ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 330 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-8
บทที่ 330 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-8
“ยังขาดอีกหนึ่งชาม!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ยังขาดอีกหนึ่งชาม? พวกเรามีแค่สองคนไม่ใช่หรือ”
นายท่านจินเอ่ยถาม
เสี่ยวจีหลิงไม่ได้เอ่ยคำ แต่ชี้หลิวรุ่ยอิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจ
เขามาครั้งนี้ ทีแรกอยากเข้าประเด็นหลักเลย
ตอนนี้กลับหนีการดื่มสุราไม่พ้น
แต่คำพูดมากมายดื่มสุราสักหน่อยกลับจะพูดได้ง่ายขึ้น
หนำซ้ำเขาไม่รู้เรื่องที่เสี่ยวจีหลิงพนันกับนายท่านจิน
หากเขารู้แล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปฏิเสธการดื่มครั้งนี้ให้ได้
แต่ในเมื่อตอนนี้เสี่ยวจีหลิงวางตนไว้ในที่แจ้งแล้ว การแข่งดื่มสุรานี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดียิ่ง
เทียบกับคิดทุกวิถีทาง ลำบากเปลืองแรงพูดอ้อมค้อมกับนายท่านจิน
สุราหนึ่งชามกลับลดความยุ่งยากให้เขามากทีเดียว
“คนนี้คือ…”
นายท่านจินเห็นหลิวรุ่ยอิ่งแล้วรู้สึกไม่คุ้นหน้า
แม้ในใจเขาแอบรู้สึกว่าคนผู้นี้ก็คือ ‘สหาย’ ที่เสี่ยวจีหลิงบอก แต่คนสุขุมเช่นเขาไม่เคยอ้าปากพูดออกมาหากยังไม่แน่ใจเรื่องนั้น
อย่างไรในจวนเขาก็มีคนมากมายถูกบีบให้อับจนหนทางเพราะกล่าวคำผิด
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“คารวะนายท่านจิน! ขออภัยที่บุ่มบ่ามรบกวน ได้โปรดอย่าถือสา!”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือกล่าวอย่างสุภาพ
“ไอ้หยา! ในเมื่อเป็นสหายของเสี่ยวจีหลิง เช่นนั้นก็เป็นสหายของข้าเหมือนกัน ข้าอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปี เจ้าเรียกข้าว่าเหล่าจินเหมือนเสี่ยวจีหลิงก็ได้!”
นายท่านจินกล่าว
ลุกขึ้นดึงมือหลิวรุ่ยอิ่งมานั่งในศาลา
ยังสั่งให้คนหยิบชามมาอีกหนึ่งใบ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกนายท่านจินเป็นคนใจกว้างคนหนึ่ง
แต่รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ
เบื้องหลังของความใจกว้างนี้ยังมีการคิดวางแผนเช่นใดเขาก็ไม่รู้แน่ชัด
หลิวรุ่ยอิ่งส่งสายตาให้หวาหนง
หวาหนงรู้งานทันที
เขายืนอยู่ประมาณครึ่งจั้งจากด้านหลังฝั่งซ้ายของหลิวรุ่ยอิ่ง
แม้ตำแหน่งนี้ไม่สะดุดตา
แต่เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกลับมีประโยชน์ต่อหลิวรุ่ยอิ่งมากที่สุด
เพราะกลุ่มอาชญากรแห่งยุทธภพในจวนนายท่านจินยืนอยู่ข้างหลังนายท่านจินทั้งหมด
และหลิวรุ่ยอิ่งนั่งอยู่ข้างนายท่านจิน
หากนายท่านจินกับเสี่ยวจีหลิงหรือกระทั่งกลุ่มคนข้างหลังเขาเคลื่อนไหวผิดปกติละก็
หวาหนงออกกระบี่ควบคุมสถานการณ์ได้ทันที
เขาใช้กระบี่มือขวา
หลิวรุ่ยอิ่งใช้หางตามองเห็นตำแหน่งยืนของหวาหนงแล้วก็พึงใจ
รู้สึกศิษย์หลานของตนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างแท้จริง
และตัวเขาก็ไม่ได้ทำผิดต่อการฝากฝังของเซียวจิ่นข่าน
คราวนี้ตอนนายท่านจินรินสุราลงชามอีกครั้ง เสี่ยวจีหลิงไม่ได้ขัดขวางแล้ว
เมื่อชามตรงหน้าทั้งสามรินเต็มหมดแล้ว
นายท่านจินสุ่มเรียกคนหนึ่งจากในกลุ่มมานับเวลา
คนผู้นั้นยกแขนขวาขึ้นสูง
ให้ทั้งสามเตรียมพร้อม
ทว่าตอนที่มือของเขาเตรียมโบกลงมาบอกให้เริ่ม
ผู้ดูแลจวนคนนั้นตะโกนวิ่งเข้ามาฉับพลัน
“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าไม่เคยทำเรื่องอื่นตอนดื่มสุรา?!”
นายท่านจินโมโหอย่างยิ่ง
กล่าวตำหนิเสียงดุดัน
เขาไม่เพียงไม่ทำเรื่องอื่นตอนดื่มสุรา
ตอนเขาทำเรื่องใดก็ตามล้วนตั้งอกตั้งใจ จดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว
ต่อให้ดาบจ่ออยู่บนคอก็ไม่อาจทำให้เขาทำสิ่งอื่นใด
“นายท่านจิน คุณชายตายแล้ว…”
ผู้ดูแลจวนกล่าว
นายท่านจินได้ยินดังนั้นพลันตกใจหน้าถอดสี
ระหว่างรีบร้อน เขาคว่ำชามสุราทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว
คุณชายผู้นี้นามว่าจินซื่ออวี่
ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนายท่านจิน
นายท่านจินไม่เคยมีภรรยา ไม่มีลูกชายหรือลูกสาว
จินซื่ออวี่เป็นแค่เด็กกำพร้าที่เขารับเลี้ยงหลังร่ำรวยแล้ว
หลังจากเติบใหญ่ทำพิธีสามคุกเข่าเก้าคำนับ[1]แล้วจึงรับเป็นบุตรบุญธรรม
เขาจึงกลายเป็นคุณชายในจวนนายท่านจิน
“ซื่ออวี่ตายได้อย่างไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
เขาสงบลงในชั่วพริบตา
วางชามสุราที่คว่ำลงหงายขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นหยิบไหสุราขึ้นมารินให้ตัวเองชามหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นตอนเขารินสุรา มือไม่สั่นแม้แต่น้อย
กลับเป็นเสี่ยวจีหลิงที่มีสีหน้าท่าทางร้อนใจ
“เอ่อ…ถูกคนฆ่าตายขอรับ”
ผู้ดูแลจวนกล่าว
“ฆ่าอย่างไร”
นายท่านจินเอ่ยถามต่อ
“ถูกคนปักมีดทะลุหน้าผากตายขอรับ”
ผู้ดูแลจวนกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินแล้วรูม่านตาหดพลัน
การตายนี้เหมือนกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นของเขาไม่ใช่หรือ
เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีดที่ฆ่าเขาตายใช่มีดทื่อไม่ลับคมหรือไม่
และก็ไม่รู้ว่าคุณชายผู้นี้จะถูกพลังปราณทำลายกระดูกทั้งร่างจนแหลกเป็นผงเหมือนกันหรือไม่
“ซื่ออวี่ถือเป็นลูกศิษย์ข้าครึ่งหนึ่ง แม้ไม่เคยคารวะอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่ข้าก็เป็นคนสอนท่าร่างให้เขา”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวกับหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเคยเห็นท่าร่างของเสี่ยวจีหลิง
ในเมื่อได้รับการถ่ายทอดจากเขา
คิดว่าท่าร่างของคุณชายผู้นี้ก็คงไม่แย่เกินไป
แต่เขาไม่มีกระทั่งโอกาสหนีก็ถูกคนฆ่าตายเช่นนี้
เพียงคิดก็รู้ขั้นฝึกยุทธ์ของมือสังหารผู้นี้ได้
“หน้าผากแค่มีดเดียว?”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเลือดและเลือดเนื้อทั่วร่างของคุณชายอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ รอยแผลถึงชีวิตเพียงหนึ่งเดียวคือมีดทะลุสมองนั้น”
ผู้ดูแลจวนกล่าว
รวมวันนี้ด้วย จินซื่ออวี่ออกจากบ้านมาสามวันแล้ว
นายท่านจินส่งเขาไปฝึกเหยี่ยวตรงพื้นที่ราบทางใต้ของเหมืองแร่
นี่ไม่ใช่งานสบาย
เดิมเหยี่ยวก็เป็นสัตว์ดุร้ายเย่อหยิ่งชนิดหนึ่ง
ถ้าอยากให้มันทำตามคำสั่งของมนุษย์ก็ถือเป็นขั้นตอนที่ยากลำบากไม่น้อย
นอกจากคนฝึกลำบากแล้ว เหยี่ยวก็ทรมานอย่างยิ่งเหมือนกัน
หลังจากเหยี่ยวถูกจับ ก่อนอื่นต้องเย็บถุงหนังคลุมหัวตามขนาดของหัวเหยี่ยว
ใช้สิ่งนี้บดบังสองตาของมัน ให้มันมองอะไรไม่เห็น
จากนั้นก็ให้เหยี่ยวที่เพิ่งถูกจับตัวนี้ยืนบนแท่งไม้ที่ถือในมือ
คนชูแท่งไม้ขึ้นสูง ขี่ม้าห้อตะบึง
ในขณะเดียวกันก็ยกแขนขึ้นลง
เหยี่ยวรับรู้ความเร็วในการเคลื่อนไหวของตนได้ แต่สองตาที่ถูกบดบังกลับทำให้มันหวาดกลัวอย่างมาก
หนำซ้ำแท่งไม้ที่เกาะอยู่ด้านล่างยังสั่นไหวบ่อยครั้ง นี่ยิ่งทำให้มันรวบรวมสมาธิทั้งหมดตลอดเวลา
จากนั้นก็วิ่งวนไปวนมาเรื่อยๆ เช่นนี้
ม้าเหนื่อย เปลี่ยนม้า
คนเหนื่อย พักคน
แต่เหยี่ยวตัวนี้กลับทรมานอยู่ตรงปลายแท่งไม้ตั้งแต่ต้นจนจบ
เป็นเช่นนี้ติดกันหลายวันหลายคืน
สุดท้ายเหยี่ยวจะหมดแรงทนไม่ไหว
เกาะไม่อยู่กระทั่งแท่งไม้ด้านล่าง
และล้มหัวทิ่มลงมา
จินซื่ออวี่จะฉวยจังหวะตอนเหยี่ยวใกล้สิ้นลมเดินเข้าไปถอดถุงคลุมหัวที่บดบังสองตาของมันและป้อนน้ำกับอาหารให้มันเล็กน้อย
คนแรกที่เหยี่ยวลืมตาเห็นในยามนี้ก็จะถูกมันมองเป็นผู้ช่วยชีวิต
เมื่อมันเริ่มได้สติคืนมาและยังสามารถผงกหัวกางปีกขึ้นมาหยัดสู้ได้อีกครั้ง
แต่สิ่งที่ต้อนรับมันกลับเป็นความทรมานเหมือนก่อนหน้านี้
ผ่านไปสามถึงห้าครั้งเหยี่ยวถึงจะนับว่าเชื่อฟังที่สุด
ปล่อยไปล่าสัตว์ในทุ่งกว้างได้แล้ว
แต่สัญชาตญาณของเหยี่ยวยังคงอยู่ พวกมันจะไม่เอาเหยื่อของตัวเองกลับมาให้เจ้าของดังเดิม
นี่ก็เป็นอีกครั้งของการรบราที่ลำบากยวดยิ่งระหว่างคนกับเหยี่ยว
เหมือนชาวทุ่งหญ้า จากตอนแรกถูกหมาป่าล่าล้อมสังหาร แต่ตอนนี้เปลี่ยนพวกมันเป็นพาหนะใต้หว่างขา
เทียบกับการขี่หมาป่าที่ชาวทุ่งหญ้าทุ่มเทพยายามหลายชั่วอายุคน การฝึกเหยี่ยวกลับจะง่ายกว่ามากทีเดียว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จินซื่ออวี่มาฝึกเหยี่ยวข้างนอก
ปกติต้องใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนถึงจะกลับมา
และแถวนี้ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับนายท่านจินอยู่แล้ว
จินซื่ออวี่จึงพาคนฝึกเหยี่ยวไปเพียงไม่กี่คน ไม่มีผู้คุ้มกันติดตามแม้แต่คนเดียว
แต่ก็ครั้งนี้ ตอนหลิวรุ่ยอิ่งมาถึงจวนนายท่านจิน เขากลับถูกคนฆ่าตายแล้ว
“ศพล่ะ”
นายท่านจินเอ่ยถามอีก
เขาไม่ได้รีบร้อน
แต่ทุกประโยคล้วนพุ่งตรงประเด็น
“ศพถูกโยนไว้หน้าประตูจวน เพิ่งไปเจอขอรับ”
ผู้ดูแลจวนกล่าว
นายท่านจินพยักหน้า
หากถูกคนฆ่าตายในพื้นที่ฝึกเหยี่ยว ขนศพกลับมาก็ต้องใช้เวลาครึ่งวัน
ไม่มีทางรู้เร็วขนาดนี้แน่นอน
แม้คนที่ไปพร้อมกับจินซื่ออวี่ยังมีอีกหลายคน
แต่ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องถามคนเหล่านั้นแล้ว
เพราะพวกเขาต้องตายหมดแน่นอน
เพียงแต่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้มีค่าเท่าจินซื่ออวี่เท่านั้น
จินซื่ออวี่เป็นบุตรบุญธรรมของนายท่านจิน
คนเหล่านั้นกลับเป็นแค่คนฝึกเหยี่ยวที่ใช้เงินจ้างมา
แต่วิธีการฆ่าคนแล้วโยนศพไว้หน้าบ้านเช่นนี้เป็นการยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งโดยแท้
ตอนนายท่านจินเพิ่งเป็นเจ้าของเหมืองที่นี่ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้แทบทุกวัน
คนใช้ชีวิตสงบสุขจนเคยชินมักจะลืมช่วงเวลาทุกข์ยากในอดีต
แต่นายท่านจินไม่ลืม
เขาจำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้ทุกรายละเอียด
ทั้งยังจำฝังใจ
ถึงเขาไม่ลืม แต่ก็จะไม่เปลี่ยนท่าทีของตัวเอง
เมื่อก่อนทำอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น
ต่อให้คนที่ตายไปคือบุตรบุญธรรมของตนก็ไม่เว้น
“ยกศพกลับมาแล้วหรือ”
นายท่านจินเอ่ยถาม
“ยังขอรับ รอคำสั่งของท่าน!”
ผู้ดูแลจวนกล่าว
“เช่นนั้นก็วางไว้ตรงนั้นก่อน ในเมื่อคนอื่นอยากให้เราขายหน้า เราก็ขายหน้าให้มันดูเสีย”
นายท่านจินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งแอบตกใจ
การที่นายท่านจินมีกิจการพื้นฐานยิ่งใหญ่และดึงดูดอาชญากรแห่งยุทธภพมากมายมาขอที่พึ่งใช่ว่าไม่มีเหตุผล
อาศัยแค่ความอดทนและความสุขุมนี้ เขานึกถึงตัวเองแล้วทำไม่ได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้น คนตายไม่อาจฟื้นคืน
การจัดการเช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนตัวเองปล่อยหมัดอยู่บนปุยฝ้าย รู้สึกไม่สบายทั้งตัว
แทนที่จะกอดศพร้องห่มร้องไห้แล้วเศร้าโศกเสียใจอย่างโจ่งแจ้งให้ศัตรูพึงใจ
ไม่สู้พูดสั้นๆ ให้ผ่านไปอย่างเรียบง่าย
นี่ถึงจะเป็นแผนการยอดเยี่ยม
และก็เป็นผลสรุปที่นายท่านจินได้จากการต่อสู้ในหลายปีมานี้
……………………………………….
[1] สามคุกเข่าเก้าคำนับ หมายถึงคุกเข่าทีหนึ่งคำนับศีรษะแนบพื้นสามครั้ง