ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 321 ร้านขายของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-5
บทที่ 321 ร้านขายของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-5
เป็นอย่างที่เถ้าแก่เนี้ยพูดไว้ไม่มีผิด
คนงานเหล่านั้นต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น…
เพียงแต่ยอดฝีมือนี้ไม่ได้หมายถึงมือของพวกเขาเร็วหรือแข็งแรงเพียงใด
แต่เป็นเพราะมือของพวกเขาเมื่อถือจอกสุราแล้วก็วางไม่ลงนั่นเอง
แรกเริ่ม เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนเดียวที่ช่วยเติมสุรา
แต่ต่อมา กระทั่งเถ้าแก่อ้วนก็เข้ามาช่วย แทบจะจัดการไม่ทัน
วันนี้หลิวรุ่ยอิ่งอารมณ์ดีมาก
จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้เมาเกินไป
ดื่มสุรารอบนี้ดื่มได้จนถึงดึกดื่น ทุกคนจึงต้องแยกย้ายกันไปตามคำเร่งเร้าของเถ้าแก่เนี้ย
“ชั้นบนพอจะมีห้องว่างสองห้องหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“มีคนตายสองคน ห้องพักย่อมว่างสองห้อง…แต่ว่า…”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวอย่างลังเล
“แต่ว่าอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“แต่ไม่รู้ว่าเจ้ากลัวผีหรือไม่!”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“ผี? ร้านของเจ้ามีผีหลอกด้วยหรือ”
“นั่นก็นานาจิตตัง ต่างจิตต่างใจ ผีหลอกหรือไม่หลอกก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่รู้จักกับผีตัวนั้น”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แต่เจ้าต้องรู้วิธีขับไล่ผีแน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แน่นอน แต่ว่า…”
เถ้าแก่เนี้ยยื่นมือขวาของตัวเองออกมากวักเบาๆ
เป็นการบอกให้หลิวรุ่ยอิ่งจ่ายเงิน
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจ มีเงินจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นจริงดังว่า!
ทว่าเขาในตอนนี้ เงินสักตำลึงก็ไม่มี
“หากเจ้ารับตั๋วเงิน ข้ามีอยู่มากโข แต่หากเจ้าต้องการเงินสด ข้ากลับไม่มีเลยสักแดงเดียว”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
เขาไม่ต้องการใช้ม้าใช้หนี้อีก
“เจ้าไม่กลัวผีหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“ไม่กลัวแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ทำไมล่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“เพราะข้าเองก็เป็นผี ผีจน ข้าคิดว่าผีคงไม่มาเบียดเบียนพวกพ้องของมัน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการทำร้ายพรรคพวกด้วยกันเองไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“เอ่อ…ใต้เท้า ข้ากลัว!”
ใครจะไปคิดว่าพอหลิวรุ่ยอิ่งพูดจบ
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากอาคารกรมสอบสวนแห่งเมืองหยางเหวินก็เอ่ยปากขึ้นมาทันที
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
พอมองไปที่เถ้าแก่เนี้ยอีกครั้ง นางก็ปิดหน้าขำอยู่
ดูเหมือนเยาะเย้ยอย่างยิ่ง
“ม้าของเจ้า เจ้าก็ตัดสินใจเองเถอะ”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
ได้รับอนุญาตจากหลิวรุ่ยอิ่ง คนผู้นั้นก็มองไปที่เถ้าแก่เนี้ยตาเป็นประกาย
“เจ้าน่ะ ไปที่ร้านขายโลงศพด้านหลังโน่น หาโลงที่ไม่มีใครเข้าไปนอน ไม่ต้องนอนนาน แค่หนึ่งถึงสองชั่วยามก็พอแล้ว”
เถ้าแก่เนี้ยพูดกับคนผู้นั้น
“จากนั้นเล่า”
คนผู้นั้นเอ่ยถาม
“จากนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกลัวผีแล้วน่ะสิ!”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
พร้อมกับยื่นมือไปลูบที่หัวของเขาเบาๆ
“นอนในโลงศพหนึ่งถึงสองชั่วยามก็ไม่ต้องกลัวผีแล้วหรือ”
คนผู้นั้นยังไม่เชื่อ
เอ่ยถามอีกครั้ง
“แน่นอน! ข้าขอถามเจ้า ผีเกิดจากอะไร”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
คนผู้นั้นตอบ
“แล้วคนประเภทไหนที่ต้องนอนในโลงศพ”
เถ้าแก่เนี้ยถามต่อ
“คนตาย…”
คนผู้นั้นตอบ
“ก็เป็นเช่นนั้น! ตราบใดที่เจ้านอนในโลงศพ แม้เจ้าจะไม่ใช่คนตาย แต่ก็ถือว่าได้สัมผัสกับกลิ่นความตายแล้ว ผีจะไปรบกวนเจ้าทำไม จะไม่เป็นการทำร้ายพวกพ้องหรอกหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาถูกเถ้าแก่เนี้ยหลอกเข้าแล้ว
แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย
เขาเพียงส่ายศีรษะและหมุนกายกลับขึ้นไปที่ชั้นบน
การใช้คำว่าร้านขายของชำ ร้านอาหาร และร้านขายโลงศพมาอธิบายร้านค้าแห่งนี้ดูจะยังไม่เพียงพอ
ควรจะเพิ่มคำว่า ‘โรงเตี๊ยม’ ด้วย
เพราะเมื่อขึ้นไปยังชั้นสอง หลิวรุ่ยอิ่งเห็นห้องพักเรียงรายเป็นระเบียบ
ด้านหน้าห้องมีทางเดินเล็กๆ
กระดานไม้เรียงเป็นแถวยื่นออกมาจากด้านล่างของทางเดิน
เช่นนี้ ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงชั้นล่างก็ไม่สามารถมองเห็นถึงรูปลักษณ์ของชั้นสองได้
สำหรับห้องว่างก็หาง่ายนัก
โดยทั่วไปประตูห้องเหล่านี้จะปิดอยู่
มีเพียงประตูห้องสองบานที่เปิดออก
หลิวรุ่ยอิ่งจึงให้หวาหนงพาเจ้าหน้าที่จากอาคารกรมสอบสวนที่เหลือเข้าพักอีกห้องหนึ่ง
ส่วนตัวเขาเองก็พักอีกห้องหนึ่ง
ส่วนคนที่กลัวผีคนนั้นก็หลงเชื่อคำพูดหลอกหลวงของเถ้าแก่เนี้ยจริงๆ
วิ่งไปที่ร้านขายโลงศพด้านหลัง และหาโลงศพที่ว่างลงไปนอน
หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าไปในห้องพัก
แม้จะไม่ใหญ่ แต่กลับสะดวกสบายหรูหรา
ทุกอย่างในห้องถูกจัดเตรียมไว้เกินจริงเล็กน้อย แต่ล้วนมีรสนิยม
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของเถ้าแก่เนี้ย
แต่ร่องรอยของเลือดบนพื้นที่ยังไม่ถูกล้างออก กลับเป็นเครื่องเตือนใจที่ไร้เสียง…
มันทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ลืมว่าไม่กี่ชั่วยามก่อน มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่นี่
เนื้อก็ได้กินแล้ว สุราก็ได้ดื่มแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งเปิดหน้าต่าง ดับตะเกียง แล้วนอนลงบนเตียง
แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงมาถึงพื้น
บางทีอาจเป็นเพราะลมที่พัดแรง
ท้องฟ้าจึงไร้เมฆ
ทำให้แสงจันทร์คืนนี้สว่างไสวจนน่ากลัว…
ถึงแม้จะดับตะเกียงไปแล้ว แต่กลับยังคงสว่างไสวยิ่งกว่าตอนไม่ดับตะเกียงเสียอีก
แสงจันทร์ที่อ้างว้างและซีดเซียวเช่นนี้ ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
เขาไม่มีทางเลือก จำต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง เพื่อหันหลังให้กับแสงจันทร์
แม้ในห้องจะยังคงสว่าง แต่อย่างน้อยแสงก็ไม่ส่องเข้าตาเขา
แม้เขาจะไม่ได้เมามาก
แต่ก็ดื่มสุราไม่น้อย
ยิ่งเป็นสุราขุ่นเท่าไร ยิ่งออกฤทธิ์ช้าเท่านั้น
ตอนนี้เขารู้สึกหนักศีรษะอยู่บ้าง
แต่ร่างกายเบาสบาย
ราวกับจะลอยได้
ในขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะเริ่มเดินทางไปในดินแดนแห่งฝันร่วมกับพระอินทร์นั้น ประตูห้องของเขาก็เปิดออก
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงนั้น
แต่เขาไม่ได้ลืมตาหรือชักกระบี่
เพราะเขารู้ดีว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
“เจ้านี่เองที่เป็นผีตัวนั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ฮ่าๆ…จะว่าอย่างนั้นก็ได้!”
เถ้าแก่เนี้ยพูดพลางยิ้มหวาน
“แต่ข้าก็บอกไปแล้วนี่ ข้าก็เป็นผีเหมือนกัน ผีจน! ผีสาวมาหาผีจนทำไมกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ในเมื่อต่างก็เป็นผี เหตุใดไม่แสวงหาความมั่งคั่งเล่า เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าผีสาวส่วนใหญ่นั้นมีตัณหา”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนข้างหลิวรุ่ยอิ่ง
ที่จริงแล้วเตียงนี้เป็นเตียงคู่
หลิวรุ่ยอิ่งนอนอยู่ด้านนอก
เถ้าแก่เนี้ยข้ามหลิวรุ่ยอิ่งอย่างอ่อนช้อย ไปนอนด้านในข้างๆ เขา
“คนห้องข้างๆ มีเยอะกว่า หากผีสาวต้องการดูดพลังชีวิต เหตุใดไม่ไปห้องข้างๆ เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ถึงแม้ข้าจะเป็นผีสาวมากตัณหา แต่ข้าไม่ได้โลภ คนเดียวก็เพียงพอ ถ้ามากไปข้าก็กลัวรับไม่ไหวเหมือนกัน…”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
“แม้ข้าจะเป็นผีจน แต่ข้าก็ยังมีศักดิ์ศรีและขอบเขตอยู่บ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดต่อ
“เมื่อกลายเป็นผีแล้ว ยังจะหลงเหลือศักดิ์ศรีอยู่หรือ แต่ถ้าขอบเขตของเจ้านั้น ก็ลองเล่าให้ฟังก่อนได้”
เถ้าแก่เนี้ยนอนตะแคง
มือหนึ่งพยุงศีรษะ
อีกมือหนึ่งเริ่มดึงกระโปรงขึ้นช้าๆ
ค่อยๆ เผยให้เห็นส่วนขา
ขาที่เรียบเนียน เหยียดตรง
โดยเฉพาะภายใต้แสงจันทร์ที่หม่นหมองด้วยแล้ว มันทำให้ผู้คนรู้สึกไม่เกรงกลัวอย่างแท้จริง
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงของกระโปรงที่ถูกดึงขึ้น
เมื่อลืมตา เขาเห็นขาที่งดงามของเถ้าแก่เนี้ย
นางยังคงดึงกระโปรงของนางขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ก็ยั้งมือไว้ก่อนจะเผยให้เห็นส่วนที่สำคัญที่สุด
“งดงามหรือไม่”
นางเอ่ยถาม
“งดงามมาก”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“อยากดูต่อหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยถามขึ้น
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าดู ข้าก็จะดู”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มเองหน่อยหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างเหนียมอาย
“ขอบเขตของข้าคือสุภาพบุรุษพูดแต่ไม่ลงมือ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ฮ่าๆ สุภาพบุรุษที่ไหนจะยอมให้สตรีที่เพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่ชั่วยามและมีสามีอยู่แล้วมานอนข้างๆ ตัวเองกัน”
เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะเอ่ย
“เป็นเจ้าที่ขึ้นมานอนเอง ข้าไม่ได้ร้องขอ และไม่มีการบังคับ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
…………………………………………………………