ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 85 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-1
บทที่ 85 ลับฝีมือย่อมนองเลือด-1
“ฟ้ามืดแล้ว”
ในบ้าน ตี๋เหว่ยไท่ยืนขึ้นเตรียมส่งแขก
“เหลี่ยงเฟิน เจ้าจัดการหน่อย ให้เจ้าหนุ่มผู้นี้กับแม่นางโอวพักผ่อนอยู่ที่นี่ชั่วคราววันหนึ่ง เรื่องของวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ค่อยหารือกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
เขาเรียกเหลี่ยงเฟินเข้ามากำชับ
“คืนนี้หมิงหมิงก็อยู่กับข้าที่นี่แล้วกัน มีเรื่องอยากพูดกับเจ้าอีกสักหน่อย”
ชัดทีเดียว ตี๋เหว่ยไท่ให้ความสำคัญกับลู่หมิงหมิงลูกศิษย์คนนี้มาก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ถึงทำให้ศิษย์อาจารย์สองคนที่เห็นใจและให้ความสำคัญต่อกันแยกออกจากกันเสียอย่างนั้น
“หลิวรุ่ยอิ่งล่ะ”
จิ่วซานปั้นถาม
“นายกองหลิวได้พบสหายเก่าที่จากไปนาน ย่อมมีเรื่องถูกอัธยาศัยต้องพูดนับไม่ถ้วน พวกเราอย่าไปรบกวนดีกว่า”
ตี๋เหว่ยไท่ยิ้มกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อทำความเคารพบอกลาตี๋เหว่ยไท่ ดึงแขนเสื้อของจิ่วซานปั้นเบาๆ สื่อให้เขาทำแบบเดียวกัน
เหลี่ยงเฟินโค้งตัวรับคำแล้วก็พาโอวเสี่ยวเอ๋อกับจิ่วซานปั้นเดินออกจากลานบ้านเล็กแห่งนี้
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นรอบด้านมืดเงียบ กระทั่งแสงไฟน้อยนิดยังมองไม่เห็น
บริเวณโดยรอบเงียบสงัด ไม่มีแมลงส่งเสียงนกร้องแต่อย่างใด
ความมืดของที่นี่สมบูรณ์แบบยิ่ง
ต้องทราบว่าไม่ใช่ความมืดทุกแห่งจะสมบูรณ์แบบได้เช่นนี้
มักจะมีจุดด่างพร้อยเล็กๆ มาทำลายความลึกล้ำถึงขีดสุดนี้เสมอ
“ที่นี่มีแค่ท่านประมุขหออยู่ในนี้คนเดียวหรือ”
นางเอ่ยถาม
“เปล่า มีคนอื่นอยู่ด้วย เพียงแต่คนที่อยู่ที่นี่ต่างรักษากฎธรรมชาติยิ่ง ดวงอาทิตย์ขึ้นทำงาน ดวงอาทิตย์ตกพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียง ย่อมไม่มีแสงไฟเช่นกัน”
เหลี่ยงเฟินกล่าวอธิบาย
ขณะเดียวกันก็กำชับให้ทั้งสองตามตนติดๆ และระวังทางเดิน
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกับจิ่วซานปั้นกลับไม่รู้สึกว่าที่นี่เป็นธรรมชาติเลยสักนิด
เพราะธรรมชาติไม่มีทางจงใจสมบูรณ์แบบเช่นนี้
ธรรมชาติต้องไม่สม่ำเสมอถึงจะถูก
แม้รอบด้านมืดมัวไปหมด แต่เหลี่ยงเฟินยังคงเดินทะลุรวดเร็ว ข้ามคูน้ำข้ามคันดิน ไม่เอ่ยคำใดอีก
ขนาดฝีมืออย่างโอวเสี่ยวเอ๋อกับจิ่วซานปั้น ตอนที่สายตาไร้ประโยชน์ก็เปลืองแรงอยู่บ้างเหมือนกัน จนปัญญาได้แต่เคลื่อนปราณมาด้านนอก ผสานกับจิตเล็กน้อยเพื่อช่วยคลำทาง
“แม่นางโอว เชิญท่านพักอยู่ที่นี่เถิด”
เหลี่ยงเฟินหยุดลงแล้วกล่าวกะทันหัน
แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกลับไม่เห็นว่ามีตรงไหนที่อยู่ได้
เพียงเห็นเหลี่ยงเฟินลูบตรงช่วงเอว พอเห็นได้รางๆ ว่าปลายนิ้วเขาหนีบของบางอย่างไว้
‘ตึง! ตึง! ตึง!’ สองสามครั้ง
พุ่งออกมาตามการสะบัดข้อมือของเหลี่ยงเฟินทั้งหมด
ทุกจุดที่มีเสียงดังแสงไฟก็จะสว่างขึ้น
เสียงแรก เป็นตะเกียงแขวนดวงหนึ่งตรงประตูลานบ้าน
เสียงที่สอง เป็นตะเกียงตั้งพื้นดวงหนึ่งในทางเล็กกลางสวน
เสียงที่สาม เป็นตะเกียงหน้าต่างดวงหนึ่งตรงทางเข้าบ้านพัก
บ้านคนพร้อมลานบ้านเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนที่พักของตี๋เหว่ยไท่ถูกร่างเค้าโครงออกมาแล้ว
โอวเสี่ยวเอ๋อหันไปพยักหน้าให้เหลี่ยงเฟินเล็กน้อยเพื่อขอบคุณ จากนั้นพูดกับจิ่วซานปั้นเบาๆ ประโยคหนึ่ง “ดื่มเหล้าให้มันน้อยๆ หน่อย อย่าก่อเรื่อง!”
“ข้าเปล่านะ…ข้าว่าง่ายที่สุดแล้ว ไม่เข้าใจก็ถาม!”
จิ่วซานปั้นยักไหล่กล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
แต่กลับโดนโอวเสี่ยวเอ๋อกลอกตาใส่
จำต้องพูด
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อพบกับอาหวงและฉางอี้ซานแค่สองครั้ง แต่ความสามารถในการกลอกตานี้พัฒนารวดเร็วผิดปกติจริงๆ
“ที่เจ้าทำเมื่อครู่คือวิทยายุทธ์อะไรหรือ มหัศจรรย์นัก! สะบัดมือไม่กี่ครั้งตะเกียงก็สว่างแล้ว!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“รู้สึกสนใจ?”
เหลี่ยงเฟินถาม
คิ้วเขาพลันเลิกขึ้น ในใจมีแผนการหนึ่งทันใด
“ใช่แล้ว ทำได้อย่างไร!”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางพยักหน้าต่อเนื่อง
“ข้าอยากสอนเจ้าอยู่หรอก…แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาเรียนรู้ได้”
เหลี่ยงเฟินขมวดคิ้ว จงใจกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าไม่ใช่คนธรรมดา ข้ามีฝีมือยิ่ง!”
จิ่วซานปั้นได้ยินแล้วไม่ยอมแพ้ทันที กล่าวพลางตบหน้าอก
“มีฝีมือด้านคอแข็ง?”
เหลี่ยงเฟินกล่าวเจือแววเหยียดหยาม
“เรื่องดื่มเหล้าย่อมมีฝีมืออยู่แล้ว อย่างอื่นก็มีฝีมือเหมือนกัน! เจ้าลองพูดเงื่อนไขให้ข้าฟังก่อน รับรองว่าทำได้ทั้งหมด!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ไม่รีบร้อน ข้าไปส่งเจ้าถึงที่พักก่อน หากเจ้าอยากเรียนด้วยใจจริง รอข้ารายงานเรื่องให้ท่านประมุขหอทราบแล้วจะมาหาเจ้า”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
“คำไหนคำนั้น!”
จิ่วซานปั้นยื่นนิ้วก้อยมือขวาออกมา จะเกี่ยวก้อยกับเหลี่ยงเฟิน
“ได้ คำไหนคำนั้น!”
เหลี่ยงเฟินชะงักเล็กน้อย จากนั้นเกี่ยวก้อยสัญญากับเขา
“ใครผิดสัญญาคนนั้นเป็นคนเลว!”
จิ่วซานปั้นเหมือนยังไม่วางใจ กล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่ง
“ตกลง ไม่ใช่แค่คนเลวธรรมดา ต้องเป็นคนเลวที่ไม่มีก้นด้วย!”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
เขาพาจิ่วซานปั้นเดินจนถึงหน้าที่พัก เหมือนจงใจอวดโอ้ เขาใช้วิธีพลิกแพลงยิ่งกว่าเดิม สะบัดติดกันห้าครั้ง จุดตะเกียงได้มากกว่าที่พักของโอวเสี่ยวเอ๋อสองดวง
คราวนี้ ทำให้จิ่วซานปั้นอดใจไม่ไหวกว่าเดิม!
เหลี่ยงเฟินรู้สึกถึงสายตาตะลึงและอิจฉาที่ส่งมาข้างหลัง ยิ้มด้วยความภูมิใจ
ตั้งแต่ข้ามแม่น้ำไหลสี่ฤดู เขาก็ไม่พอใจจิ่วซานปั้นยิ่งนัก…
แม้เขาห้ามการยั่วยุของฮวาลิ่วเอาไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความเห็น
เมื่อครู่จิ่วซานปั้นก็โต้เถียงกับประมุขหออย่างไร้มารยาท ทั้งยังอยากดื่มเหล้าอย่างไร้ยางอาย คราวนี้ทำให้เหลี่ยงเฟินระงับความโกรธไม่ได้อีกต่อไป ต้องหาโอกาสลงโทษเขาสักหนให้ได้
วิธีที่เขาจุดตะเกียงเมื่อครู่ก็เป็นแค่การซ่อนอุปกรณ์ทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้ลึกล้ำอะไรมากเลย
แต่เหลี่ยงเฟินและห้าพี่น้องนี้ล้วนเชี่ยวชาญในศิลปะการเล่นหมากล้อม ถือหมากสั่งสมประสบการณ์เรื่อยมาทุกวันไม่ต่ำกว่าล้านครั้ง
หากพูดถึงประสาทสัมผัสบนปลายนิ้วและการควบคุมแรงข้อมือ เรียกได้ว่าข้ามสู่ระดับสุดยอดแล้ว
………………
อีกด้านหนึ่ง ในบ้านของเซียวจิ่นข่านจุดตะเกียงแล้ว
“ไม่เคยมีคนมานานแล้ว ข้าโยนของเกะกะไปหมด เจ้าย้ายหาที่ว่างเอาเองได้เลย”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
จากนั้นเดินเข้าในห้อง หยิบสุราออกมาจากใต้เตียงไหหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแล้วกำลังคิดไปช่วย แต่นึกถึงคำพูดของเซียวจิ่นข่านก่อนหน้านี้ จึงหยุดเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“มาๆๆ ไหสุรานี้เป็นของสะสมของข้าเชียว ข้าเรียกมันว่าสูตรลับหมื่นสกุล!”
เซียวจิ่นข่านกลับเข้าในบ้านก็ไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้ว
เขาจำลักษณะพื้นที่ข้างในนี้ได้ขึ้นใจนานแล้ว ตรงไหนมีโต๊ะเก้าอี้ ตรงไหนคือขอบประตู ล้วนเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว
หลิ่วรุ่ยอิ่งมองไหธรรมดาทั่วไปที่เขาถืออยู่ในมือ ไม่แน่ใจว่าไหสุรานี้มีดีตรงไหนกันแน่
หนำซ้ำสีของผนึกดินก็ใหม่มาก ไม่ถึงขั้นเป็นสุราเก่าอะไร
“ไม่ถูกใจใช่หรือไม่”
จิตใจของเซียวจิ่นข่านเหมือนรู้เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง
ไม่เพียงเห็นสิ่งที่ตาเนื้อมองเห็นได้ กระทั่งสิ่งที่คิดอยู่ในใจก็สามารถรับรู้ได้ถึงเจ็ดแปดส่วน
“คนไม่ดื่มสุราต่างรู้ว่าสุราดีมีสองมาตรฐาน”
หลิวรุ่ยอิ่งลูบไหกล่าว
“หนึ่งคือสุราหมัก สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของส่าเหล้า และส่าเหล้ายังขึ้นอยู่กับใช้ธัญญาหารประเภทไหนจากที่ใด น้ำจากแห่งหนใด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอากาศตอนหมักด้วย ด้วยปัจจัยหลายหลากจึงสามารถหมักสุราดีออกมาได้อย่างพอดี”
เซียวจิ่นข่านกล่าวต่อบทสนทนา
“สองคือการจัดเก็บ ห้องเก็บสุราขุดกว้างแค่ไหนลึกเพียงใด อุณหภูมิความชื้นเท่าไร ล้วนมีความพิถีพิถันชัดเจน นอกจากนั้น ไหเก็บสุรานี้ใช้กระเบื้องจากที่ไหน ทาน้ำมันชักเงาด้านนอกหรือเคลือบเงาติดผิว ผนึกดินที่ใช้เป็นดินเหลืองหรือดินดำ ผ้าที่ห่อดินเป็นไหมหรือต่วน สีที่ใช้เป็นขาวแสงจันทร์หรือแดงวสันต์สุข ล้วนทำให้รสชาติสุราเปลี่ยนสภาพได้มาก”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เพิ่งสิ้นเสียง เซียวจิ่นข่านก็กล่าวพลางหัวเราะครืนใหญ่
“นึกไม่ถึง หลิวรุ่ยอิ่งผู้ไม่เคยใส่เหล้าเข้าปาก ตอนนี้นับเป็นนักดื่มครึ่งหนึ่งแล้ว”
“อยู่ใกล้ชิดกับหนอนสุราอย่างเจ้าตลอดเวลามานานขนาดนั้น ดื่มเหล้าไม่เป็นก็มีกลิ่นเหล้าติดทั้งตัว แทนที่จะให้คนอื่นเอาเรื่องที่ข้าไม่เคยทำมาตำหนิข้า ยังไม่สู้ไปทำให้สุดเสียเลย อย่างน้อยก็ไม่ละอายใจต่อข้อกล่าวหานี้”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เซียวจิ่นข่านยุ่งอยู่กับบางอย่าง หลิวรุ่ยอิ่งช่วยเปิดผนึกดิน ตัวเขากลับหันไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งวางรองใต้จอกสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภาพนี้ ไม่รู้นึกถึงอะไร อารมณ์บนหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่ง
ตอนนั้น ทั้งสองคนอยู่ห้องเดียวกัน
เซียวจิ่นข่านชอบดื่มสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งชอบอ่านหนังสือ
ทั้งสองคนหนึ่งขี้เมา คนหนึ่งหนอนหนังสือ แม้ดูเหมือนไม่เข้ากัน แต่ที่จริงล้วนเป็นคนแปลก
หลิวรุ่ยอิ่งอ่านหนังสือก็ใช่ว่าตั้งใจหาความรู้จริง แค่เอาไว้หาเรื่องทะเลาะกับคนเท่านั้น
เซียวจิ่นข่านดื่มเหล้าก็ใช่ว่าติดเหล้าจริง แค่อยากทำท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งใด
ดังนั้นทั้งสองคนหนึ่งแกล้งอ่านคนหนึ่งแกล้งดื่ม แต่ก็เข้าขากันได้โดยแท้!
มีครั้งหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งบอกเซียวจิ่นข่านว่า ‘เจ้าดื่มสุรามากเกินไปแล้ว…เนื้อกับสุรานี้ผ่านลำไส้จนกวาดพรสวรรค์ความสามารถของเจ้าหมดเกลี้ยง’
เซียวจิ่นข่านได้ยินแล้วตกใจมาก ถึงขั้นรีบถามหลิวรุ่ยอิ่งว่าควรแก้ไขอย่างไร
ความจริงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสียที่ไหน
หลิวรุ่ยอิ่งแค่อยากหาโอกาสหยอกเขาเท่านั้น…
หากเอ่ยขึ้นมา หลิวรุ่ยอิ่งในตอนนั้นมีนิสัยอย่างเด็กหนุ่ม จะซุกซนกว่าตอนนี้แค่หมื่นส่วนได้อย่างไร
สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือการพูดไร้สาระอย่างเอาจริงเอาจัง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ตอบเขาทันที กลับบอกว่าตนยังต้องพลิกอ่านอีกหนถึงจะรู้ว่าแก้ไขอย่างไร
คราวนี้ทำให้เซียวจิ่นข่านเชื่อกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งแต่ค่ำวันนั้น เขาถึงขั้นไม่แตะจอกสุราสามวันติด
หลิวรุ่ยอิ่งจนปัญญา ถูกเขาเร่งเร้าไม่หยุดจึงได้แต่แต่งเรื่องหนึ่งมาบอกเขา ‘ตรงสันของหนังสือบางเล่มจะมีแมลงตัวเล็กชนิดหนึ่งชื่อว่ามอด หากจับมันได้แล้วตากแห้งบดเป็นผงเสร็จค่อยชงดื่มเข้าไป ก็จะชดเชยสิ่งที่หายไปเหล่านั้นกลับมาได้ทั้งหมด หากโชคดีละก็ ถึงขั้นพัฒนาความเฉลียวฉลาดได้มากอีกด้วย ทำให้คนอื่นตามไม่ทัน!’
เดิมเป็นแค่คำพูดไร้สาระที่ผุดขึ้นมาชั่วคราว เซียวจิ่นข่านกลับเชื่อจริงจังแล้ว…
คนที่ไม่เคยไปหอคัมภีร์คนหนึ่งกลับต้องอยู่ในนั้นวันละหลายชั่วยามโดยไม่ยอมหยุดพัก
ชั่วขณะหนึ่งทั้งกรมสอบสวนต่างพากันวิจารณ์ ไม่รู้เขาเป็นบ้าอะไรถึงเปลี่ยนนิสัยในชั่วข้ามคืน
นึกไม่ถึงเจ้าเซียวจิ่นข่านนี่กลับทำลายข้าวของอยู่ในหอคัมภีร์อย่างเหิมเกริม…ไม่รู้ฉีกหนังสือไปกี่เล่มเพื่อหา ‘มอด’ ตัวนั้น
ความจริงแป้งเปียกที่เข้าเล่มหนังสือล้วนผสมขึ้นเป็นพิเศษ ในนั้นลงยาไว้ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันแมลงกัดกิน
แม้ไม่อาจบอกว่าป้องกันได้สมบูรณ์ แต่อัตราการเกิดแมลงก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย…ไม่รู้ในหมื่นเล่มจะจับได้สักตัวหรือเปล่า
ตอนถูกพบ เซียวจิ่นข่านฉีกไปกว่าร้อยเล่มแล้ว…
เคราะห์ดีที่ในนั้นไม่มีตำราโบราณล้ำค่าอะไร เขาจึงถูกตีแค่ยกหนึ่ง จากนั้นทำความสะอาดห้องน้ำเป็นเวลาสามเดือน
แม้หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะจนท้องแข็งไม่หยุด แต่คิดว่าอย่างไรเรื่องนี้ตนก็มีส่วนรับผิดชอบเหมือนกัน
จึงตัดสินใจซื้อสุราดีกาหนึ่งเลี้ยงให้เขาดื่มหลังทำความสะอาดห้องน้ำเสร็จทุกคืน เลี้ยงเช่นนี้ติดกันสามเดือน เซียวจิ่นข่านกลับยังไม่ยอมเลิกรา
เมื่อครู่เซียวจิ่นข่านหยิบหนังสือเล่มหนึ่งรองไว้ใต้จอกสุรา ก็เพื่อแอบสื่อถึงเรื่องสนุกระหว่างทั้งสองคนในตอนนั้น
“เฮ้อ…”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะเสร็จแล้วกลับถอนหายใจ
อดีตไม่อาจหวนคืน!
เรื่องในอดีตไม่อาจชดเชย…
เมืองหลวงยังคงตั้งอยู่ใจกลางใต้หล้า
ประตูของกรมสอบสวนยังคงเปิดสู่ทุกทิศทาง
เพียงแต่สถานที่ฝึกอบรมและหอพักที่พวกเขาเคยอยู่ตอนนั้นรกร้างไปหมดแล้ว…
ก่อนออกจากกรมสอบสวนครั้งนี้ หลิวรุ่ยอิ่งยังตั้งใจไปมองอยู่แวบหนึ่ง
ทางที่เคยกว้างขวางถูกหญ้ารกปกคลุมจนหมด
ขอบหน้าต่างเก่าผุพัง บิดๆ เบี้ยวๆ
ราวจับก็ถูกลมฝนกัดกร่อนจนสีตก
แม้รูปร่างเค้าโครงยังอยู่
แต่จากสภาพทรุดโทรมนี้ใครจะไปนึกออกว่าที่นี่เคยมีกลุ่มเด็กหนุ่มเลือดร้อนแบบไหนใช้ชีวิตและเติบโตอยู่ในนี้
หลิวรุ่ยอิ่งเปิดผนึกดินอย่างเงียบเชียบ รินให้เซียวจิ่นข่านจอกหนึ่ง ฝืนยิ้มร่ากล่าว “ให้ข้าลองชิมหน่อยว่าสูตรลับหมื่นสกุลของเจ้าพิเศษตรงไหน”
เซียวจิ่นข่านกดมือขวาของหลิวรุ่ยอิ่งที่ยกจอกขึ้นพลางกล่าว
“อารมณ์ขุ่นมัวดื่มไม่ได้รสชาติ”
“ดรุณอาจหาญ เมฆหิมะคู่ดอกชบา วีรบุรุษเก่งกล้า ผยองไม่ถ่อมตน เต๋าไร้ขอบเขต แสดงอภินิหาร เชือกยาวมัดมังกรคราม หยกล้ำค่า ตำหนักหอยเบี้ย วังอัญมณีสลัก กวัดแกว่งอาทิตย์ทรงกลด พิชิตพระเจ้า บุปผาร่วงโรยครึ่งจั้ง ทิ้งจอกจมกลางไห ดาวโคจรเหนือใต้ ห้อจากวสันต์สู่เหมันต์ ชักกระบี่วิพากษ์ผลงาน จันทร์เข้มไข่มุกแดง ลั่นระฆังอรุณรุ่ง
เจ็บปวดรวดร้าว เฝ้ารอสตรีขับร้อง มือค้ำกระบี่ยาว หลอมทองสำริด ใจไม่เหนื่อยล้า สี่อสุรากลัดกลุ้ม ผ้านุ่งเขียวมรกต กุมบังเหียนโดยพร้อมเพรียง ออกม้าสู่เจียงตง บุกบั่นทางยากเข็ญ ปกป้องเมืองหน้าด่าน สร้างคุณความดีพิเศษ วายุบงกช ตะวันสุขสันต์ ละโลกาสดับจิ้งหรีด ความอารีช่วงชิงผลงาน ใจไม่ห่างบรรพบุรุษ นภาโบกพู่กันหยก บรรเลงผีผา ยกยอวีรชน”
เซียวจิ่นข่านท่องคำประพันธ์บทหนึ่งที่พวกเขาชอบที่สุดในตอนนั้นขึ้นมา
ชั่วพริบตา เหมือนได้ย้อนกลับไปยามที่จิตใจฮึกเหิมตอนนั้นอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งท่องครึ่งหลังพร้อมกับเขา ความสะเทือนใจในอกหายไปหมดสิ้น
เมื่อเลือดร้อนเต็มที่ก็ตบผนึกดินออกด้วยหนึ่งฝ่ามือ
“สูตรลับหมื่นสกุลก็คือไหสุราที่ข้าตระเวนซื้อผสมจากทั่วทิศตะวันออกจรดตะวันตกในหลายปีนี้ ถึงจะยังไม่ได้เดินทางทั่วเขตอ๋องที่เจริญรุ่งเรือง แต่ก็เกือบแล้ว รวมเหล้าหมักเองของชาวบ้านในชนบทและของดีจากร้านเหล้าเก่าแก่ด้วย ก็สมกับคำว่า ‘หมื่นสกุล’ นี้แล้ว!”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึง ‘สูตรลับหมื่นสกุล’ ที่ว่านี้กลับเป็นเหล้าขอทาน
เหล้าขอทานที่ว่าก็คือยาจกขอทานทางซ้ายทีขวาที รวบรวมตั้งแต่ต้นปีจนปลายปี ไม่รู้เหล้าผสมปนเปกันกี่บ้านแล้ว
มาถึงเซียวจิ่นข่าน แม้มีระดับขึ้นไม่น้อย แต่คุณภาพก็เหมือนเดิม แค่เหล้าเก่าในขวดใหม่!
…………………………………………..