ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 347 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-1
บทที่ 347 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-1
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเห็นร่างเสี่ยวลี่ล้มตึงไปข้างหน้าพลันหยุดเสียงหัวเราะ
จากนั้นถอนหายใจต่อเนื่องหลายครั้ง
“ท่านอ๋อง เหตุใดเขาจึงนอนลงไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
สองคนนั้นเอ่ยถาม
“เขาเหนื่อยแล้วจึงอยากนอน”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
ทั้งสองคนพยักหน้า
สิบเอ็ดดาบเมื่อครู่ทั้งสิ้นเปลืองพลังงานและสติปัญญายิ่งนัก
ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา
ทว่าคำพูดต่อมาของเจิ้นเป่ยอ๋องกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจสุดขีด
“จงสร้างสุสานให้เขาตรงตำแหน่งที่เขานอนหลับ เพียงฝังลงดินไว้…ป้ายหน้าหลุมศพต้องใหญ่กว่านี้และสง่างามอีกหน่อย”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องพูดต่อทันที
“เขาตายแล้วหรือ”
ทั้งสองถามอย่างเหลือเชื่อ
ผู้ถวายงานสี่คนที่เหลือและผู้แบกเกี้ยวสิบคนก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้า
“เขาตายแล้ว”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
“ท่านอ๋อง ร่างกายของเขาไร้รอยบาดแผล…”
ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้หนึ่งกล่าวหลังจากตรวจสอบศพแล้ว
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
ครั้นผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นได้ยินพลันตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นประคองร่างของเสี่ยวลี่ขึ้นมาและเริ่มค้นหา
กระทั่งมองเห็นเข็มเงินบางเฉียบราวกับขนวัวในตำแหน่งที่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวมาดังคาด
เข็มเงินเล่มนี้ไม่ต่างอะไรกับเข็มที่หมอใช้ในยามทั่วไป
เพียงแต่ว่าเรียวยาวกว่าเล็กน้อย
“คุ้มกันท่านอ๋อง!”
ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นถือเข็มเงินและมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
คาดไม่ถึงว่าระหว่างที่เสี่ยวลี่วิ่งอยู่ภายใต้สายตาของฝูงชนจะถูกปลิดชีวิตเพียงเข็มเงินเรียวเล่มเดียว
การทำให้คนผู้หนึ่งตายมักเพื่อปกปิดบางสิ่ง
รู้มากเท่าใด ตราบใดที่สิ้นลมก็ไร้ประโยชน์
“ไม่จำเป็น…คนจากไปนานแล้ว!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยกมือขึ้นพลางกล่าว
“หรือว่าท่านอ๋องจะมองเห็นมาก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”
ผู้ถวายงานวังอ๋องผู้นั้นเอ่ยถาม
“มองเห็นสิ่งใดหรือ”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเงยหน้าขึ้นกล่าวถาม
“มองเห็นผู้ที่ลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ถวายงานวังอ๋องกล่าว
เดิมทีคิดว่าสองคนที่ถือโคมอยู่หัวสะพานคือมือสังหารเสียอีก
คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวลี่จะเป็นหนอนบ่อนไส้และทรยศ
ทว่าตอนนี้หนอนบ่อนไส้ผู้นี้ถูกมือสังหารตัวจริงสังหารแล้ว
เจิ้นเป่ยอ๋องครุ่นคิดเรื่องนี้อีกหนหนึ่งจึงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าทั้งๆ ที่ผู้ที่ตายควรเป็นตนเองจึงจะถูก
หากคนเหล่านี้ต้องการเพียงเงิน
เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ลองหาบ่อนพนันหรือโรงแลกเงินขนาดใหญ่สักแห่งเล่า
เงินในสถานที่เหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจมีมากกว่าสี่ล้านตำลึงด้วยซ้ำ
อีกทั้งคุณสมบัติก็ต่างกันด้วย
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่รู้ชัดถึงจุดประสงค์แท้จริงของอีกฝ่าย
แต่เขารู้ว่าวิธีการของอีกฝ่ายนั้นสูงยิ่งนัก
แม้แต่เสี่ยวลี่ที่ติดตามเขามานานหลายปียังถูกยุยงให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาคอยรับใช้ได้
ยอดฝีมือชำนาญอาวุธลับนั้นก็อย่าได้เสียเวลาเอ่ยถึง
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องนั่งอยู่บนขั้นบันไดสะพานหินอยู่พักหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเกี้ยวของตน
“กลับกันเถิด จำไว้ว่าเสี่ยวลี่เคราะห์ร้ายถึงชีวิตขณะพยายามคุ้มกัน…ช่างเป็นผู้จงรักภักดีจริงๆ!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าวเช่นนี้ขณะนั่งบนเกี้ยว
ครั้นคนภายนอกได้ยินเช่นนี้จึงพากันพยักหน้า
แม้ว่าคำพูดนี้จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงโดยสิ้นเชิง
แต่บางครั้งการปิดบังความจริงก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่งเช่นกัน
ไม่เพียงแต่ปกป้องราษฎรในเมืองอ๋อง ทั้งยังปกป้องเกียรติของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องอีกด้วย
เขาเคยคิดมานานแล้วว่าอาจเป็นสิ่งที่ชาวทุ่งหญ้ากระทำหรือไม่
เนื่องจากเบี้ยหวัดของทัพชายแดนถูกปล้นชิง ผู้รับผลประโยชน์รายแรกย่อมเป็นราชสำนักทุ่งหญ้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของอาณาจักรอ๋อง
แต่ความคิดนี้ของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องในตอนนี้เริ่มไขว้เขวเล็กน้อย…
แม้ชาวทุ่งหญ้าจะแข็งแกร่งดุดัน
แต่ไม่มีทางฉลาดเฉียบแหลมวางกลยุทธ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพียงนี้ได้แน่นอน
แม้ว่าจะถูกชาวทุ่งหญ้าปล้นชิงไปจริงๆ ก็ตามที
ชาวทุ่งหญ้าที่อยู่ลึกเข้าไปในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องกลุ่มนี้ จะต้องถูกผู้คนคิดว่าเป็นผู้ปล้นชิงเป็นแน่
เมื่อกลับถึงวังอ๋อง
สิ่งแรกที่ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องทำคือการประกาศยกเลิกคำสั่งทำความสะอาดถนน
ทำให้ทั้งเมืองอ๋องกลับคืนสู่ความคึกคักผู้คนขวักไขว่ไปมาในพริบตา
สิ่งที่สองย่อมเป็นการประกาศการเสียชีวิตของเสี่ยวลี่
ทว่านี่กลับทำให้ทั่วทั้งเมืองอ๋องปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเศร้าหมอง…
หลังจากทำสองสิ่งนี้เสร็จสิ้น เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
เรื่องที่ครุ่นคิดในวันนี้มากกว่าที่สะสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเสียอีก
ไม่แปลกที่เขาจะไม่ชินกับมัน
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องนั่งบนบัลลังก์ในพระตำหนักวังอ๋องของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นเตรียมจะไปพระตำหนักหลัง
ในตอนนี้เอง คนผู้หนึ่งก้าวฉับๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง!”
คนผู้นี้เห็นซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเพิ่งลุกขึ้นจึงรีบค้อมกายคำนับแล้วกล่าว
พระตำหนักแห่งนี้สร้างในร่มเงา
แม้ว่าแสงแดดในยามนี้จะเจิดจ้า แต่หาได้สาดส่องเข้ามา
ในพระตำหนักไม่มีตะเกียงสักดวง
ด้วยเหตุนี้ โครงหน้าของคนผู้นี้จึงมองเห็นไม่ชัดเจนอยู่บ้าง
ทว่าผู้ที่สามารถเข้าออกพระตำหนักวังอ๋องได้อย่างอิสระล้วนเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องอย่างยิ่ง
จากน้ำเสียงและฝีเท้าของอีกฝ่าย เขาสามารถรับรู้และบอกได้ว่าเป็นผู้ใด
ไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้าชัดเจน
“ซุนเต๋ออวี่ เจ้ากลับมาเร็วเพียงนี้เลยหรือ”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
ผู้มาเยือนหาใช่ผู้อื่น
ซุนเต๋ออวี่หนึ่งในสามผู้ถวายงานที่เขาส่งไปตรวจสอบเบี้ยหวัดที่หายไปนั่นเอง
“ทูลท่านอ๋อง เพิ่งถึงเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าวด้วยความเคารพ
“นั่งลงพูดคุยเถิด…”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องกล่าว
น้ำเสียงของเขาเอือมระอาอย่างยิ่ง
เพราะเขาไม่อยากได้ยินซุนเต๋ออวี่พูดสักคำด้วยซ้ำ
แต่กระทำการใดย่อมต้องมีมารยาท
จะฟังเข้าหูหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะฟังหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากตอนนี้เขายังมีท่าทีเกียจคร้านอยู่ก็จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานหนักทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเหล่านี้ผิดหวัง
ฉะนั้นเขาจำต้องฟัง
แม้ว่าจะฟังไม่เข้าหูก็ต้องฝืนนั่งตัวตรงบนบัลลังก์และรอจนอีกฝ่ายพูดจบ
ท่ามกลางผู้ถวายงานของวังอ๋อง เขาไม่ชอบซุนเต๋ออวี่ที่สุด
ไม่ได้เป็นเพราะคนผู้นี้ไม่ดี
แต่เป็นเพราะคำพูดของเขาทำให้คนฟังรู้สึกเบื่อหน่าย…
เพื่อให้ประโยคชัดเจนล้วนพูดวกไปวนมาสามสี่หน
ในตอนแรก ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยังมีใจคิดแก้ไขปรับปรุงเขา
กระทั่งชิงเอ่ยถามก่อนตอนที่เขากำลังพูดคุย หมายจะเร่งความคืบหน้า
คิดไม่ถึงว่าคำถามนี้จะทำให้อีกฝ่ายระมัดระวังในรายละเอียดมากขึ้น
เหลือเพียงบอกว่าตนกินสิ่งใดในสามมื้ออาหารเมื่อออกไปอยู่ข้างนอกมาหลายวัน
แต่ระดับพลังวิถียุทธ์และความสามารถจัดการธุระของซุนเต๋ออวี่กลับเป็นผู้ที่เก่งกาจอย่างยิ่ง
เมื่อพบเจอเรื่องใหญ่ใดๆ จำต้องให้เขาจัดการ
ครั้นคิดหน้าคิดหลังแล้วจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น…ไร้ทางเลือกอื่น
“ท่านอ๋อง กรมสอบสวนกลางเข้าแทรกแซงพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
ครั้นซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ยินพลันตกตะลึง!
สิ่งที่เขาตกตะลึงไม่ใช่การเข้าแทรกแซงของกรมสอบสวนกลาง
แต่เป็นซุนเต๋ออวี่ที่ครั้งนี้ผิดไปจากเดิมและพูดประเด็นสำคัญในประโยคแรกต่างหาก
จงรู้ไว้ว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ปรับท่าทางที่สบายที่สุดบนบัลลังก์แล้ว
เพียงรอให้ซุนเต๋ออวี่พูดเรื่องราววกวนช่วงหลายวันที่ผ่านมานับตั้งแต่ออกจากเมืองอ๋องไป…
“กรมสอบสวนกลางหรือ”
เหตุใดพวกเขาจึงรู้รวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องถาม
แม้เขาจะรู้ว่าสถานที่ที่ถูกปล้นชิงเบี้ยหวัดจะมีอาคารกรมสอบสวนอยู่แห่งหนึ่งก็ตาม
แม้ว่าตงอี้ผู้สั่งการกองและเป็นหัวหน้าอาคารของอาคารกรมสอบสวนแห่งนี้จะถูกจิ้งเหยาสังหารไปแล้ว
แต่ซุนเต๋ออวี่และพรรคพวกเป็นคนค้นพบศพ
อีกทั้งได้มีการรายงานไปยังกรมสอบสวนกลาง
แต่ไม่ว่าจะเป็นฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าหรือกรมสอบสวนกลางต่างก็ยังไม่ตอบกลับใดๆ
ควรจะพูดถึงการแทรกแซงว่าอย่างไรอีกเล่า
“กระหม่อมพบคนผู้หนึ่งในเมืองที่เบี้ยหวัดถูกปล้น เป็นอวิ้นเหวิน อดีตผู้กำกับการกรมสอบสวน เพียงแต่ว่านางออกจากกรมสอบสวนเมื่อไม่กี่ปีก่อนและเปลี่ยนนามเป็นเยว่ตี๋ท่องยุทธภพพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
หลังจากซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องได้ยินก็ครุ่นคิดหนัก…
เขารู้โครงสร้างของกรมสอบสวนกลางเป็นอย่างดี
ผู้กำกับการกรมมีเพียงสองคนเท่านั้น
เป็นรองเพียงผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลินในกรมสอบสวน
“เจ้ารู้จักนางได้อย่างไร”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเอ่ยถาม
“เรื่องนี้…เอ่อ…หลังจากคนผู้นี้เปลี่ยนนามเป็นเยว่ตี๋ เคยรู้จักกับกระหม่อมในอดีตพ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวนี้ของท่านอ๋อง บังเอิญถามในส่วนที่เก้อกระดากที่สุดของซุนเต๋ออวี่
เขาที่สงบนิ่งเถรตรงมาโดยตลอดกลับอึกอักขึ้นมา
“เจ้าพูดต่อสิ!”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องมองท่าทางของซุนเต๋ออวี่ปราดเดียวก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่เขาเล่าได้ยากแน่นอน
เจ้าไม่อยากเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอับอาย
จึงยิ้มอย่างอ่อนโยน
ทั้งยังเรียกให้องครักษ์นำสุราเข้ามาสองกา
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่ชอบดื่มสุรา
สิ่งที่แปลกก็คือ ทุกครั้งที่เขาเห็นซุนเต๋ออวี่กลับอยากดื่มสุราเสียอย่างนั้น…
ทว่าแต่ไรมาซุนเต๋ออวี่ไม่เคยแตะสุราแม้แต่หยดเดียว
มีเพียงยามที่พบกับสถานการณ์สุขสันต์ยิ่งใหญ่จึงดื่มเพียงครึ่งจอกเพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น
คนที่ไม่ดื่มสุราทั้งสองคน ไฉนต้องจัดสุราด้วยเล่า
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เขาเพียงรู้สึกว่าผู้ที่มีสติแจ่มชัดจะดื้อดึงเกินไปในบางครั้ง ไม่เข้าใจความรักเลยแม้แต่น้อย…
เมากรึ่มๆ ออกจะดี มองใต้หล้าผืนนี้พร่ามัวเสียหน่อย เรื่องเศร้าเสียใจจะทุเลาลงมากโข
“และยังมีคนหนุ่มสาวอีกสองคนข้างกายอวิ้นเหวิน เดาว่าคงจะเกี่ยวพันกับกรมสอบสวนอยู่บ้าง”
ซุนเต๋ออวี่กล่าวต่อทันที
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนข้าตกปลาที่บ่อห่านป่าสีชาดสัมผัสได้ถึงความอลหม่านดังอึกทึกครึกโครมมาจากทิศทางที่เบี้ยหวัดถูกปล้นไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องถาม
“เพราะอวิ้นเหวิน…ออกกระบี่แหวกนภา…เกือบจะถึงขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“อวิ้นเหวินนี่ช่างเก่งกาจ! ท้ายที่สุดเหตุใดจึงไม่สำเร็จเล่า”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องเริ่มสนใจขึ้นมา
“นาง…ยอมแพ้ไปเอง เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่…”
ซุนเต๋ออวี่ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็เล่าเรื่องในอดีตระหว่างอวิ้นเหวินกับบุตรชายของเขาให้ฟัง
ครั้นพูดจบเขาก็เอาแต่ก้มศีรษะ
ไม่อาจสบสายตาตรงๆ ได้อีกต่อไป
สุราจัดขึ้นโต๊ะแล้ว
ซุนเต๋ออวี่ก้มหน้ามองจอกสุรา รินให้ตนเองจนเต็มจอกแล้วเงยหน้าดื่มรวดเดียว
เมื่อดื่มสุราจอกนี้จนเกลี้ยง เขากลับเห็นว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องยังถือจอกสุราค้างไว้
น้ำตารื้นขอบตา
“เฮ้อ…มีความรักและความภักดี! ช่างเป็นสตรีที่เรียกได้ว่าวิเศษในโลกจริงๆ!”
ซ่างกวนซวี่เหยาทอดถอนใจขึ้นมา
กว่าจะรู้ตัวก็ดื่มสุราไปหลายจอกแล้ว
หลังจากได้สติกลับมาก็รู้สึกว่าตนลืมตัวจนเสียกิริยาไปเสียแล้ว
รีบร้อนเก็บสีหน้า
ร่างที่แต่เดิมนั่งเอนบนบัลลังก์ก็ปรับตัวตรง
“หลังจากนั้น อวิ้นเหวินกับคนหนุ่มสาวสองคนนั้นก็จากไป ดูทิศทางแล้วน่าจะไปเมืองหยางเหวินพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องพยักหน้า
แม้ว่าเมืองหยางเหวินจะไม่ใช่เมืองที่ใกล้จุดปล้นชิงเบี้ยหวัดมากที่สุด แต่ในระยะร้อยลี้มีเพียงเมืองหยางเหวินที่มีอาคารกรมสอบสวนตั้งอยู่
อีกทั้งหัวหน้าอาคารของอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินยังเป็นผู้บังคับบัญชาอีกด้วย
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรายงานต่อท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ซุนเต๋ออวี่วางจอกสุราลงแล้วกล่าว
“เรื่องใดหรือ”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องรู้สึกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต้องไม่ปกติเป็นแน่
เพราะซุนเต๋ออวี่ที่อยู่ในความกระอักกระอ่วนเมื่อครู่เคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน
“ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ปรากฏตัว…ที่เมืองหยางเหวิน วันนั้นเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของจิ้นเผิง หัวหน้าอาคารแห่งอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวิน ผู้จุดตะเกียงเหมันต์พาหลานสาวมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเต๋ออวี่กล่าว
“ผู้จุดตะเกียงเหมันต์! เหตุใดช่วงนี้อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องของข้าจึงคึกคักถึงเพียงนี้…”
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องโคลงศีรษะ
ชาวทุ่งหญ้า กรมสอบสวนกลาง ผู้จุดตะเกียงเหมันต์
รวมถึงเสี่ยวลี่ที่เสียชีวิตไป
มองเพียงแวบเดียวก็มีสี่ขุมอำนาจที่แตกต่างกันมีเอี่ยวเรื่องการปล้นชิงเบี้ยหวัดทัพชายแดนสี่ล้านตำลึงของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
นี่ยังไม่นับรวมกองกำลังอาณาจักรเจิ้นเป่ยของเขาเข้าไปด้วย
ซ่างกวนซวี่เหยาจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่งจึงบอกเรื่องการตายของเสี่ยวลี่กับซุนเต๋ออวี่
ขณะเดียวกัน ก็ให้เขาแบกรับภาระหน้าที่ของเสี่ยวลี่ก่อนหน้านี้
ดูแลเรื่องซับซ้อนจิปาถะทั้งหมดในวังอ๋องและเมืองอ๋อง
เดิมซุนเต๋ออวี่ต้องการปฏิเสธ
ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือตามมารยาท
ท่านอ๋องมอบภาระหนักไว้บนบ่า ปฏิเสธย่อมดีกว่า
แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับโบกมือ
ยืนขึ้นแล้วก้าวเท้าออกจากพระตำหนักไป
ท่านอ๋องผู้นี้ที่ตนมองเห็นกลับไร้ความรีบร้อน
ซุนเต๋ออวี่ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เขาจะต้องไปจวนของเสี่ยวลี่สักหนหนึ่ง
แม้คนจะตายไปแล้ว แต่สิ่งของยังอยู่
ไม่แน่ว่าอาจพบเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้
………………………………………………………………