กน้อย
เขาพบว่าคนผู้นี้ไม่ได้ป่าเถื่อนหยาบคายหรือไร้มารยาท แต่จริงใจชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
แม้การกระทำความคิดล้วนประหลาดนัก ทว่าซื่อตรงและน่าเอ็นดูไม่น้อย!
………………
“จะให้ข้าพูดอย่างไรล่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งทึ้งผมตัวเอง เท้าคางจ้องจอกสุราบนโต๊ะด้วยความหดหู่หมื่นส่วน
“พูดตามจริง! คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น! ระหว่างเจ้ากับข้ายังต้องเกรงใจอีกหรือ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“ไม่รู้สิ”
หลิวรุ่ยอิ่งใช้เวลาคิดหนึ่งก้านธูปโดยประมาณ กลับพูดออกมาแค่สามคำ
“ไม่รู้สิ?”
เซียวจิ่นข่านนึกว่าตนฟังผิด
“เหตุใดถึงไม่รู้ สามคำนี้คืออะไร”
เขานึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งตอบโดยแฝงความนัยบางอย่างให้ตน จึงเค้นถามอีกครั้ง
“ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ไม่ก็คือไม่ รู้ก็คือทราบ รู้ก็คือเข้าใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“เดิมการดื่มสุราก็เป็นเรื่องสง่าผ่าเผยอันดับหนึ่งในใต้หล้า เจ้ากลับเอาแต่ซักไซ้ข้าว่าสุรานี้เป็นอย่างไร นี่ต่างอะไรกับการตรวจสอบฝึกอบรม ตอนแรกยังรู้สึกเลิศรสหวานกลมกล่อม คงกลิ่นหอมในฟันและริมฝีปาก พอเจ้าถามก็จืดชืดไร้รสชาติเสียอย่างนั้น!”
หลิวรุ่ยอิ่งเบ้ปากกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าสุราทุกจอกมีแค่ดื่มเข้าปากกลืนลงท้องแล้วถึงจะมีความหมาย
ไม่เหมือนการเขียนบทประพันธ์
ทุกอักษรในบทประพันธ์มีความหมายที่พวกมันสื่อในตัวเองอยู่แล้ว สิ่งที่คนเขียนบทประพันธ์ต้องทำก็แค่รวบรวมจัดเรียง
แต่คุณค่าของสุราทุกจอกเจ้าต้องเป็นคนมอบให้เอง
ข้อบังคับและกฎเกณฑ์ควบคุมที่เขียนออกมาเหล่านั้นสำคัญมากก็จริง
แต่ใครบอกได้บ้างว่าสิ่งที่ไม่ได้เขียนไม่สำคัญ
สิ่งที่เขียนคือข้อจำกัด สิ่งที่ไม่ได้เขียนคือความงดงาม
รักษาข้อจำกัดไว้ ถึงจะมีคุณสมบัติไปแสวงหาความงดงาม
“ข้าคิดมากเกินไปเอง…”
เซียวจิ่นข่านครุ่นคิดกล่าว
เขาหยิบไห ‘สูตรลับหมื่นสกุล’ ที่ว่าของตนออกมาอย่างเบิกบานใจเพราะอยากได้ยินคำชมของหลิวรุ่ยอิ่งสักสองสามประโยค
หากเป็นเมื่อก่อนตอนทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดเวลายังพอว่า
แต่จากกันมานานเพียงนี้แล้ว คำชมยิ่งสำคัญกว่าเดิม
แทนที่จะบอกว่าเซียวจิ่นข่านอยากได้คำชมของหลิวรุ่ยอิ่ง ยังไม่สู้บอกว่าเขาอยากได้การยอมรับจากกรมสอบสวน
อย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งก็อยู่ในสังกัดกรมสอบสวน
ในใจของเขา หลิวรุ่ยอิ่งเป็นสหายรักก็จริง แต่เขาก็เป็นนายกองกรมสอบสวนเหมือนกัน
แท่งหนามในตอนนั้นไม่ได้เรียบนิ่งดังตาเห็น ความจริงมันหลบซ่อนอยู่ในหัวใจตลอดเวลา
ขอแค่เต้นเร็วนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บปวด
ดังนั้นการปรากฏตัวของหลิวรุ่ยอิ่งทำให้เขาทั้งดีใจและปวดใจ
ทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้ ไหนเลยจะไม่ใช่สิ่งที่ตนเคยพยายามไขว่คว้า
ไม่เจอกันสามวันก็แปลกหูแปลกตาแล้ว
นับประสาอะไรกับเขาที่ไม่เจอหลิวรุ่ยอิ่งหลายปี
เซียวจิ่นข่านไม่รู้ว่าหลายปีนี้หลิวรุ่ยอิ่งพบเจอสิ่งใดมาบ้าง
เขายิ่งไม่รู้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งพบเจอสิ่งใดที่อาณาจักรติ้งซีอ๋องในระยะเวลาสั้นๆ นี้
เซียวจิ่นข่านเพียงฟังออกถึงความขมขื่นและความสับสนจากคำพูดของเขา
“เจ้าจะทำอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเซียวจิ่นข่านลุกขึ้นจึงออกปากถาม
“หยิบเหล้าน่ะสิ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฝืนยิ้มส่ายหน้า กล่าวว่า
“ข้าไม่ได้ดื่มเก่งเหมือนเจ้า…หากดื่มต่อไปอีก เกรงว่าต้องเมาตายที่นี่แล้ว”
“นั่นดีเลย ด้านข้างมีจุดฮวงจุ้ยดียิ่งแห่งหนึ่ง ข้าเลือกที่ดีให้ตัวเองส่วนหนึ่งแล้ว หากเจ้าตายก็เข้านอนในนั้นเถิด ถือว่าข้าให้เจ้า เป็นไมตรีจากเจ้าบ้านชั่วคราว!”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางกอดไหเหล้าอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ถามเขาว่าเหตุใดถึงมาหอทรงปัญญา
และไม่ได้ถามเขาว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่หอทรงปัญญา
ยิ่งไม่ได้ถามอะไรเขาเกี่ยวกับความลับของหอทรงปัญญา
มิตรภาพที่เคารพซึ่งกันและกันก็เป็นเช่นนี้ ไม่เอาผลประโยชน์มาปะปนแม้แต่น้อย
ขอแค่หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยปากถาม เช่นนั้นความรู้สึกระหว่างเขากับเซียวจิ่วข่านก็เปลี่ยนไปแล้ว
เขาใส่ใจเพื่อนคนนี้มาก อาจเพราะเขาไม่มีเพื่อนที่ไหน
แต่ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเซียวจิ่นข่านสั้นเกินไป…สั้นจนคิดไปคิดมาก็มีแค่ไม่กี่เรื่องที่หวนนึกถึงได้ ยังไม่สนุกเท่าเจอเรื่องต่างๆ กับทังจงซงด้วยซ้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นไหนี้เล็กกว่าไหก่อนสักสองสามรอบได้ หน้าตาก็ประณีตมากเช่นกัน
“พูดถึงราคา อันนี้แพงหูฉี่!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งโบกมือหย็อยๆ สื่อว่าเขาไม่อยากเปิดผนึกดิน
ขณะเดียวกันในใจทั้งโมโหทั้งขบขัน
มีเพื่อนที่ไหนอยากส่งสถานที่ฝังศพให้คนเอาดื้อๆ
ต่อให้คนอื่นตรงไปตรงมาเพียงใดก็พูดว่า ‘ส่งนาฬิกา[2]’ มีวิธีการเช่นนี้เสียที่ไหน
ฮวงจุ้ยดีแค่ไหนหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่อยากได้
“ฮวงจุ้ยดียิ่ง? จะดีขนาดไหนกัน…”
หลิวรุ่ยอิ่งยู่ปากกล่าว
ดื่มสุราเยอะแล้วก็ไม่สบายกระเพาะอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มชาไปอึกหนึ่ง แต่ยังคงไม่แผ่วลง
เซียวจิ่นข่านเห็นสภาพการณ์ จึงโยนผลไม้แห้งให้เขาสองสามชิ้น
หลิวรุ่ยอิ่งกัดแล้วเปรี้ยวๆ หวานๆ น้ำลายแตกเต็มปาก จึงกินที่เหลือคำเดียวหมด
“มีอีกหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ดื่มสุราเท่าไรให้ผลไม้แห้งเท่านั้น สุราที่เจ้าดื่มได้แค่นี้”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นบนโต๊ะตรงหน้าเขามีหนึ่งกองเล็กๆ กำลังโยนเข้าในปากทีละชิ้นทีละคำ
“เจ้ากับข้าดื่มไหเดียวกัน เจ้าเอาอะไรมามีเยอะเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอย่างขุ่นเคือง
“เพราะนี่เป็นบ้านข้า”
เซียวจิ่นข่านกลืนผลไม้แห้งชิ้นหนึ่งแล้วกล่าว
“เก้าอี้ใต้ก้นเจ้า จอกเหล้าที่ใช้ สุราที่ดื่มล้วนเป็นของข้า แม้แต่ผลไม้แห้งนี้ก็เป็นของข้าทั้งหมด!”
เซียวจิ่นข่านกล่าวพลางหยิบผลไม้แห้งชิ้นหนึ่งส่ายตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง เหมือนอวดโอ้
แต่ยังไม่รอเขาโยนใส่ปาก ด้านนอกกลับมีแสงไฟผืนหนึ่งลุกไหม้ และยังมีเสียงตะโกนเร่งร้อนทอดมาเป็นระยะ…
……………………………………….
[1] สวมชุดงามเดินยามค่ำคืน หมายถึงมีดีมากมายแต่ไม่แสดงให้คนอื่นเห็น
[2] ส่งนาฬิกา ในภาษาจีนเสียงพ้องกับความหมายของคำว่าดูใจก่อนตาย เคารพศพครั้งสุดท้ายหรือส่งสู่สุคติ