ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 324 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-2
บทที่ 324 แสงจันทร์ไม่เอ่ยเรื่องผีสาง-2
“สุรานี้ ให้ข้าจ่ายเงินจริงหรือ”
เสี่ยวจีหลิงชี้กาสุรากล่าว
“จริง แม้ตอนนี้ข้าไม่ขาดเงินแล้ว แต่เจ้าอยากดื่มสุราของข้าก็ต้องจ่ายเงิน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เท่าไร”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถาม
“สิบตำลึง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สุรากานี้เจ้าจ่ายแค่หนึ่งตำลึง เจ้ากลับเรียกข้าสิบตำลึง! คนกรมสอบสวนอย่างพวกเจ้าหิวเงินกันหมดเลยรึ”
เสี่ยวจีหลิงเอ่ยถาม
“หนึ่งตำลึงคือค่าสุรา หนึ่งตำลึงเป็นค่าดื่มสุราในห้องข้า อีกแปดตำลึงเป็นค่าดื่มสุรากับข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ที่แท้ตัวเจ้ามีค่าแค่แปดตำลึง!”
เสี่ยวจีหลิงฟังแล้วยิ้มทันที
หยิบแท่งเงินสิบตำลึงแท่งหนึ่งออกมาตบบนโต๊ะอย่างสุขใจ
“ไม่ใช่ข้ามีค่าแค่แปดตำลึง แต่ในสิบตำลึงนั้น ข้าครองคนเดียวแปดตำลึง”
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบแท่งเงินพลางกล่าว
รอยยิ้มของเสี่ยวจีหลิงแข็งค้างอยู่บนหน้า
หลิวรุ่ยอิ่งบอกว่าเขาครองแปดตำลึงในสิบตำลึง
เช่นนั้นหากเป็นร้อยตำลึง ก็คือแปดสิบตำลึงไม่ใช่หรือ
หนึ่งพันตำลึง ก็เป็นแปดร้อยตำลึงไม่ใช่หรอกหรือ
ไม่ว่าราคาดีหรือแย่ หลิวรุ่ยอิ่งล้วนต้องครองแปดส่วน
ราคานี้แพงหูฉี่โดยแท้
“ก่อนได้พบเจ้าข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าเป็นคนจิตใจมั่นคง เหตุใดเย้าเล่นประโยคเดียวกลับทำให้เจ้าเปลี่ยนสีหน้าเสียแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาคลายมือแล้วรินสุราให้เสี่ยวจีหลิงจอกหนึ่ง
“ข้าจิตใจมั่นคง? ข้าเป็นคนขี้ขลาดอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาดอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
“หากเจ้าไม่เชื่อ ลองถามข้าได้”
เสี่ยวจีหลิงดื่มสุราพลางกล่าว
“มีเรื่องวิวาทกลางถนน คนอื่นให้เจ้าลอดเป้ากางเกง ไม่ลอดก็ฆ่าเจ้า เจ้าเคยลอดหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่เคย”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“เช่นนั้นขังเจ้าไว้ในคอกม้า ให้เจ้ากินนอนกับสัตว์เลี้ยง ออกมาก้าวเดียวก็ตัดขาเจ้า เจ้าเคยอยู่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอีกครั้ง
“ไม่เคยเหมือนกัน”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“แล้วเจ้ากล้ายืนยันได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาดอันดับหนึ่งในใต้หล้า ทั้งที่เจ้าไม่เคยทำเรื่องปอดแหกเหล่านี้เลยสักเรื่อง”
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มกล่าว
“เรื่องเหล่านี้ที่เจ้าพูดไม่นับเป็นสิ่งใดโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยคนพวกนี้ก่อเรื่องแล้วยังกล้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ส่วนข้าน่ะหรือ เผ่นป่าราบตั้งนานแล้ว!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ท่าร่างของเจ้าคงเร็วมาก?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เร็วเป็นอันดับสอง”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“อันดับหนึ่งคือใคร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าก็หาอยู่เหมือนกัน เว้นตำแหน่งไว้ชั่วคราว!”
เสี่ยวจีหลิงยักคิ้วกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะ
เขาไม่นึกว่าเสี่ยวจีหลิงจะถ่อมตัวขึ้นมากะทันหัน
แต่ในเมื่อไม่มีอันดับหนึ่ง ความจริงอันดับสองนี้ก็คืออันดับหนึ่งไม่ใช่หรือ
ท้ายที่แล้วก็ยังคงไม่ถ่อมตน
“สุราก็ดื่มแล้ว ควรพูดได้แล้วกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เสี่ยวจีหลิงส่ายหน้า
“ยังดูเรื่องราวไม่ครบสมบูรณ์ ตอนนี้บอกไม่ได้”
“เจ้าเริ่มดูจากตรงไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ตั้งแต่เจ้ากลับจากหอทรงปัญญา ออกจากแดนสุขสัญจร!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งคำนวณเวลาและเส้นทางอย่างละเอียด
ดูท่าเสี่ยวจีหลิงคงรู้เรื่องที่เขาถูกขโมยเบี้ยหวัด เจอเยว่ตี๋ระหว่างทางและมาปฏิบัติภารกิจในเมืองหยางเหวินทั้งหมดแล้ว
แต่ตลอดทางนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่พบร่องรอยของเขาเลยสักนิด
ทำไมเขาต้องเผยตัวที่นี่ด้วย
“และข้าไม่พูดเพราะเรื่องราวต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติถึงจะน่าสนใจ! ข้าเป็นเพียงผู้บันทึกที่ซื่อสัตย์จริงใจที่สุดคนหนึ่งเท่านั้น”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“แต่คืนนี้เจ้าดื่มสุรากับตัวเอกของเรื่องแล้ว นี่คงขัดต่อหลักการของเจ้าแล้วกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะคืนนี้จะมีคนตาย ข้าไม่รู้ว่าใคร แต่เจ้าที่เป็นตัวเอกจะตายไม่ได้ ข้าถึงได้เคลื่อนไหวเล็กน้อยเพื่อเตือนเจ้า”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
เดิมหลิวรุ่ยอิ่งก้มหน้าฟังเงียบๆ
ผลคือเสียงพูดประโยคนี้เบาบางลงทุกที
ตอนหลิวรุ่ยอิ่งฟังถึงคำสุดท้ายแล้วเงยหน้ามอง
ตรงหน้ายังมีเสี่ยวจีหลิงเสียที่ไหน
มีแค่กาสุรากับจอกสุรา
หันไปมองหน้าต่างนั้นอีกครั้ง
แสงจันทร์คงอยู่ ลมพายุคงเดิม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยเห็นท่าร่างรวดเร็วแทบไม่ทิ้งเงาเช่นนี้มาก่อน
เสี่ยวจีหลิงผู้นี้สมควรได้ชื่อเผ่นหนีอันดับสองในใต้หล้าโดยแท้
แต่เมื่อครู่เขาบอกว่าคืนนี้จะมีคนตาย หลิวรุ่ยอิ่งกลับนั่งไม่ติดแล้ว
เขาถือกระบี่ผลักเปิดประตูห้องของพวกหวาหนงที่อยู่ติดกัน
หวาหนงตกใจตื่นเพราะเสียงผลักประตู
ขณะพลิกกายลุกขึ้น ปลายกระบี่จ่อคอหอยหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว
“ท่านอาจารย์อา!”
หวาหนงมองผู้มาเยือนชัดแล้วจึงเก็บกระบี่
คนอื่นถึงได้ทยอยตื่นขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นทุกคนสบายดีจึงค่อยเบาใจลง
แต่เขาพลันนึกถึงคนที่เชื่อคำพูดของเถ้าแก่เนี้ยเพราะกลัวผีแล้วไปนอนในโลงศพคนนั้นขึ้นมา
ตอนนี้เขาไม่อยู่ในห้อง เช่นนั้นต้องยังอยู่ในโลงศพแน่
หลิวรุ่ยอิ่งรีบมุ่งหน้าไปร้านโลงศพด้านหลังพร้อมกับหวาหนง
เขาผลักประตูออก เห็นมีฝาโลงศพอันหนึ่งวางนอนอยู่ด้านข้าง
พอเดินเข้าไปดู
เป็นเจ้าหน้าที่อาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินที่กลัวผีคนก่อนหน้านั้น
แต่ยามนี้เขาไม่ต้องกลัวผีอีกต่อไปแล้ว
เพราะเขาได้กลายเป็นพวกเดียวกับผีอย่างแท้จริง
เขาตายแล้ว
สีหน้าสงบนิ่ง
เขาถูกแทงทะลุสมองตายในมีดเดียวขณะหลับฝัน
หลิวรุ่ยอิ่งดึงมีดเล่มนี้ออกมา
มันออกมาพร้อมของสีขาวเหลืองและเลือดสด
หวาหนงรับมีดเล่มนี้มาเช็ดเล็กน้อยแล้วพบว่านี่เป็นมีดสั้นที่ไม่ได้ลับคมเล่มหนึ่ง
หากมีดเล่มหนึ่งไม่ลับคมก็เหมือนก้อนอิฐไม่ใช่หรือ
คนแบบไหนกันถึงจะใช้มีดไม่ลับคมเล่มหนึ่งมาฆ่าคน
อีกอย่างส่วนคมและด้ามของมีดเล่มนี้หลอมเป็นเนื้อเดียว
เหมือนกรรมวิธีของทุ่งหญ้าอย่างยิ่ง
กรรมวิธีหลอมโลหะบนทุ่งหญ้าค่อนข้างล้าหลัง
พวกเขาสร้างกระบี่และดาบที่ประณีตอย่างอาณาจักรห้าอ๋องไม่ได้
โดยทั่วไปล้วนใช้ก้อนเหล็กทั้งก้อนละลายเป็นเหล็กหลอมแล้วหลอมด้วยแม่พิมพ์
หรือว่าจิ้งเหยามาแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งแอบคิดในใจ
แต่มีดของชาวทุ่งหญ้าจะไม่ลับคมได้อย่างไร
สุราในมือ มีดตรงเอว
หมาป่าใต้หว่างขา อินทรีเหนือหัว
นี่เป็นสี่สิ่งที่พวกเขาชาวทุ่งหญ้าภาคภูมิใจที่สุด
หากบอกว่าชาวทุ่งหญ้าคนหนึ่งพกมีดไม่ได้ลับคมเดินเบ่งอยู่ตามถนน เกรงว่าจะถูกคนหัวเราะจนตาย
แต่ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือพวกจิ้งเหยาแล้วจะเป็นใคร
เสี่ยวจีหลิงอาจรู้คำตอบ แต่เขาไปแล้ว
หลอมรวมอยู่ในแสงจันทร์อันรางเลือน
“เจ้าเก็บมีดเล่มนี้ไว้ให้ดีก่อน ไปเรียกเถ้าแก่เนี้ยมา”
หลิวรุ่ยอิ่งกำชับหวาหนง
“เถ้าแก่เนี้ยอยู่ที่ไหน”
หวาหนงเดินไม่ถึงสองก้าว หันมาเอ่ยถาม
“ไม่ต้องแล้ว นางมาแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งมองไปทางประตูพลางกล่าว
เถ้าแก่เนี้ยยืนอยู่หน้าประตูร้านโลงศพแล้ว
นางเอียงกายพิงอยู่บนขอบประตู ท่าทางเหมือนตอนพาหลิวรุ่ยอิ่งมาเลือกโลงศพครั้งแรก
หลิวรุ่ยอิ่งเตือนให้หวาหนงเก็บมีดอย่างไม่กระโตกกระตาก
“เถ้าแก่เนี้ยมีของให้ขายอีกแล้ว!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ซื้อโลงศพหรือซื้อถุงผ้า”
เถ้าแก่เนี้ยทำตัวผิดปกติ
เอ่ยถามอย่างเย็นชา
“มีคนตายอยู่ที่ท่านทั้งคน คำอธิบายสักประโยคก็ไม่มี?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“อธิบายอะไร อธิบายว่าฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต? เจ้าฆ่าข้าได้ แต่เจ้าก็ต้องใช้เงินอีกส่วนซื้อโลงใส่ข้าด้วย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
พูดจบก็จะหมุนกายจากไป
หลิวรุ่ยอิ่งคว้าข้อมือข้างที่เถ้าแก่เนี้ยถือตะเกียง
“ค่าโลงสองโลงข้าจ่ายได้ แต่ที่ท่านมีผีจริงๆ และตอนนี้ยังมีผีใหม่เพิ่มอีกตน ท่านเป็นเถ้าแก่เนี้ย อย่างไรก็ต้องมาดูก่อน อย่างน้อยคุ้นหน้ากันแล้ว หากอีกครึ่งคืนได้เจอจะได้ไม่ตื่นตระหนกเกินไป!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
……………………………………