ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 335 พายุต้อนรับชายประหลาด-1
บทที่ 335 พายุต้อนรับชายประหลาด-1
หากไม่สนใจอุณหภูมิละก็
รอบๆ เหมืองแร่จะแยกฤดูกาลไม่ออก
นอกจากฤดูหนาวเย็นเยือก หิมะขาวโพลน
ฤดูกาลอื่นไม่มีสัญลักษณ์เลยสักนิด
วสันตฤดู
ที่อื่นล้วนฝนตก
แต่ที่เหมืองแร่นี้กลับไม่มีฝนสักเม็ด
หิมะที่ละลายในฤดูหนาวล้วนซึมลงใต้ดินเหลือง
ไม่เหลือร่องรอยบนพื้นดินแม้แต่น้อย
หากตัดสินจากสีเพียงอย่างเดียว
ฤดูกาลในเหมืองแร่ก็มีเพียงสารทฤดู
เพราะนอกจากสีดินเหลืองที่ทอดสู่นัยน์ตาก็เป็นสีแดงจากทิวเขาและที่ราบ
แร่เหล็กเป็นสีแดง
พูดอีกอย่างคือขอแค่เป็นหินสีแดงส่วนใหญ่จะมีเหล็กเป็นส่วนประกอบ
สามารถเอาเหล็กออกมาได้ผ่านการหลอมตี
แต่เหมืองแร่เป็นสถานที่ที่มีแร่เหล็กรวมตัวอยู่มากที่สุด
มองแล้วเห็นเป็นสีแดงเข้มทั้งผืน
เหมือนสีเลือดสดกำลังจะแข็งตัวไม่มีผิด
เพิ่งเลยรุ่งสาง
จวนของเขาใหญ่กว่านายท่านจินมากนัก
เขาออกมาเดินสาวเท้าอยู่บนถนน
ที่นี่เป็นเมืองแห่งหนึ่ง
เหมือนจะเจริญกว่าเมืองหยางเหวินหลายเท่า
แต่ทั้งที่นายท่านจินบอกหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว
เมืองที่คึกคักที่สุดและคนเยอะที่สุดในบริเวณรอบเหมืองแร่ก็คือเมืองหยางเหวิน
เขาโกหกอย่างนั้นหรือ
ดูท่าคงเป็นเช่นนี้จริง
แต่นายท่านจินก็พูดความจริง
เพราะเมืองที่ชายประหลาดผู้นี้อยู่ไม่มีชื่อ
และไม่ได้วาดอยู่บนแผนที่
เมืองทั้งเมืองนี้ก็คือทรัพย์สมบัติของเขาคนเดียว
เขามีคฤหาสน์อยู่ในเมืองสิบแปดหลังเต็มๆ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงร้านค้า ร้านสุราหรือร้านน้ำชาเหล่านั้น
และเจ้าของร้านกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำงานในร้านค้า ร้านสุราและร้านน้ำชาเหล่านี้ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งสิ้น
ชายประหลาดผู้นี้ใช้กำลังทรัพย์ของตัวเองสร้างเมืองขนาดเล็กที่เจริญรุ่งเรืองในพื้นที่รกร้างไร้ผู้คน
ในเมืองขนาดเล็กใช้เงินตราที่จัดทำขึ้นเอง
แม้เป็นสีเงินเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่เงิน
มันคือเหล็ก
ต้องทราบว่าการลักลอบหลอมเงินตราเป็นความผิดร้ายแรง
โทษไม่น้อยกว่าการหลอมอาวุธขาย
ทว่าชายประหลาดผู้นี้แม้แต่ทางการของเขตเจิ้นเป่ยอ๋องก็ยังไม่มีปัญญาทำอะไรเขาได้
เพราะเมืองทั้งเมืองเป็นทรัพย์สินของเขาคนเดียว
ถามว่าทำไมถึงลักลอบหลอมเงินตรา เขาบอกเพียงว่าเป็นเพียงการเล่นฆ่าเวลาตอนเขาเบื่อ
เมื่อคืนเขาดื่มส่าน้ำจัณฑ์กว่าครึ่งค่อนวัน
ยังเล่นสนุกกับแม่นางคนหนึ่งอีกกว่าหนึ่งชั่วยามโดยประมาณ
ว่าตามหลักเขาไม่น่าตื่นเช้าขนาดนี้
แต่เขาออกจากบ้านตอนรุ่งสาง
ความมึนเมาและความง่วงงุนยังคงไหลเวียนอยู่ในกายเขา
แต่เขาไม่สนใจสักนิด
ร้านค้าที่ขายอาหารว่างยามเช้าในเมืองขนาดเล็กเปิดทำการแล้ว
เพราะนี่คือเจ้านายของพวกเขา และก็เป็นคำสั่งของชายประหลาดผู้นี้
ไม่ว่าตนอยู่ไหน ทำอะไร ตื่นแล้วออกจากบ้านหรือไม่
ทุกสิ่งในเมืองขนาดเล็กต้องทำทุกขั้นตอนให้เหมือนเมืองที่แท้จริงทุกประการ
ชายประหลาดผู้นี้สูงเกือบแปดฉื่อ
รูปร่างกำยำล่ำสัน
แม้ฤทธิ์สุรายังไม่ลดลงทั้งหมด
แต่ใบหน้าของเขากลับไม่มีความเหนื่อยล้าสักนิด
จมูกเหยี่ยวแหลมคมกลับทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกว่าชั่วร้ายอย่างยิ่ง
วันนี้เขาแต่งตัวสบายๆ
สวมเสื้อไหมดิบสีดำธรรมดาตัวหนึ่ง
รัดเข็มขัดสีดำประดับเขาสัตว์ลายเสือเส้นหนึ่ง
นัยน์ตาเรียบนิ่งดุจบ่อน้ำโบราณ ไม่มีชีวิตชีวาแต่อย่างใด
เพียงทั้งเมืองขนาดเล็กเห็นเขาเดินออกมาก็จะทำความเคารพอย่างนอบน้อม ถึงขั้นเผยสีหน้าหวาดกลัว
แต่ชายประหลาดผู้นี้ไม่พยักหน้ารับแม้แต่ครั้งเดียว
เดินมุ่งหน้าตรงดิ่งไปเช่นนี้
เพียงแต่วันนี้ตอนคนทั้งหลายเคารพและหวาดกลัวไปพร้อมกัน สีหน้าล้วนเผยความฉงนเล็กน้อย
เพราะแต่ไรมาเจ้านายของพวกเขาไม่เคยมีนิสัยชอบเดินเล่น
ทางที่เดินมากที่สุดก็คือเดินจากคฤหาสน์หลังนี้ของตนไปยังอีกหลังหนึ่ง
“เจ้าว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น”
ลูกจ้างสองคนในร้านค้าแห่งหนึ่งกระซิบกระซาบมองเงาหลังเจ้านายของตน
“ไม่รู้…คงไม่สบายใจกระมัง…”
อีกคนหนึ่งกล่าว
“ยังมีอะไรไม่สบายใจได้อีก ข้าเห็นแม่นางที่ส่งเข้าคฤหาสน์เมื่อคืนแวบหนึ่ง…รูปโฉมเรียกได้ว่างามฉ่ำ! ถ้าเป็นข้าย่อมยิ้มไม่หุบสิบวันติดแน่!”
ลูกจ้างที่เปิดประเด็นผู้นั้นกล่าว
“เจ้าถึงเป็นได้แค่นี้อย่างไรเล่า…นายท่านไม่เคยเจอสตรีแบบใดบ้าง หากเขาไม่สบายใจต้องเกิดเรื่องสำคัญบางอย่างเป็นแน่”
อีกคนหนึ่งกล่าว
สองคนนี้พูดถูกต้อง
เจ้านายของพวกเขาหรือชายประหลาดของนายท่านจินผู้นี้มีเรื่องสำคัญยิ่งจริงๆ
ในสายตาคนอื่นอาจไม่นับเป็นเรื่องเป็นราว
แต่สำหรับเขากลับเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในใต้หล้า
เขาไม่ดื่มสุราไม่หลับนอนกับสตรีได้
แต่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
เพราะของในคฤหาสน์หลังหนึ่งของเขาหายไป!
เมืองทั้งเมืองสร้างด้วยแรงของเขาคนเดียว ทุกคนล้วนเป็นคนรับใช้ของเขา ไม่มีคนนอกเลยสักคน
เช่นนั้นสาเหตุที่ของหายมีอย่างเดียว
ก็คือมีคนขโมยของที่ตัวเองรับผิดชอบดูแล
ที่เขาถูกนายท่านจินเรียกว่าชายประหลาดย่อมมีเหตุผล
จุดสำคัญของชายประหลาดอยู่ที่คำว่าประหลาด
แม้ทุกคนต่างก็มีความชอบบางอย่าง แต่ความชอบของเขากลับแปลกที่สุดในบรรดาคนปกติ
เขาชอบสะสม
คนทั่วไปมักสะสมสิ่งของประเภทภาพเขียนพู่กันหรือของเก่า
พูดตรงๆ ก็คือของที่มีราคาตอนนี้และยิ่งมีราคาในภายหน้า
แต่เขาไม่ใช่
ใช่ว่าเขาซื้อของมีราคาเหล่านั้นไม่ได้ แต่มันไม่ทำให้เขาเกิดความสนใจเลยสักนิด
เขาชอบแค่ของใช้งานไม่ได้จริงที่คิดจินตนาการออกมาเองอย่างไร้ขอบเขต
ดังเช่นกระบี่ที่กว้างและหนาเท่าบานประตู รวมถึงแส้เหล็กยาวร้อยจั้งก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
เมื่อก่อนความคิดเหล่านี้อยู่ได้แค่ในหัวของเขา
เขาเป็นคนที่เห็นอะไรก็เกิดความคิดแปลกประหลาดได้
อย่างเช่นตอนเห็นซาลาเปา เขาจะคิดว่าหากในเนื้อแป้งสอดไส้ก้อนเหล็กไว้จะทำให้คนฟันหักในคำเดียวหรือไม่
เห็นซึ้งนึ่งของกินเป็นชั้นๆ ก็จะคิดว่าทำไมไม่สร้างบ้านแผ่นเหล็กที่มีล้ออยู่ข้างใต้ ตอนคนยืนอยู่ข้างในจะได้ไม่ถูกโจมตี
เขาสองคนล้วนเป็นคนที่สมองทำงานประหลาดยิ่งนัก
เพียงแต่เขาไม่รู้จักหนานเจิ้น
และตัวเขาเองก็ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
ก่อนนายท่านจินมาถึง ความคิดนี้ล้วนเป็นแค่ความคิด
หลังจากนายท่านจินกลายเป็นเจ้าของเหมืองก็มีคนเปลี่ยนความคิดพิลึกกึกกือเหล่านี้ของเขาให้กลายจริงทั้งหมด
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงมีเงินขนาดนี้
กระทั่งคนในเมืองขนาดเล็กก็ไม่รู้
เพราะเจ้านายของเขาไม่ทำการค้าและแทบไม่ออกจากเมืองขนาดเล็กที่ตัวเขาสร้างไปหาเงิน
แต่เขากลับมีเงินใช้เหลือเฟือเสมอ
นอกจากพอจ่ายเงินเดือนคนรับใช้เหล่านี้
ยังพอสำหรับชีวิตที่ใส่เสื้อผ้าหรูหรากินอาหารเลิศรสรวมถึงความคิดไร้ประโยชน์ต่างๆ ของเขา
คฤหาสน์ที่เขานอนเมื่อคืนเป็นหลังที่สำคัญที่สุดในคฤหาสน์สิบแปดหลังของเขา
ที่บอกว่าสำคัญไม่ใช่เพราะข้างในใส่เงินไว้
แต่ใต้ดินของคฤหาสน์หลังนี้มีโถงใหญ่โตมโหฬารอยู่แห่งหนึ่ง
ด้านในจัดแสดงของสะสมของเขาไว้ทั้งหมด
ซึ่งก็คือของเล่นที่เปลี่ยนจากความคิดแปลกประหลาดในหัวเขาเป็นของจริงเหล่านั้น
ข้างโถงใหญ่นี้มีห้องเล็กอีกห้องหนึ่ง
ในนั้นเป็นห้องหลอม
ห้องหลอมห้องนี้ไม่ต่างอะไรกับร้านตีเหล็กทั่วไป
เพียงแต่ท่อระบายอากาศปล่อยควันยาวกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะถ้าจะยื่นจากใต้ดินก็ต้องยาวกว่าบนพื้นอยู่แล้ว
แม้ฝีมือเขาใช้ไม่ได้
แต่เขาชอบตีเหล็กเหลือเกิน
โดยเฉพาะกริชกับมีดสั้น
เพียงแต่วิธีทำของเขาใช้การไม่ได้และล้าสมัยเกินไปอย่างแท้จริง…
จนถึงวันนี้ยังตีอันที่ทำให้ตัวเขาพอใจไม่ได้สักเล่ม
ของใช้งานไม่ได้ทั้งหมดถูกเขาโยนไว้ในตู้ใบหนึ่ง
เขาไม่ได้เปิดเตาหลอมทุกวัน
โดยทั่วไปจะนึกอยากทำขึ้นมากะทันหัน
เดิมทีเมื่อคืนเป็นคืนที่มีความสุขยิ่ง
ตอนเริ่มครึ้มใจเขามักจะไปหยิบดูของสะสมของตนที่ใต้ดินคฤหาสน์หลังนี้อย่างละเอียด
ในสายตาเขา ของทำจากเหล็กรูปร่างประหลาดเหล่านี้ล้วนเป็นหญิงงามสะโอดสะองแห่งยุคทุกชิ้น
ถึงขั้นมีเสน่ห์ยั่วยวนกว่าแม่นางบนเตียงเขาเสียอีก
ความตื่นเต้นของแต่ละคนต่างกันโดยแท้จริง
หากทุกคนเหมือนกันก็คงไม่มีคำเรียกว่า ‘ชายประหลาด’ นี้แล้ว
เมื่อดูของสะสมของตนหมดแล้ว
เขามักจะอยากไปดูห้องหลอมของตัวเอง
แม้อาจไม่ได้เปิดเตาหลอม
แต่เขาก็มักจะอยากไปดู
บางครั้งแรงบันดาลใจก็อยู่ในชั่วความคิด
แต่การมาดูวันนี้ทำให้เขาตกใจหน้าถอดสีอย่างแท้จริง
เพราะนอกจากเตาตีเหล็กที่เคลื่อนย้ายไม่ได้อันนั้นแล้ว ในห้องหลอมของเขาไม่เหลือของสักชิ้น
กระทั่งค้อนตีเหล็กก็หายไป
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงมีดสั้นใช้งานไม่ได้ที่เขาตีเหล่านั้น
บนชั้นว่างเปล่า
ไม่เหลืออะไรเลย
แต่เมื่อคืนก็ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใด
มองเศษฝุ่นบนชั้นวางอีกครั้ง ของเหล่านี้คงถูกขโมยไปนานกว่าวันสองวันแล้ว
ถึงอย่างนั้นเขาก็จำไม่ได้ว่าคราวก่อนเดินเข้ามาในห้องหลอมตอนไหน
แต่เขารู้ว่าคนขโมยต้องเป็นคนของตัวเอง
และยังอยู่ในเมืองขนาดเล็กที่เขาสร้างแห่งนี้แน่นอน
เพราะช่วงหนึ่งเดือนมานี้ไม่มีคนนอกคนใดเข้ามา และก็ไม่มีคนของตนออกไป
ปกติเมืองขนาดเล็กแห่งนี้จัดซื้อสินค้าทุกๆ สามเดือน
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทั้งเมืองขนาดเล็กคึกคักที่สุด ทั้งยังเป็นช่วงที่มีคนนอกเยอะที่สุด
ตอนนี้เพิ่งเว้นจากการจัดซื้อคราวก่อนแค่เดือนเดียว
เขาเคยคิดว่ามีคนแอบปะปนเข้ามาขโมยผลงานของเขาตอนจัดซื้อครั้งก่อนหรือเปล่า
แต่เขาก็ปัดความคิดนี้ทิ้งอย่างรวดเร็ว
เพราะฝุ่นที่เกาะอยู่บนชั้นวางยังไม่มากถึงขั้นหนึ่งเดือน
และถึงเขาจะจำไม่ได้ชัดเจนว่าตนมาครั้งก่อนนานเท่าไร แต่เขารู้ว่าไม่เกินหนึ่งเดือนแน่นอน
ในเมื่อตอนมาห้องหลอมคราวก่อนไม่เจออะไรผิดสังเกต
เช่นนั้นก็แสดงว่าตอนที่ผลงานของตนถูกขโมยต้องไม่นานถึงหนึ่งเดือน
แต่พอคิดอีกที ใครจะมาขโมยของชำรุดไม่มีราคากองหนึ่งกัน
ต้องทราบว่าถึงแม้มีดสั้นเหล่านั้นตีออกมาด้วยแร่เหล็ก
แต่ราคากลับเทียบแร่เหล็กก่อนหลอมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ…
คนในเมืองขนาดเล็กต่างรู้นิสัยเจ้านายตัวเอง
แม้รู้ว่าเขามีเงินใช้เหลือเฟือ แต่ก็รู้กันว่าของสะสมกับผลงานของเขาไม่ได้ราคาสักอีแปะ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จากเดิมคิดว่าคนของตัวเองขโมยไป ตอนนี้เหมือนจะไม่แน่ใจแล้ว
ดังนั้นชายประหลาดที่นายท่านจินเอ่ยถึงจึงออกมาเดินเล่นตั้งแต่รุ่งสางด้วยความสลดใจ
ตอนคนเรากำลังคิดบางอย่างต่างหวังให้ตนมีสมาธิจดจ่อมากขึ้น
แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย รอบด้านไม่มีเสียงกลับสงบใจยากยิ่งกว่า
มีเพียงหากิจกรรมที่ทำซ้ำได้นานและไม่ยุ่งยากขนาดนั้นมาทำพลางคิดไปด้วยถึงจะทำให้ตัวเองรวบรวมสมาธิได้
และการเดินเล่นก็คือวิธีที่เขาหาให้ตัวเอง
เดินไปพลางครุ่นคิดไปพลาง
ไม่นานเขาก็เดินจนครบรอบเมืองขนาดเล็กของตน
แต่ในหัวยังคงไม่มีคำตอบใด
…………………………………………