ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 34 ลอบวางแผนร้าย กระจกสะท้อนความอาจหาญ-3
บทที่ 34 ลอบวางแผนร้าย กระจกสะท้อนความอาจหาญ-3
นอกจวนผู้ควบคุมรัฐติง
ผู้รับใช้กองกำลังจะเดินไปเคาะประตูจวนข้างหน้า แต่ถูกหลิวรุ่ยอิ่งหยุดไว้ก่อน
เขาจะเป็นผู้เคาะประตูเอง
ในตอนนั้นเดินออกจากประตูบานนี้อย่างจนตรอกเพียงไหน ตอนนี้ก็เดินเข้าประตูบานนี้ด้วยความภาคภูมิใจเพียงนั้น
ในเวลานี้เอง หางตาเขาพลันเหลือบมองเห็นคนสองคน คนหนึ่งเดินนำคนหนึ่งเดินตามหลัง
แม่นางน้อยผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหน้ากระโดดโลดเต้น แขนขวาหอบถุงใบใหญ่ แขนซ้ายชูกังหันกระดาษ สวมหน้ากากงิ้วเหนือศีรษะ
แก้มทั้งสองข้างนูนตุงกำลังเคี้ยวบางอย่างไม่หยุด
ลักษณะท่าทางประหนึ่งเด็กน้อยเร่งรีบไปเทศกาลงานวัดในช่วงปีใหม่ยิ่งนัก
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ! พวกเราไปดูข้างหน้ากันเจ้าค่ะ! ที่นั่นคนมากมายจะต้องคึกคักเป็นแน่!”
มีเพียงเกาลัดคั่วน้ำตาลเท่านั้นที่สามารถเที่ยวเตร่เหมือนคูเมืองหัวเมืองชายแดนในช่วงสงครามเป็นตลาดนัดปกติ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่ามีอีกคนอยู่ข้างหลังเกาลัดคั่วน้ำตาล แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลเดินไปซ้ายทีขวาที ทำให้เขามองแล้วไม่สบายใจ
ทันใดนั้น เกาลัดคั่วน้ำตาลเร่งความเร็ววิ่งไปข้างหน้า ชูกังหันกระดาษของตนเองขึ้นสูงหมายจะให้มันหมุนเร็วขึ้นอีกหน่อย
หลิวรุ่ยอิ่งจึงมองเห็นคนข้างหลังนางได้อย่างชัดเจน
สิ่งแรกที่สะท้อนเข้าสู่โสตประสาทเป็นดวงตาคู่ใสดุจธาราแวววาวของเจ้าหมิงหมิง
สุกสกาว ใสเป็นประกาย
เฉกเช่นเดียวกับริมแม่น้ำยามเย็นในคิมหันต์ฤดู ครั้นธารากับนภาเป็นสีเดียวกันช่างบริสุทธิ์ไร้ที่ติ
ทั้งเหมือนคืนไร้เมฆและดาวน้อยดวง มีเพียงพระจันทร์เดียวดายบนท้องนภาสดใส
หลิวรุ่ยอิ่งจ้องดวงคู่นั้นของเจ้าหมิงหมิงอย่างไม่ละสายตา กระทั่งตนเองกระทำสิ่งใดอยู่ล้วนลืมไปจนหมดสิ้น
เขารู้สึกเพียงว่าดวงตาคู่นี้บางครั้งก็พร่างพราวดุจดวงดาว แต่บางครั้งก็อ้างว้างประหนึ่งบ่อน้ำแล้ง
ครั้นนางมองไปทางเกาลัดคั่วน้ำตาล ยิ่งอ่อนโยนมากอีกสามส่วนและรักใคร่โปรดปรานถึงเจ็ดส่วน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นดวงตาที่เปลี่ยนแปลงหลากหลายเช่นนี้มาก่อนจริงๆ
เดิมทีในบรรดาผู้คนที่เขาพบเจอมีสตรีไม่มากนัก
เทียบกับเจ้าหมิงหมิงแล้ว การแสดงออกทางสายตาของหลี่อวิ้นมีกลิ่นอายหยอกเย้าแพรวพราวยิ่งกว่าเล็กน้อย แต่หลังจากนางเผยวิชาปาดกระบี่ฐานเมฆา กลับยิ่งเป็นการดูหมิ่นดูแคลนสรรพสัตว์อย่างหนึ่ง
แต่ดวงตาของเจ้าหมิงหมิงแตกต่างจากผู้อื่นโดยพื้นฐาน
ราวกับครอบคลุมวิสัยทัศน์งดงามและความขัดแย้งทุกสิ่งในใต้หล้า
ความงดงามที่แตกต่างรวบรวมไว้ในดวงตาสีนิลเข้มนี้ ไร้ความรู้สึกแปลกแยก แต่ความสูงส่งที่วาววับเป็นครั้งคราวกลับขัดแย้งกับความสงสัยใคร่รู้แต่เดิมที่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้า
คล้ายเด็กน้อยที่เห็นชัดเจนว่าปรารถนาอยากกินขนมก้อนน้ำตาล แต่กลับปฏิเสธปากแข็ง
เพียงค้นพบก็ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งพลันตกหลุมรักดวงตาคู่นี้ไปอีกหลายหน
ผมดำขลับไม่ได้ถูกเกล้ารัดแต่อย่างใด แต่สยายลงมาตามอำเภอใจ ละม้ายคล้ายน้ำตกสีดำสองสายไหลลู่ผ่านใบหน้านวลผ่องไปถึงคางมนที่ดูราวกับแกะสลักจากหยกพิสุทธิ์
เพียงเส้นผมดำขลับร้อยแปดพันเก้าก็ไม่รู้ว่าทำให้ชายหนุ่มหล่อเหลามากพรสวรรค์ นักรบในยุทธภพเสียใจไม่เว้นวันคืนมากเพียงใด
หลิวรุ่ยอิ่งฝืนเบนความสนใจของตนเองออกจากดวงตาคู่นั้นของเจ้าหมิงหมิง นับเป็นหนแรกที่พินิจพิเคราะห์สตรีอย่างละเอียด
“ตำนานฉางเอ๋อร์ในดวงจันทร์ก็มีเพียงเท่านี้…”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
………………………..
เจ้าหมิงหมิงมองดูเกาลัดคั่วน้ำตาลวิ่งไปทั่วถนน คิ้วเดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลาย ปากเล็กๆ สีกุหลาบเดี๋ยวเผยอเดี๋ยวหุบ
บางครั้งนางก็ยื่นมือออกจากแขนเสื้อ ใช้นิ้วเรียวยาวจิ้มเบาๆ ราวกับว่าจุดที่จิ้มแม้กระทั่งอากาศยังนุ่มนิ่มน่าสัมผัส
มองดูอาภรณ์สวมใส่เฉกเช่นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
แต่เสน่ห์งดงามจนดอกไม้ยังต้องจำยอมสามารถสร้างได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านั้น
ความงดงามในใต้หล้า โดยทั่วไปแบ่งออกเป็นสองประเภท
ประเภทที่หนึ่งคือความงดงามล่อลวง
ความงามประเภทนี้มักจะสามารถกระตุ้นความปรารถนาของผู้คนได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ผู้คนนึกถึงก็เลี่ยงเรื่องฉาบฉวยในสมองไม่ได้
เช่นเดียวกับธาราในวสันต์ฤดูและหิมะตกตามฤดูกาลสามารถสนองประสาทสัมผัสได้พึงพอใจและงดงามอย่างยิ่ง
ทว่าสตรีประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นสตรีมากรักและผู้มีจิตใจโลเล
หรือจะเป็นก่อนไก่ขัน หลังดื่มสุราสามหน มีสัมพันธ์ชายหญิง แนบชิดอิงแอบราวกับคู่สามีภรรยาข้ามคืนเฉกเช่นนกยวนยางเกี้ยวพาราสี
หมอนที่คนนับพันหนุนนอน ปากที่แขกนับหมื่นลิ้มรส น่าอับอายขายหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น มีผู้ดีมีธรรมแห่ไปเป็นเจ้าบ่าวในทุกค่ำคืนแล้วเท่าใด
ความงามประเภทที่สองเป็นความงามอันอ่อนช้อยและนุ่มนวล
ความงามประเภทนี้ ทำให้ผู้คนรักใคร่เอ็นดู ต้องการกกกอดทะนุถนอมในอ้อมแขน
สตรีเช่นนี้มักจะเจ้าน้ำตา เปราะบางอ่อนแอ
ครั้นสงบเยือกเย็นก็เลี่ยงจมปลักอยู่กับความทุกข์ไม่ได้ ครั้นเคลื่อนไหวก็เปราะบางราวต้นหลิวลู่ลม
จิตใจละเอียดอ่อน ทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ยาก
ยิ่งกว่านั้น ความรักที่เกิดจากความสงสารก็เปรียบเสมือนสิ่งก่อสร้างขาดความมั่นคงและน่าเชื่อถือ
แต่เจ้าหมิงหมิงแตกต่างจากความงามทั้งสองประเภทนี้อย่างสิ้นเชิง
นางเป็นความงดงามเลิศล้ำประเภทที่สามนอกเหนือจากความงามล่อลวงและความงามอันอ่อนช้อยและนุ่มนวล
ทั้งยังเป็นรักแรกพบที่สามารถกระแทกหัวใจหลิวรุ่ยอิ่งได้โดยตรง
เขารู้สึกละอายใจและรู้สึกผิดต่อหยวนเจี๋ย แม้ว่าการใช้ความรักล่อลวงผู้คนจะหลีกเลี่ยงการเสแสร้งแกล้งทำไม่ได้ แต่หากบอกว่าตอนนี้มีรักบริสุทธิ์อยู่กี่ส่วนกลับอธิบายได้ยาก
ทว่าเจ้าหมิงหมิงกลับทำให้ทะเลสาบน้ำแข็งต้นวสันต์ฤดูละลายจนเกิดระลอกคลื่นเป็นวงกลม
ถึงอย่างไรหัวหน้าอาคารกรมสืบสวนข้างกายเขาก็เป็นผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน มองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าหลิวรุ่ยอิ่งคิดสิ่งใดอยู่
หากคนหนุ่มสาวไร้ความรักย่อมเสียดายความเยาว์วัย ยิ่งกว่านั้นพิจารณาวัยสตรีผู้นี้ดูเหมือนจะถึงช่วงวัยออกเรือน
ขณะนี้ เขามีแผนการในใจแล้ว
สตรีผู้นี้ บางทีอาจเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับนายกองคนใหม่ผู้นี้
หากตนเองสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ดี สนองความต้องการหลิวรุ่ยอิ่งได้ ผู้ใดจะรู้ว่าหนทางในวันข้างหน้าจะมีสิ่งใดคอยค้ำจุนได้อยู่บ้าง อาจขออาศัยการสนับสนุนได้บ้าง
อย่างไรเสียเขาหลิวรุ่ยอิ่งก็ยังต้องกลับเมืองหลวง ตนเองละทิ้งท่าทีของผู้อาวุโส สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของสหายผู้นำอาคารอย่างสุดกำลัง ก็เพื่อสร้างความประทับใจไม่ใช่หรือ
แม้ว่าก่อนหน้า หลิวรุ่ยอิ่งสังหารคนพาลตามท้องถนนหัวเมืองรัฐติงเพื่อระบายโทสะให้ตนเอง แต่หากเขาคิดว่านี่เป็นการสังหารเด็ดขาดสร้างบารมีสำเร็จละก็ เช่นนั้นก็เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง
ไม่เอ่ยถึงตนเอง แค่ในบรรดาผู้รับใช้กองสามสิบหกคนในหอรบสงคราม แต่ละคนล้วนเคยจัดการทั้งคดีใหญ่ คดีพิเศษและคดีสำคัญมาก่อน
หากไม่ฝ่าฝืนคำสั่งและสร้างปัญหาแต่แรกจนถูกส่งไปเป็นข้าราชการเล็กๆ ในที่ว่าการรัฐติง เช่นนั้นตอนนี้อาจไม่ใช่นายกองก็เป็นได้
หากติดสินบนอีกสักหน่อย เปิดทางจุดยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ อาจจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงก็เป็นได้
หากตำหนิก็ตำหนิตน คนเหล่านี้สูงส่งเกินไป เผยความสามารถออกมา ไม่รู้จักความยืดหยุ่น หากก้มหัวแต่แรกเสียหน่อย อดรนทนเสียหน่อย สถานการณ์ในปัจจุบันคงจะไม่ทนไม่ไหวถึงเพียงนี้
ทว่า คนเย่อหยิ่งไม่ยอมคนเช่นนี้ จะสามารถยอมรับหลิวรุ่ยอิ่งเพราะท่าทางเสแสร้งตวัดกระบี่จากก้นบึ้งหัวใจได้อย่างไร
สิ่งที่พวกเขารู้จักก็มีเพียงชุดเครื่องแบบราชการ กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นนามของใต้เท้าผู้ตรวจการกองเจียงชางฉงเท่านั้น
………………………..
“ฮึ่ม…นายกองหลิว”
“หัวหน้าอาคารฉินมีอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถูกดึงสติกลับมาด้วยเสียงเรียกนี้ แต่ก็มิวายชำเลืองมองไปทางเจ้าหมิงหมิงอยู่หลายหน
หันมองย้อนกลับไปเห็นกำลังคนที่ตนเองพาออกมาและแผ่นป้ายจวนผู้ควบคุมรัฐติงจึงตระหนักถึงจุดประสงค์การเดินทางของตนเองในครั้งนี้
“นายทหารผู้นี้ได้รับคำสั่งจากฮั่ววั่งวังติ้งซีอ๋องรายงานเรื่องสำคัญให้ท่านทราบ”
หัวหน้าอาคารชี้นายทหารคนหนึ่งแล้วกล่าว
“เขาเป็นทหารรักษาพระองค์ของฮั่ววั่ง ทัพอีกาดำ”
หัวหน้าอาคารฉินกล่าวเสริมอีกครั้ง
คำกล่าวเตือนของเขาตรงประเด็นยิ่ง
ครั้นหลิวรุ่ยอิ่งอยู่ที่กรมสอบสวนกลาง แม้จะเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับทัพอีกาดำมาแล้วก็ตาม แต่จวบจนวันนั้นที่หัวหน้าอาคารฉินส่งรายงานให้เขาก็ยังไม่รู้แจ้งเกี่ยวกับทัพอีกาดำ
เขาชำเลืองพิจารณานายทหารที่ก้าวเข้ามาส่งจดหมายผู้นั้น
รูปร่างสูงใหญ่ เอวกว้างสิบรอบ จมูกตรงเป็นสัน หน้าอกเท่าประตูสองบาน สองขาราวกับเสาสองต้นค้ำนภา
สองมือกำแน่นไพล่หลัง ขากางออกเล็กน้อย ดวงตาประกายสดใส
สมกับที่เป็นผู้แข็งแกร่งในทัพ!
……………………………………………………..